พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,935 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 489/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำเหมืองสาธารณะ การละเมิดสิทธิการใช้น้ำ และความเสียหายจากการกีดกั้นการใช้น้ำ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ลำเหมืองพิพาทเป็นลำเหมืองสาธารณะที่มีมาแต่เดิม จำเลยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำวินิจฉัยดังกล่าวและมิได้ยกปัญหาข้อนี้มาโต้แย้งในคำแก้อุทธรณ์ ดังนั้น ที่จำเลยฎีกาว่าลำเหมืองพิพาทจำเลยทั้งสองเป็นผู้ขุดขึ้นเองเพื่อระบายน้ำเข้านา จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
แม้ลำเหมืองพิพาทจะอยู่ในที่ดินของจำเลย แต่ลำเหมืองดังกล่าวเป็นลำเหมืองสาธารณะที่มีมาแต่เดิม ทั้งโจทก์ได้อาศัยน้ำจากลำเหมืองดังกล่าวซึ่งไหลผ่านนาจำเลยใช้ทำนามาเป็นเวลา 40 ปีแล้ว โจทก์จึงไม่มีความจำเป็นต้องชักน้ำจากลำเหมืองอื่นมาใช้ในการทำนาซึ่งจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น การที่จำเลยถมลำเหมืองพิพาททำให้โจทก์ไม่อาจใช้น้ำจากลำเหมืองพิพาททำนาได้ตามปกติที่เคยใช้มา จนเป็นเหตุให้โจทก์ทำนาไม่ได้เพราะขาดน้ำ จึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ และทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
แม้ลำเหมืองพิพาทจะอยู่ในที่ดินของจำเลย แต่ลำเหมืองดังกล่าวเป็นลำเหมืองสาธารณะที่มีมาแต่เดิม ทั้งโจทก์ได้อาศัยน้ำจากลำเหมืองดังกล่าวซึ่งไหลผ่านนาจำเลยใช้ทำนามาเป็นเวลา 40 ปีแล้ว โจทก์จึงไม่มีความจำเป็นต้องชักน้ำจากลำเหมืองอื่นมาใช้ในการทำนาซึ่งจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น การที่จำเลยถมลำเหมืองพิพาททำให้โจทก์ไม่อาจใช้น้ำจากลำเหมืองพิพาททำนาได้ตามปกติที่เคยใช้มา จนเป็นเหตุให้โจทก์ทำนาไม่ได้เพราะขาดน้ำ จึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ และทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 489/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำเหมืองสาธารณะ การถมลำเหมืองละเมิดสิทธิ และความเสียหายจากการขาดน้ำทำนา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ลำเหมืองพิพาทเป็นลำเหมืองสาธารณะที่มีมาแต่เดิม จำเลยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำวินิจฉัยดังกล่าวและมิได้ยกปัญหาข้อนี้มาโต้แย้งในคำแก้อุทธรณ์ ดังนั้น ที่จำเลยฎีกาว่าลำเหมืองพิพาทจำเลยทั้งสองเป็นผู้ขุดขึ้นเองเพื่อระบายน้ำเข้านา จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย แม้ลำเหมืองพิพาทจะอยู่ในที่ดินของจำเลย แต่ลำเหมืองดังกล่าวเป็นลำเหมืองสาธารณะที่มีมาแต่เดิม ทั้งโจทก์ได้อาศัยน้ำจากลำเหมืองดังกล่าวซึ่งไหลผ่านนาจำเลยใช้ทำนามาเป็นเวลา 40 ปีแล้ว โจทก์จึงไม่มีความจำเป็นต้องชักน้ำจากลำเหมืองอื่นมาใช้ในการทำนาซึ่งจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น การที่จำเลยถมลำเหมืองพิพาททำให้โจทก์ไม่อาจใช้น้ำจากลำเหมืองพิพาททำนาได้ตามปกติที่เคยใช้มา จนเป็นเหตุให้โจทก์ทำนาไม่ได้เพราะขาดน้ำ จึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ และทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 437/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชัดแจ้ง – การโต้แย้งสิทธิมรดก – พินัยกรรมเฉพาะส่วน – ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249
ฎีกาของโจทก์มิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่า ไม่ถูกต้องอย่างไรและที่ถูกต้องเป็นอย่างไร เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 389/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกข้อต่อสู้ใหม่ในชั้นฎีกาที่ไม่เคยกล่าวอ้างในศาลล่าง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ข้อที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์ยังไม่ได้บอกกล่าวทวงถามจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น จำเลยที่ 1 มิได้ยกข้อนี้ขึ้นว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์และปัญหาดังกล่าวมิใช่เรื่องที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 389/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การที่จำเลยไม่ได้ยกข้อต่อสู้เรื่องการบอกกล่าวทวงถามในศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นนี้
ข้อที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์ยังไม่ได้บอกกล่าวทวงถามจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง นั้นไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ยกข้อนี้ขึ้นว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ และปัญหาดังกล่าวมิใช่เรื่องที่เกี่ยวด้วยความสงบ เรียบร้อยของประชาชนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 389/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การที่จำเลยไม่ได้ยกข้อต่อสู้เรื่องการบอกกล่าวทวงถามในชั้นศาลต้นน้ำและอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ข้อที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์ยังไม่ได้บอกกล่าวทวงถามจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ยกข้อนี้ขึ้นว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ และปัญหาดังกล่าวมิใช่เรื่องที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 258/2535 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับผิดตามสัญญาประนีประนอมจากตัวแทนเชิด แม้ไม่มีหนังสือมอบอำนาจ
ปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3หรือไม่ เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกา โจทก์บรรยายว่า จำเลยที่ 3 เชิดจำเลยที่ 4ให้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ โจทก์ไม่จำต้องบรรยายฟ้องถึงพฤติการณ์ว่าจำเลยที่ 3 ได้เชิดจำเลยที่ 4 อย่างไร เพราะสามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นวิศวกรควบคุมการก่อสร้างของบริษัทจำเลยที่ 1 และที่ 4 ซึ่งเป็นลูกจ้างฝ่ายตรวจสอบอุบัติเหตุของจำเลยที่ 3 ร่วมกันเจรจาและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ ณ สำนักงานของจำเลยที่ 3ประกอบกับการที่จำเลยที่ 1 และทนายความของจำเลยที่ 3 ยอมรับผิดตามหนังสือของโจทก์ที่ขอให้ชำระหนี้ แสดงว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 เห็นชอบในการทำสัญญา-ประนีประนอมยอมความด้วย ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 รู้อยู่แล้วยอมให้จำเลย-ที่ 3 และที่ 4 เชิดตัวเขาเองออกเป็นตัวแทน จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
เมื่อมิใช่เป็นเรื่องการตั้งตัวแทนไปทำสัญญาประนีประนอมยอม-ความกันตามปกติแต่เป็นเรื่องตัวแทนเชิด จึงหาจำต้องมีหนังสือมอบอำนาจให้กระทำการแทนแต่อย่างใดไม่
การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นวิศวกรควบคุมการก่อสร้างของบริษัทจำเลยที่ 1 และที่ 4 ซึ่งเป็นลูกจ้างฝ่ายตรวจสอบอุบัติเหตุของจำเลยที่ 3 ร่วมกันเจรจาและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ ณ สำนักงานของจำเลยที่ 3ประกอบกับการที่จำเลยที่ 1 และทนายความของจำเลยที่ 3 ยอมรับผิดตามหนังสือของโจทก์ที่ขอให้ชำระหนี้ แสดงว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 เห็นชอบในการทำสัญญา-ประนีประนอมยอมความด้วย ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 รู้อยู่แล้วยอมให้จำเลย-ที่ 3 และที่ 4 เชิดตัวเขาเองออกเป็นตัวแทน จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
เมื่อมิใช่เป็นเรื่องการตั้งตัวแทนไปทำสัญญาประนีประนอมยอม-ความกันตามปกติแต่เป็นเรื่องตัวแทนเชิด จึงหาจำต้องมีหนังสือมอบอำนาจให้กระทำการแทนแต่อย่างใดไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 258/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนเชิด: การรับผิดตามสัญญาประนีประนอม แม้ไม่มีหนังสือมอบอำนาจ
ปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3หรือไม่ เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกา โจทก์บรรยายว่า จำเลยที่ 3 เชิดจำเลยที่ 4 ให้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ โจทก์ไม่จำต้องบรรยายฟ้องถึงพฤติการณ์ว่าจำเลยที่ 3 ได้เชิดจำเลยที่ 4 อย่างไร เพราะสามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นวิศวกรควบคุมการก่อสร้างของบริษัทจำเลยที่ 1 และที่ 4 ซึ่งเป็นลูกจ้างฝ่ายตรวจสอบอุบัติเหตุของจำเลยที่ 3 ร่วมกันเจรจาและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ ณ สำนักงานของจำเลยที่ 3 ประกอบกับการที่จำเลยที่ 1และทนายความของจำเลยที่ 3 ยอมรับผิดตามหนังสือของโจทก์ที่ขอให้ชำระหนี้ แสดงว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 เห็นชอบในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความด้วย ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3รู้อยู่แล้วยอมให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 เชิดตัวเขาเองออกเป็นตัวแทน จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เมื่อมิใช่เป็นเรื่องการตั้งตัวแทนไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันตามปกติแต่เป็นเรื่องตัวแทนเชิด จึงหาจำต้องมีหนังสือมอบอำนาจให้กระทำการแทนแต่อย่างใดไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 255/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์และฎีกาในคดีขับไล่ผู้เช่า: การเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงและประเด็นที่มิได้ยกขึ้นสู่ศาล
จำเลยอุทธรณ์ว่าที่โจทก์ยินยอมให้จำเลยก่อสร้างต่อเติม ตึกแถวพิพาทเพื่อให้ตึกแถวพิพาทซึ่งมีลักษณะชำรุดทรุดโทรมมากให้ มีลักษณะกลับคืนดีขึ้นใหม่ จึงเป็นสัญญา ต่างตอบแทนชนิดพิเศษ ยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดานั้น เป็นการโต้เถียงเกี่ยวกับการก่อสร้าง ต่อเติมตึกแถวพิพาทว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษยิ่งกว่า สัญญาเช่าธรรมดา โดยอ้างข้อเท็จจริงแตกต่างไปจากที่ศาลชั้นต้น รับฟังมาว่าการกระทำของจำเลยก็เพื่อความสะดวกในการอยู่อาศัยและ ทำการค้าของจำเลยเอง จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามอุทธรณ์ ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยให้การโดยยกข้อโต้เถียงในเรื่อง แปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่าไว้ด้วย จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่ศาลสูงสมควรวินิจฉัยนั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยมิได้ให้การ ดังกล่าวไว้ จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วใน ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2535 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดต่างกรรมกับการกระทำต่อเนื่อง: การฟ้องฎีกาคัดค้านคำพิพากษาและการเบิกความต่อ
การที่จำเลยยื่นคำฟ้องฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ในเรื่องเดิมนั้น เป็นการกระทำโดยมีเจตนาให้ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีเรื่องเดิมที่จำเลยได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการไว้ เป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องเป็นกรรมเดียวกันกับการที่จำเลยได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการไว้ตั้งแต่ศาลชั้นต้น ไม่เป็นความผิดต่างกรรม แม้คำฟ้องฎีกาจะเป็นคำฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 1 (3)ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ก็ตาม
จำเลยเบิกความในคดีเรื่องเดิมครั้งแรก แต่เบิกความไม่จบปาก ศาลมีคำสั่งให้เลื่อนไปซักค้านต่อในนัดต่อไป ข้อความที่เบิกความครั้งแรกและครั้งหลังก็ต่อเนื่องกัน การเบิกความของจำเลยในครั้งหลังเจตนาที่จะให้โจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีเรื่องเดิมได้รับโทษเช่นเดียวกับการเบิกความในครั้งแรก ถือว่าเป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องเป็นกรรมเดียวกัน มิใช่เป็นความผิดต่างกรรม
โจทก์ทั้งสองในคดีนี้ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยร่วมกันในความผิดเดียวกัน และศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องของโจทก์ที่ 1 แล้ว ดังนี้ การที่โจทก์ที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้เรียงฟ้องแต่เพียงคนเดียวโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 เป็นทนายความหรือได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ที่ 2 ให้เป็นผู้แทนตนในคดีนี้นั้น ฟ้องของโจทก์ที่ 2จะชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (7) หรือไม่ ก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ปัญหาข้อกฎหมายนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ประกอบป.วิ.อ. มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยเบิกความในคดีเรื่องเดิมครั้งแรก แต่เบิกความไม่จบปาก ศาลมีคำสั่งให้เลื่อนไปซักค้านต่อในนัดต่อไป ข้อความที่เบิกความครั้งแรกและครั้งหลังก็ต่อเนื่องกัน การเบิกความของจำเลยในครั้งหลังเจตนาที่จะให้โจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีเรื่องเดิมได้รับโทษเช่นเดียวกับการเบิกความในครั้งแรก ถือว่าเป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องเป็นกรรมเดียวกัน มิใช่เป็นความผิดต่างกรรม
โจทก์ทั้งสองในคดีนี้ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยร่วมกันในความผิดเดียวกัน และศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องของโจทก์ที่ 1 แล้ว ดังนี้ การที่โจทก์ที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้เรียงฟ้องแต่เพียงคนเดียวโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 เป็นทนายความหรือได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ที่ 2 ให้เป็นผู้แทนตนในคดีนี้นั้น ฟ้องของโจทก์ที่ 2จะชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (7) หรือไม่ ก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ปัญหาข้อกฎหมายนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ประกอบป.วิ.อ. มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย