คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 249

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,935 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6389/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค้ำประกันทรัสต์รีซีท - ดอกเบี้ย - ผิดนัด - สิทธิเรียกร้อง - ไม่ต้องบอกกล่าว
จำเลยที่ 3 แถลงต่อศาลชั้นต้นว่าจะสืบ ต. ในประเด็นว่าโจทก์โดย ต. มิได้บอกกล่าวทวงถามชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 ก่อนแต่จำเลยที่ 3 มิได้ให้การข้อที่จะขอนำสืบ ต. ดังกล่าวเป็นประเด็นไว้ ที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าการสืบ ต. เป็นเรื่องฟุ่มเฟือยไร้สาระให้งดสืบนั้น จึงชอบแล้ว แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาทรัสต์รีซีทภายใต้เล็ตเตอร์ออฟเครดิตเลขที่ 371391/355 และมีหนังสือทวงถามถึงจำเลยที่ 1 ให้ชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญาทรัสต์รีซีทภายใต้เล็ตเตอร์ออฟเครดิต เลขที่ 271391/355 แต่ภายหลังจำเลยที่ 3ยื่นคำให้การแล้วโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องโดยขอแก้เป็นว่าทำสัญญาทรัสต์รีซีทภายใต้เล็ตเตอร์ออฟเครดิตเลขที่ 271391/355 จำเลยที่ 3 ไม่ได้คัดค้านและศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตแล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ สัญญาทรัสต์รีซีทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีข้อความระบุว่าจำเลยที่ 1 ยินยอมผูกพันตามข้อสัญญาในการออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตสำหรับการสั่งซื้อสินค้ารายนี้ ซึ่งก็คือสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามฟ้อง สัญญาทรัสต์รีซีทกับสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตดังกล่าวจึงเป็นสัญญาที่ต่อเนื่องกัน เมื่อจำเลยที่ 1 ยอมจ่ายเงินที่โจทก์ได้จ่ายไปตามสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตกับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี นับแต่วันที่ลงบนตั๋วแลกเงินถึงวันที่จ่ายจริง แม้การทำสัญญาทรัสต์รีซีทจะไม่มีการตกลงกันเกี่ยวกับดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยในอัตราตามสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิต โจทก์บอกกล่าวทวงถามจำเลยที่ 1 แล้ว แต่จำเลยที่ 1 เพิกเฉยต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัดแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้ทันที โดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าโจทก์แจ้งให้จำเลยที่ 3 ชำระหนี้แล้วหรือไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6351/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำนองที่ดิน: สิทธิผู้รับจำนองชอบที่จะยึดทรัพย์ แม้ผู้ครอบครองรายใหม่มีสิทธิครอบครองดีกว่า
จำเลยเป็นผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์และครอบครองทำกินในที่ดินพิพาท ได้นำที่ดินไปจำนองแก่โจทก์ แม้ต่อมาผู้ร้องได้เข้าแย่งการครอบครองในที่ดินพิพาทจนได้สิทธิดีกว่าจำเลยก็ตามแต่ก็เป็นเวลาหลังจากที่จำเลยได้จำนองโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วจึงไม่เป็นเหตุให้สัญญาจำนองระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 744 นอกจากนี้การจำนองก็เป็นทรัพย์สิทธิที่ติดไปกับตัวทรัพย์ที่จำนองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 702 วรรคสอง โจทก์ผู้รับจำนองโดยชอบด้วยกฎหมายย่อมมีสิทธิยึดที่ดินพิพาทเพื่อบังคับคดีได้ผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ดินพิพาท แม้ผู้ร้องได้ยกขึ้นกล่าวอ้างเป็นประเด็นไว้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นคนละแปลงกับที่ดินที่โจทก์นำยึด แต่ต่อมาได้แถลงสละประเด็นเองโดยสมัครใจ จึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และทำให้ประเด็นดังกล่าวยุติไปแล้ว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6340/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบเนื่องจากจำเลยเปลี่ยนคำให้การในชั้นฎีกา โต้แย้งข้อเท็จจริงใหม่ที่ไม่เคยยกขึ้นในศาลอุทธรณ์
ชั้นอุทธรณ์ จำเลยอ้างว่าที่ศาลชั้นต้นงดชี้สองสถานและงดสืบพยานเป็นการไม่ชอบ เพราะจำเลยให้การมีประเด็นว่านิติกรรมซื้อขายที่ดินที่โจทก์จำเลยทำต่อ เจ้าพนักงานที่ดินมีเจตนาหลอกลวงเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อให้เสียค่าธรรมเนียมและภาษีน้อยลงขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน มูลหนี้ตามเช็คจึงเป็นโมฆะแต่ในชั้นฎีกาจำเลยกลับอ้างว่าคำให้การจำเลยมีประเด็นว่าจำเลยชำระราคาที่ดินให้โจทก์ครบถ้วน โดยที่ดินราคาเพียง 350,000 บาทเช็คพิพาทสั่งจ่ายเงิน 650,000 บาท จำนวนที่เกินไป 300,000 บาทเป็นการนำเอาค่านายหน้าและดอกเบี้ยในอัตราที่เกินกฎหมายกำหนดมารวมเข้าด้วย คำให้การจำเลยจึงชัดเจนแล้ว เป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6259/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอนุญาตฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงต้องมีเหตุผลตามกฎหมาย การที่โจทก์ร่วมมีอำนาจฟ้องหรือไม่ ไม่กระทบผลคดีหากศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริง
คำสั่งของผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่มีข้อความใดแสดงว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควร สู่ศาลสูงสุดจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 221 ถือไม่ได้ว่าเป็นการอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงแล้ว การที่ โจทก์ร่วมจะเป็นผู้เสียหายและมีสิทธิขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมหรือไม่ นั้น ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยจึง ไม่เป็นสาระแก่คดี อันควรได้รับการวินิจฉัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ประกอบด้วยป.วิ.อ. มาตรา 15.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6259/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งอนุญาตฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงไม่ชอบตามกฎหมาย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
ที่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องที่จำเลยขอให้รับรองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงว่า"เห็นว่าคดีนี้มีปัญหาที่ว่าพยานวัตถุอันเป็นพยานเกี่ยวข้องในคดีซึ่งเป็นพยานสำคัญอันควรสู่ศาลฎีกา จึงอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้" นั้น เป็นคำสั่งที่มิได้มีข้อความใดที่แสดงว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด จึงเป็นคำสั่งที่มิชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221ถือไม่ได้ว่าเป็นการอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโดยชอบศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ไม่ได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า นายส.ผู้ตาย สามีโจทก์ร่วมมีส่วนในการกระทำผิดด้วย โจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมนั้น เมื่อศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้เสียแล้ว ย่อมไม่ทำให้ผลของคดีนี้เปลี่ยนแปลงไปฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6259/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอนุญาตฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงและผลกระทบต่อการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย
ที่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องที่จำเลยขอให้รับรองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงว่า "เห็นว่าคดีนี้มีปัญหาที่ว่าพยานวัตถุอันเป็นพยานเกี่ยวข้องในคดีซึ่งเป็นพยานสำคัญอันควรสู่ศาลฎีกา จึงอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้" นั้น เป็นคำสั่งที่มิได้มีข้อความใดที่แสดงว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด จึงเป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยป.วิ.อ. มาตรา 221 ถือไม่ได้ว่าเป็นการอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโดยชอบ ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ไม่ได้
ส่วนที่จำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า นาย ส.ผู้ตาย สามีโจทก์ร่วมมีส่วนในการกระทำผิดด้วย โจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมนั้น เมื่อศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้เสียแล้ว ย่อมไม่ทำให้ผลของคดีนี้เปลี่ยนแปลงไป ฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ประกอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6167/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญากู้ดอกเบี้ย: การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องได้รับการตกลงยินยอมจากลูกหนี้
สัญญากู้เป็นสัญญาสองฝ่าย เมื่อตามสัญญากู้ไม่มีเงื่อนไขให้จำเลยคิดดอกเบี้ยจากโจทก์ได้เกินกว่าที่ตกลงกันไว้ แม้จะมีประกาศกระทรวงการคลังและประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่จำเลยจะเรียกเก็บได้เกินกว่าที่โจทก์จำเลยตกลงกันไว้ แต่จำเลยจะเรียกเก็บดอกเบี้ยตามอัตราที่เปลี่ยนแปลงใหม่โดยโจทก์ไม่ตกลงยินยอมด้วยหาได้ไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยผิดไป 1 วัน คำเบิกความของช. ไม่ควรรับฟังและจำนวนวันที่คำนวณดอกเบี้ยเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลรับรู้ได้เอง แต่ไม่ปรากฏรายละเอียดว่าที่ถูกต้องควรคำนวณอย่างไร เป็นดอกเบี้ยเท่าใด และคำขอ ช.ไม่ควรรับฟังอย่างไรเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6126/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาที่ไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากลอกคำวินิจฉัยศาลชั้นต้น และไม่ได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยฎีกาโดยลอกคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นมาทั้งหมดชนิดคำต่อคำ แต่คำวินิจฉัยศาลชั้นต้นถูกศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเสียแล้วโดยจำเลยมิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องอย่างไรและที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ทั้งยังเป็นฎีกาที่จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงเป็นฎีกาที่นอกประเด็น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6044/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเข้าแทนที่คู่ความมรณะในคดีร้องขัดทรัพย์เมื่อเจ้าหนี้ถอนการยึดทรัพย์แล้ว คดีไม่มีประโยชน์อีกต่อไป
โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยได้ถอนการยึดที่ดินที่ร้องขัดทรัพย์แล้ว การพิจารณาคดีร้องขอเข้าแทนที่ผู้มรณะชั้นร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องไม่เป็นประโยชน์อีกต่อไป จึงให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6034/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสืบพยานนอกประเด็นที่ศาลฎีกาย้อนสำนวน: ห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249
ศาลฎีกาได้พิพากษาย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นสืบพยานเรื่องอำนาจฟ้องว่าจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอีกแห่งหนึ่งตามฟ้องหรือไม่แต่ศาลชั้นต้นได้สืบพยานในเรื่องดังกล่าวแล้วยังได้สืบพยานในประเด็นอื่นจนสิ้นกระแสความอีกด้วย ดังนี้ เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณานอกเหนือคำพิพากษาศาลฎีกา การสืบพยานประเด็นอื่นของศาลชั้นต้นไม่อาจถือได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นโดยชอบ ฎีกาของโจทก์ข้อที่ว่าการที่ศาลแพ่งสืบพยานประเด็นอื่นด้วยเท่ากับศาลแพ่งใช้ดุลพินิจรับพิจารณาคดีตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 14(4) แล้ว จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
of 294