คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 249

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,935 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 805/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกานอกฟ้อง: การยกประเด็นใหม่ในชั้นฎีกาที่ไม่เคยถูกยกขึ้นในศาลชั้นต้น ถือเป็นการฎีกานอกประเด็นต้องห้ามตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ร่วมกันแทนกันว่าจ้างโจทก์ทำเต็นท์จอดรถยนต์ มิได้ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของตัวการไม่เปิดเผยชื่อว่าจ้างโจทก์ ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่าจำเลยทั้งสองว่าจ้างโจทก์ทำเต็นท์จอดรถตามฟ้องหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของตัวการไม่เปิดเผยชื่อว่าจ้างโจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 มิได้ว่าจ้างโจทก์ โจทก์มิได้ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ได้ว่าจ้างโจทก์ตามฟ้อง แต่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของตัวการไม่เปิดเผยชื่อว่าจ้างโจทก์ ดังนี้เป็นการฎีกานอกฟ้องนอกประเด็นต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 805/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกานอกฟ้องนอกประเด็น: โจทก์เปลี่ยนฐานข้อกล่าวหาในชั้นฎีกา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ร่วมกันแทนกันว่าจ้างโจทก์ทำเต็นท์ จอดรถยนต์ มิได้ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของตัวการไม่เปิดเผยชื่อว่าจ้างโจทก์ และศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดประเด็นว่าจำเลยทั้งสองว่าจ้างโจทก์ทำเต็นท์ จอดรถตามฟ้องหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของตัวการไม่เปิดเผยชื่อว่าจ้างโจทก์ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 มิได้ว่าจ้างโจทก์ โจทก์มิได้ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ได้ว่าจ้างโจทก์ตามฟ้อง แต่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของตัวการไม่เปิดเผยชื่อว่าจ้างโจทก์ เป็นการฎีกานอกฟ้องนอกประเด็น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 729/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินที่ตกเป็นทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุด สิทธิทางภารจำยอมเกิดจากอายุความ
แม้ว่าตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์จะไม่มีข้อความพาดพิงถึงจำเลยร่วมก็ตาม แต่เมื่อปรากฏจากคำให้การของจำเลยทั้งสองว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของจำเลยที่ 1 ภายหลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว กรมที่ดินได้รับจดทะเบียนที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์ส่วนกลางซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของอาคารชุดจำเลยร่วม กรณีจึงมีเหตุจำเป็นที่จะเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3)(ข) โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์ได้สิทธิทางภาระจำยอมในที่ดินมีโฉนดซึ่งจำเลยร่วมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มาโดยอายุความ ย่อมมีสิทธิเรียกให้จำเลยร่วมซึ่งเป็นเจ้าของภารยทรัพย์จดทะเบียนภารจำยอมได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1391 ปัญหาว่าจำเลยร่วมซึ่งเป็นนิติบุคคลอาคารชุดจะอยู่ในฐานะต้องห้ามมิให้จดทะเบียนภารจำยอมตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522มาตรา 10 หรือไม่เป็นปัญหาที่ไม่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยร่วมฎีกายกปัญหาข้อนี้ขึ้นมาโดยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในชั้นอุทธรณ์ ปัญหานี้จึงยุติแล้วตั้งแต่ในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 682/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: คำพิพากษาคดีอาญาไม่ผูกพันคดีแพ่ง, สินสมรส, และอำนาจฟ้อง
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสอง ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแทน ศ. บุตรจำเลยที่ขับขี่รถจักรยานยนต์โดยประมาท ชนรถยนต์โจทก์ซึ่งมี ก. ภรรยาโจทก์เป็นผู้ขับได้รับความเสียหายคดีส่วนอาญาคดีก่อนซึ่งถึงที่สุดไปแล้วนั้น เป็นเรื่องที่พนักงานอัยการและจำเลยที่ 1 ฟ้อง ก. ในข้อหาว่าขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มีประเด็นเพียงว่า ก.ขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายหรือไม่ จึงมิใช่ประเด็นโดยตรงในคดีนี้ซึ่งมีประเด็นว่า ศ. ขับขี่รถจักรยานยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถของโจทก์ได้รับความเสียหาย หรือไม่ คำพิพากษาในคดีก่อนส่วนอาญาจึงไม่ผูกพันโจทก์ ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ในวันเกิดเหตุโจทก์ได้นั่งไปในรถยนต์คันเกิดเหตุด้วย จึงเป็นผู้ครอบครองรถคันดังกล่าว โจทก์ต้องร่วมรับผิดกับ ก. ด้วยนั้นจำเลยทั้งสองมิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงมิได้เป็นปัญหาที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและในศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ และที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่ารถยนต์คันที่เกิดเหตุเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับ ก. โจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ได้รับความยินยอมจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น จำเลยทั้งสองก็มิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงมิได้เป็นปัญหาที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และในศาลอุทธรณ์เช่นกัน แม้ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ไม่มีเหตุสมควรที่จะยกขึ้นวินิจฉัยให้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 648/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบอกเลิกสัญญาการประกวดราคาและการริบเงินประกันซองเมื่อผู้ชนะไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข
คำฟ้องของจำเลยบรรยายเกี่ยวกับข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาอันเป็นเหตุให้จำเลยเลิกสัญญากับโจทก์ที่ 1 และอ้างว่าโจทก์ที่ 1 ทราบข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาดังกล่าวแล้วแม้จะไม่มีเอกสารประกอบข้ออ้างนั้นก็ย่อมเป็นคำบรรยายฟ้องที่แสดงแจ้งชัดแล้ว ข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาจะมีอยู่หรือไม่อย่างไรย่อมสามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา หาจำต้องแนบมากับคำฟ้องไม่ ส่วนที่โจทก์ที่ 1 อ้างว่า จำเลยมิได้บรรยายว่าจำเลยได้รับความเสียหายอย่างไรจึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น เป็นข้อที่โจทก์ที่ 1 มิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น คำฟ้องของโจทก์ที่ 1 ในฐานะที่เป็นโจทก์ในสำนวนแรกและคำให้การของโจทก์ที่ 1 ในฐานะที่เป็นจำเลยที่ 1 ในสำนวนที่สองนั้นกล่าวไว้อย่างเดียวกันว่าในวันนัดลงนามในสัญญาก่อสร้างกับจำเลยนั้นจำเลยได้แจ้งให้โจทก์ที่ 1 ทราบว่าหนังสือของบริษัท ซ. ที่โจทก์ที่ 1 ยื่นแก่จำเลยครั้งแรกไม่ใช่หนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ที่1 ลงนามในสัญญาแทนบริษัท ซ. ได้ ในวันนั้นโจทก์ที่ 1 จึงลงนามไปฝ่ายเดียวก่อน โดยจะจัดการให้บริษัท ซ. ทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 มีอำนาจลงนามมายื่นแก่จำเลยอีกครั้งหนึ่งคำฟ้องและคำให้การของโจทก์ที่ 1 เช่นนี้จึงเป็นการยอมรับแล้วว่าในการลงนามในสัญญาก่อสร้างจะต้องให้บริษัท ซ. ลงนามด้วยดังนั้นที่โจทก์ที่ 1 ฎีกาว่าโจทก์ที่ 1 มิได้ผิดสัญญาเพราะโจทก์ที่ 1 ไม่มีหน้าที่จะต้องนำบริษัท ซ. มาลงนามด้วยเพียงแต่โจทก์ที่ 1 ลงนามฝ่ายเดียวในสัญญาก็สมบูรณ์แล้วเนื่องจากมิได้มีข้อกำหนดระบุไว้เช่นนั้น จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 565/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามในข้อเท็จจริง ทำให้ศาลไม่วินิจฉัยประเด็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับการขาดนัด
ฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยที่ว่า ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยโดยมิได้ทำการไต่สวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21 เสียก่อนเป็นการไม่ชอบนั้น เมื่อฎีกาของจำเลยต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงเสียแล้ว ฎีกาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้าง จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสละประเด็นข้อกฎหมายในชั้นศาลและการไม่รับวินิจฉัยปัญหาอำนาจฟ้องและฟ้องเคลือบคลุม
แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แต่ชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นมิได้กะประเด็นทั้งสองข้อนี้ไว้และจำเลยมิได้โต้แย้ง ถือได้ว่าจำเลยได้สละประเด็นข้อนี้แล้วเท่ากับไม่ได้มีการว่ากล่าวทั้งสองประเด็นนี้ในศาลชั้นต้น และปัญหาเรื่องฟ้องเคลือบคลุมมิใช่ปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนส่วนปัญหาเรื่องอำนาจฟ้อง แม้จำเลยอาจยกปัญหาข้อนี้ขึ้นอุทธรณ์ฎีกาได้โดยถือว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ก็ไม่มีเหตุสมควรที่จะวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลยทั้งสองประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 484/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องขอให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามบันทึกข้อตกลง และการใช้สิทธิประโยชน์จากสัญญาโดยบุคคลภายนอก
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทประการหนึ่งและโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสี่ที่ไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามบันทึกข้อตกลงอีกประการหนึ่ง ถือว่าเป็นฟ้องที่แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว เป็นคำฟ้องที่ไปด้วยกันได้ไม่ขัดกันและไม่เคลือบคลุมแต่อย่างใด โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่โอนกรรมสิทธิ์ส่วนที่ระบาย สีแดงให้แก่โจทก์ตามบันทึกข้อตกลงของจำเลยทั้งสี่กับ บ. เป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกใช้สิทธิถือเอาประโยชน์จากสัญญาระหว่างจำเลยทั้งสี่กับ บ. ตาม ป.พ.พ. มาตรา 374 วรรคสอง หาใช่โจทก์ฟ้องให้บังคับตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่าสัญญาจะซื้อขายเป็นเพียงสำเนาต้นฉบับไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร ไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้นั้น จึงไม่ใช่ข้อสำคัญของคดี และเป็นเรื่องนอกประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนด จำเลยที่ 1 ฎีกาว่านิติกรรมที่จำเลยทั้งสี่ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์โดยเสน่หาไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายนั้น ปัญหาข้อนี้ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นไว้ และจำเลยไม่ได้โต้แย้งถือว่าจำเลยที่ 1 ได้สละประเด็นนี้แล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 484/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิประโยชน์จากสัญญาระหว่างบุคคลภายนอกกับคู่สัญญา การครอบครองปรปักษ์ และผลของการไม่จดทะเบียนนิติกรรม
คำบรรยายฟ้องของโจทก์อ้างว่า โจทก์ได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทประการหนึ่ง และโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสี่ที่ไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามบันทึกข้อตกลงระหว่าง บ.กับจำเลยอีกประการหนึ่ง การบรรยายฟ้องของโจทก์แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเป็นคำฟ้องที่ไปด้วยกันได้ ไม่ขัดกันและไม่เคลือบคลุม โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ตามบันทึกข้อตกลงของจำเลยกับ บ. เป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกใช้สิทธิถือเอาประโยชน์จากสัญญาระหว่างจำเลยกับบ. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 วรรคสอง หาใช่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินไม่ ฉะนั้นสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับ บ. จะมีหรือไม่ และต้นฉบับจะปิดอากรแสตมป์หรือไม่ จึงไม่ใช่ข้อสำคัญของคดี และเป็นเรื่องนอกประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยที่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นไว้และจำเลยมิได้โต้แย้ง ถือว่าจำเลยสละประเด็นนี้แล้ว ฎีกาของจำเลยในประเด็นดังกล่าว จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 483/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสัญญาเช่าซื้อ, เจ้าของสัญญา, และดุลพินิจค่าฤชาธรรมเนียม
โจทก์เช่าซื้อรถยนต์พิพาทมาจาก ท. แล้วจำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน แม้ขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์ยังไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทที่ให้เช่าซื้อแต่ ท. ยอมให้โจทก์นำรถยนต์พิพาทออกให้ผู้อื่นเช่าซื้อได้และโจทก์สามารถโอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ได้หากจำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าเช่าซื้อครบตามสัญญา จำเลยที่ 1ต้องผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อ จะอ้างว่าขณะทำสัญญาโจทก์ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ที่ให้เช่าซื้อ จึงไม่มีอำนาจฟ้องหาได้ไม่ จำเลยทั้งสองมิได้กล่าวไว้ในอุทธรณ์ว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องอย่างไรบ้าง จึงเป็นการอุทธรณ์ที่มิได้กล่าวไว้ชัดแจ้งในอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคแรก ศาลอุทธรณ์มีอำนาจไม่รับวินิจฉัยได้ จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามฎีกา ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์พิพาทกับค่าใช้จ่ายในการติดตามรถยนต์พิพาทไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่นจึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 164 การที่จะพิจารณาให้คู่ความใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งนั้น เป็นเรื่องการใช้ดุลพินิจ ของศาลโดยคำนึงถึงเหตุผลและความสุจริตในการดำเนินคดีของคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 161.
of 294