คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 249

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,935 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ: การกระทำต่อเนื่องเป็นกรรมเดียว
คดีเดิม พนักงานอัยการฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในข้อหาบุกรุกโดยจำเลยขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมและเบิกความในคดีดังกล่าว ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์มีความผิดตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องศาลฎีกาพิพากษายืน ต่อมาโจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ในข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จในคดีก่อน ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ ดังนี้ การที่จำเลยยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ในคดีเรื่องเดิมไม่เป็นความผิดฐานฟ้องเท็จอีกกรรมหนึ่งเพราะเป็นการกระทำโดยมีเจตนาให้ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษโจทก์ตามที่จำเลยได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการไว้ ถือว่าเป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องเป็นกรรมเดียวกับที่จำเลยได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการไว้ตั้งแต่ศาลชั้นต้น จำเลยเบิกความเท็จในคดีเรื่องเดิมรวมสองครั้ง ครั้งแรกเบิกความไม่จบปาก ศาลมีคำสั่งให้เลื่อนไปซักค้านต่อในครั้งต่อไปข้อความที่เบิกความครั้งแรกและครั้งหลังก็ต่อเนื่องกัน คำเบิกความของจำเลยในครั้งหลังเจตนาที่จะให้โจทก์ในคดีเรื่องเดิมได้รับโทษเช่นเดียวกับการเบิกความในครั้งแรก ถือว่าเป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องเป็นกรรมเดียวกัน แม้ฟ้องของโจทก์ทั้งสอง คงมีโจทก์ที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้เรียงฟ้องแต่เพียงคนเดียว โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 เป็นทนายความหรือได้รับมอบอำนาจ จากโจทก์ที่ 2 ให้เป็นผู้แทนก็ตามเมื่อโจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยร่วมกันในความผิดเดียวกัน และศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องของโจทก์ที่ 1 แล้ว การที่จะวินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์ที่ 2 จะชอบด้วยป.วิ.อ. มาตรา 158(7) หรือไม่ ก็ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไปปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันจะได้รับวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเท็จและเบิกความเท็จในคดีอาญา การกระทำต่อเนื่องถือเป็นกรรมเดียว
คำฟ้องฎีกาเป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 1(3) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15แต่การที่จำเลยยื่นคำฟ้องฎีกาอันเป็นเท็จคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ในเรื่องเดิมที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยว่าบุกรุกอสังหาริมทรัพย์ของจำเลยนั้น เป็นการกระทำโดยมีเจตนาให้ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีเรื่องเดิมตามที่จำเลยได้ยื่นคำร้องอันเป็นเท็จขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการไว้ ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องเป็นกรรมเดียวกันกับการที่จำเลยได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการไว้ตั้งแต่ศาลชั้นต้น ไม่เป็นความผิดต่างกรรม จำเลยเบิกความในคดีเรื่องเดิมครั้งแรกไม่จบปาก ศาลมีคำสั่งให้เลื่อนไปซักค้านต่อในนัดหน้า ข้อความที่เบิกความครั้งแรกและครั้งหลังก็ต่อเนื่องกัน การเบิกความของจำเลยในครั้งหลังเจตนาที่จะให้โจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีเรื่องเดิมได้รับโทษเช่นเดียวกันกับเบิกความในครั้งแรก ถือว่าเป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องเป็นกรรมเดียวกัน มิใช่เป็นความผิดต่างกรรม โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยร่วมกันในความผิดเดียวกัน และศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องของโจทก์ที่ 1 แล้ว การที่จะวินิจฉัยว่าฟ้องในส่วนของโจทก์ที่ 2ที่ไม่ได้ลงลายมือชื่อไว้จะชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(7) หรือไม่ ก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไปปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ: การกระทำต่อเนื่องเป็นกรรมเดียวกัน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นฟ้องร่วม
การที่จำเลยยื่นคำฟ้องฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ในเรื่องเดิมนั้นเป็นการกระทำโดยมีเจตนาให้ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีเรื่องเดิมที่จำเลยได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการไว้ เป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องเป็นกรรมเดียวกันกับการที่จำเลยได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการไว้ตั้งแต่ศาลชั้นต้น ไม่เป็นความผิดต่างกรรม แม้คำฟ้องฎีกาจะเป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(3) ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ก็ตาม จำเลยเบิกความในคดีเรื่องเดิมครั้งแรก แต่เบิกความไม่จบปากศาลมีคำสั่งให้เลื่อนไปซักค้านต่อในนัดต่อไป ข้อความที่เบิกความครั้งแรกและครั้งหลังก็ต่อเนื่องกัน การเบิกความของจำเลยในครั้งหลังเจตนาที่จะให้โจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีเรื่องเดิมได้รับโทษเช่นเดียวกับการเบิกความในครั้งแรก ถือว่าเป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องเป็นกรรมเดียวกัน มิใช่เป็นความผิดต่างกรรม โจทก์ทั้งสองในคดีนี้ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยร่วมกันในความผิดเดียวกัน และศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องของโจทก์ที่ 1 แล้ว ดังนี้ การที่โจทก์ที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้เรียงฟ้องแต่เพียงคนเดียวโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 เป็นทนายความหรือได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ที่ 2 ให้เป็นผู้แทนตนในคดีนี้นั้น ฟ้องของโจทก์ที่ 2 จะชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(7) หรือไม่ ก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ปัญหาข้อกฎหมายนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 221/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบเนื่องจากผู้คัดค้านไม่ได้โต้แย้งประเด็นคำวินิจฉัยศาลอุทธรณ์อย่างชัดเจน
คดีร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าข้ออ้างของผู้คัดค้านไม่เกี่ยวกับประเด็นแห่งคดี พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านฎีกาโดยมิได้กล่าวอ้างว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวไม่ชอบอย่างไร คงกล่าวมาในฎีกาเพียงว่า ทรัพย์ที่ผู้ร้องอ้างว่าเป็นของผู้ตายนั้น ผู้ตายได้ยกให้ผู้คัดค้านแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยโดยให้เหตุผลว่าไม่เป็นประเด็นแห่งคดีที่ผู้ร้องร้องขอมา ผู้คัดค้านก็มิได้ฎีกาว่าปัญหาที่ยกขึ้นมานั้นจะเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดีหรือไม่ อย่างไร ถือไม่ได้ว่าเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยชัดแจ้งตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกบัญญัติไว้ เป็นฎีกาที่ไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 181/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์คดีเช่าทรัพย์สินที่มีทุนทรัพย์น้อยกว่าสองหมื่นบาท และการหลีกเลี่ยงการจดทะเบียนสัญญาเช่า
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกที่เช่าอันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท แม้โจทก์จะเรียกค่าเสียหายเป็นเบี้ยปรับมาด้วย ก็เป็นทุนทรัพย์ที่ไม่เกินสองหมื่นบาท คดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยปัญหาว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าหรือไม่ให้และจำเลยฎีกาต่อมาอีก ก็ถือเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ สัญญาเช่าที่ทำขึ้น 5 ฉบับ มีกำหนดการเช่าฉบับละ 3 ปีติดต่อกันไป ถือไปว่าเป็นสัญญาเช่าที่ทำไว้ล่วงหน้าในคราวเดียวกันโดยลงวันที่ล่วงหน้าเอาไว้เพื่อให้สัญญาแต่ละฉบับมีอายุการเช่า3 ปี เป็นการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 ซึ่งบังคับให้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยจะนำเอาสัญญาเช่าดังกล่าวรวมกันมีกำหนดเวลา 15 ปี มาฟ้องแย้งบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 181/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดทุนทรัพย์ฟ้องขับไล่, สัญญาเช่าล่วงหน้าหลีกเลี่ยงกฎหมาย, ฟ้องแย้งไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกที่เช่าซื้อมีค่าเช่าตามสัญญาในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท และค่าเสียหายตามฟ้องไม่เกิน สองหมื่นบาทคดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามป.วิ.พ. มาตรา 224 แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยและจำเลยฎีกาต่อมาก็ถือเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์โดยชอบตามมาตรา 249 สัญญาเช่าที่มีกำหนดเวลาเช่าไว้ฉบับละ 3 ปี ติดต่อกันโดยทำสัญญาหลายฉบับในคราวเดียวกันโดยลงวันที่ล่วงหน้าเป็นการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงต่อบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 538 ซึ่งบังคับให้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยจะนำสัญญาดังกล่าวมาฟ้องบังคับไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 48/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความละเมิด, อำนาจฟ้อง, ความประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่รัฐ, การเก็บรักษาเงินและใบเสร็จรับเงิน
จำเลยที่ 2 มิได้ยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นต่อสู้เป็นประเด็นในคำให้การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์มี อำนาจฟ้องนั้นวินิจฉัยตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 3 จึงถือว่าจำเลยที่ 2 มิได้ยกประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 แม้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อศาลฎีกาไม่เห็นสมควร จึงไม่ยกขึ้นวินิจฉัยตามป.วิ.พ. มาตรา 142(5) คณะกรรมการสอบสวนเพื่อหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งสอบสวนเสร็จส่งเรื่องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณา และผู้ว่าราชการจังหวัดได้ส่งเรื่องให้อธิบดีของโจทก์ดำเนินคดี ถือว่าโจทก์ได้ทราบตัวผู้ต้องรับผิดในวันที่อธิบดีของโจทก์ได้รับหนังสือดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดี ภายใน 1 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยที่ 2 ไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับ หรือคำสั่งโดยปล่อยปละละเลยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้เก็บรักษาใบเสร็จรับเงินสมุดทะเบียนคุมใบเสร็จรับเงินเพียงคนเดียว จำเลยที่ 2 จะอ้างว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติงานในลักษณะดังกล่าวมาเป็นเวลานานก่อนที่จำเลยที่ 2 จะมารับราชการที่สำนักงานนั้น ถือเป็นธรรมเนียม ปฏิบัติหาได้ไม่ และเมื่อเกิดความเสียหายขึ้น จำเลยที่ 2 จะปัดความรับผิดไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 48/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของหัวหน้างานการเงินต่อความเสียหายจากการทุจริตของลูกน้อง กรณีละเลยการควบคุมดูแลการเก็บรักษาเงินและใบเสร็จ
ฎีกาจำเลยที่ 2 ที่ว่า กรมการขนส่งทางบกโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 3(พ.ศ. 2523) ออกตามความในพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 ข้อ 1 กำหนดให้เงินภาษีรถประจำปีเป็นเงินของจังหวัด หาใช่เงินของกรมการขนส่งทางบกไม่แม้สำนักงานขนส่งจังหวัดอุบลราชธานีจะยังไม่ได้นำส่งแก่คลังจังหวัดอุบลราชธานี ตามระเบียบของราชการ ก็ถือว่าเป็นเงินรายได้ของจังหวัดอุบลราชธานี เมื่อเจ้าหน้าที่สำนักงานขนส่งจังหวัดอุบลราชธานียักยอกเงินค่าภาษีรถประจำปี จังหวัดอุบลราชธานีจึงเป็นผู้เสียหายไม่ใช่โจทก์นั้น จำเลยที่ 2 มิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นต่อสู้เป็นประเด็นในคำให้การไว้ตั้งแต่ศาลชั้นต้น ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 แม้ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่ศาลฎีกาไม่เห็นสมควรที่จะยกขึ้นวินิจฉัยให้ จึงไม่ยกขึ้นวินิจฉัยตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ระเบียบการเก็บรักษาเงิน และการนำเงินส่งคลังของส่วนราชการ พ.ศ. 2520 ข้อ 73 และมติคณะรัฐมนตรีตามหนังสือนว.155/2503 ลงวันที่ 1 ธันวาคม 2503 ที่กำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งคณะกรรมการต้องเสนอผลการสอบสวนระบุตัวผู้รับผิดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทราบ เพื่อเรียกให้ผู้รับผิดชดใช้เงินหากผู้ต้องรับผิดไม่ชดใช้ก็ให้ส่งเรื่องแก่พนักงานอัยการดำเนินคดีได้ทันที ไม่ต้องส่งให้กระทรวงหรือกรมเจ้าสังกัดสั่งการนั้นเป็นเรื่องการตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งเท่านั้นส่วนผู้ที่มีอำนาจฟ้องเป็นเรื่องที่กำหนดไว้ในกฎหมายซึ่งผู้เสียหายเท่านั้นที่จะฟ้องได้ ระเบียบดังกล่าวมิได้กำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นโจทก์ฟ้องได้ ดังนั้นเมื่อคณะกรรมการสอบสวนเพื่อหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งสอบสวนเรื่องที่เจ้าหน้าที่ของสำนักงานขนส่งจังหวัดอุบลราชธานียักยอกเงินค่าภาษีรถประจำปีเสร็จส่งเรื่องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีพิจารณาและผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ได้ส่งเรื่องให้อธิบดีของกรมการขนส่งทางบกโจทก์ดำเนินคดีแก่ผู้ต้องรับผิดในทางแพ่งเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2526 และอธิบดีได้รับหนังสือเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2526 ถือว่าโจทก์ได้ทราบตัวผู้ต้องรับผิดในวันดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2527 ยังไม่พ้น 1 ปี นับแต่วันรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน ยังไม่ขาดอายุความตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 วรรคแรก จำเลยที่ 2 ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้างานการเงิน บัญชีและธุรการสารบรรณทั้งหมด รับผิดชอบในการกำกับ ควบคุมงานการเงินบัญชีและธุรการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับหรือคำสั่งของผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชอบงานดังกล่าว และมีหน้าที่เก็บรักษาใบเสร็จรับเงินทั้งหมดด้วย จำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามระเบียบการเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่งคลังของส่วนราชการพ.ศ. 2520 ข้อ 8 โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับมอบพัสดุต่าง ๆ จากคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ ซึ่งเป็นใบเสร็จรับเงินค่าภาษี 200 เล่มรวมอยู่ด้วย ซึ่งจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ดูแลเก็บรักษาไว้ แต่จำเลยที่ 2 กลับละเว้นปล่อยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้เก็บไว้เป็นการเปิดโอกาสให้จำเลยที่ 1 ทุจริตนำใบเสร็จรับเงินเล่มที่ยังไม่ถึงกำหนดนำออกใช้เอาออกมาใช้รับเงินค่าภาษีรถและไม่ลงบัญชีไม่นำส่งเงินตามระเบียบ ได้เบียดบังเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวจึงเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 48/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้อง, อายุความ, ความประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่: ศาลฎีกายืนตามศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 มิได้ยกปัญหาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขึ้นเป็นประเด็นในคำให้การไว้ตั้งแต่ศาลชั้นต้น ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องนั้นวินิจฉัยตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 3 จึงถือว่าจำเลยที่ 2 มิได้ยกประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 แม้ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นไม่สมควรที่จะยกขึ้นวินิจฉัยให้ ก็ไม่ยกขึ้นวินิจฉัยตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) คณะกรรมการสอบสวนเพื่อหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งสอบสวนเสร็จส่งเรื่องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณา และผู้ว่าราชการจังหวัดได้ส่งเรื่องให้อธิบดีโจทก์ดำเนินคดีแก่ผู้ต้องรับผิดในทางแพ่งอธิบดีของโจทก์ได้รับหนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน2526 ถือว่าโจทก์ได้ทราบตัวผู้ต้องรับผิดในวันดังกล่าวโจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2527 ยังไม่พ้น 1 ปี นับแต่วันรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนฟ้องโจทก์ยังไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก จำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้างานรับผิดชอบการปฏิบัติราชการ กำกับควบคุมงานการเงินบัญชีและธุรการสารบรรณทั้งหมด มีหน้าที่ดูแลเก็บรักษาใบเสร็จรับเงินค่าธรรมเนียม ใบเสร็จรับเงินค่าภาษี แต่กลับไม่ปฏิบัติตามระเบียบการเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่งคลังของส่วนราชการ ปล่อยปละละเลยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้เก็บรักษาใบเสร็จรับเงิน สมุดทะเบียนคุมใบเสร็จรับเงินเพียงคนเดียวจึงเป็นการเปิดโอกาสให้จำเลยที่ 1 ทุจริต นำใบเสร็จรับเงินเล่มที่ยังไม่ถึงกำหนดนำออกใช้ เอาออกมาใช้รับเงินค่าภาษีรถและไม่ลงบัญชีไม่นำส่งเงินตามระเบียบ ได้เบียดบังเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวจึงเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จะอ้างว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติงานในลักษณะดังกล่าวมาเป็นเวลานานก่อนที่จำเลยที่ 2 จะมารับราชการที่สำนักงานเกิดเหตุถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติเพื่อปัดความรับผิดหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 40/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ที่ดิน: ศาลฎีกาวินิจฉัยเขตที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกปลูกสร้างอาคารในที่ดิน น.ส.3 เลขที่1384 ของโจทก์ จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่า ไม่ได้บุกรุกที่ดินโจทก์ แต่ จำเลยครอบครองปรปักษ์ที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 1091 ซึ่งพอแปลความได้ ว่า ที่ดินส่วนที่จำเลยที่ 1 ปลูกสร้างอาคารอยู่ในเขตที่ดินของตน คดีจึงมีประเด็นว่า อาคารของจำเลยที่ 1 ปลูกสร้างอยู่ในเขตที่ดิน ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ หรือของจำเลยที่ 1 การที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์จึงพิพากษายืน ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น หาใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ไม่ ข้อที่ว่าจำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทโดยสุจริต ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะสั่งให้โจทก์ใช้ค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้นเพราะสร้าง โรงเรือนนั้นให้แก่จำเลยที่ 1 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1310 จำเลยที่ 1 มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวไว้ในศาลชั้นต้น และมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบ เรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.
of 294