พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,935 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4175/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีแพ่งจากหนังสือมอบอำนาจ และการบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าโดยไม่มีกำหนดเวลา
หนังสือมอบอำนาจระบุว่าให้ผู้รับมอบอำนาจเป็นผู้กระทำการในกิจการต่าง ๆ แทน โดยมีข้อหนึ่งระบุว่า ให้มีอำนาจฟ้องบุคคลใดหรือนิติบุคคลใดต่อศาลในคดีแพ่ง จึงเป็นการมอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจฟ้องคดีแทนแล้ว แม้มิได้ระบุตัวบุคคลที่จะให้ฟ้องไว้โดยเฉพาะเจาะจงก็ตาม
เมื่อตามคำฟ้องและคำให้การรับกันว่ามีการเช่าที่พิพาทอยู่จริงแล้วโจทก์ผู้ให้เช่าแถลงรับว่าไม่มีหนังสือสัญญาเช่าที่ได้กำหนดเวลาเช่ากันไว้ก็ต้องฟังว่าเป็นการเช่าโดยไม่มีกำหนดเวลาอันการเลิกสัญญาเช่าจะต้องบอกกล่าวตามกฎหมาย และแม้โจทก์จะมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่พิพาทภายใน 15 วันก็ตาม แต่เมื่อขณะที่โจทก์ฟ้องขับไล่นั้นเป็นเวลาเกินกว่า2 เดือนแล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
จำเลยฎีกาในข้อที่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ซึ่งจำเลยก็มิได้โต้แย้งคัดค้าน ถือว่าจำเลยสละประเด็นข้อพิพาทนี้แล้วข้อฎีกาดังกล่าวจึงเป็นปัญหาที่มิได้ว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
เมื่อตามคำฟ้องและคำให้การรับกันว่ามีการเช่าที่พิพาทอยู่จริงแล้วโจทก์ผู้ให้เช่าแถลงรับว่าไม่มีหนังสือสัญญาเช่าที่ได้กำหนดเวลาเช่ากันไว้ก็ต้องฟังว่าเป็นการเช่าโดยไม่มีกำหนดเวลาอันการเลิกสัญญาเช่าจะต้องบอกกล่าวตามกฎหมาย และแม้โจทก์จะมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่พิพาทภายใน 15 วันก็ตาม แต่เมื่อขณะที่โจทก์ฟ้องขับไล่นั้นเป็นเวลาเกินกว่า2 เดือนแล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
จำเลยฎีกาในข้อที่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ซึ่งจำเลยก็มิได้โต้แย้งคัดค้าน ถือว่าจำเลยสละประเด็นข้อพิพาทนี้แล้วข้อฎีกาดังกล่าวจึงเป็นปัญหาที่มิได้ว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4096/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายที่จำกัดตามค่าเช่าอาคาร ทำให้ต้องห้ามอุทธรณ์ตามมาตรา 224
การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 20,000 บาทนั้น เมื่อโจทก์เรียกค่าเสียหายมาเป็นส่วนหนึ่งของการฟ้องขับไล่ มิได้เรียกมาอย่างเอกเทศในข้อหาอื่น และขณะยื่นคำฟ้องปรากฏว่าอาคารพิพาทมีค่าเช่าไม่ถึงเดือนละ 2,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224
ในคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวมิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 เช่นเดียวกับฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
แม้จำเลยจะได้ทำสัญญาเช่าอาคารพิพาทกับเจ้าของอาคารซึ่งได้เลิกสัญญาเช่ากับโจทก์แล้วก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยก่อนที่จำเลยจะทำสัญญาเช่ากับเจ้าของอาคารโดยขณะนั้นโจทก์ยังเป็นผู้เช่าอาคารพิพาทอยู่จำเลยจึงหาอาจยกสัญญาเช่าของจำเลยมาเป็นข้อต่อสู้ไม่ยอมออกจากอาคารพิพาทที่จำเลยอาศัยอยู่โดยสิทธิของโจทก์ได้ไม่.
ในคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวมิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 เช่นเดียวกับฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
แม้จำเลยจะได้ทำสัญญาเช่าอาคารพิพาทกับเจ้าของอาคารซึ่งได้เลิกสัญญาเช่ากับโจทก์แล้วก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยก่อนที่จำเลยจะทำสัญญาเช่ากับเจ้าของอาคารโดยขณะนั้นโจทก์ยังเป็นผู้เช่าอาคารพิพาทอยู่จำเลยจึงหาอาจยกสัญญาเช่าของจำเลยมาเป็นข้อต่อสู้ไม่ยอมออกจากอาคารพิพาทที่จำเลยอาศัยอยู่โดยสิทธิของโจทก์ได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4096/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีต้องห้ามอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 224 พ.ร.บ.วิธีพิจารณาความแพ่ง กรณีค่าเช่าอาคารต่ำกว่าเกณฑ์
การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 20,000 บาทนั้น เมื่อโจทก์เรียกค่าเสียหายมาเป็นส่วนหนึ่งของการฟ้องขับไล่ มิได้เรียกมาอย่างเอกเทศในข้อหาอื่น และขณะยื่นคำฟ้องปรากฏว่าอาคารพิพาทมีค่าเช่าไม่ถึงเดือนละ 2,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224
ในคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวมิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 เช่นเดียวกับฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
แม้จำเลยจะได้ทำสัญญาเช่าอาคารพิพาทกับเจ้าของอาคารซึ่งได้เลิกสัญญาเช่ากับโจทก์แล้วก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยก่อนที่จำเลยจะทำสัญญาเช่ากับเจ้าของอาคารโดยขณะนั้นโจทก์ยังเป็นผู้เช่าอาคารพิพาทอยู่จำเลยจึงหาอาจยกสัญญาเช่าของจำเลยมาเป็นข้อต่อสู้ไม่ยอมออกจากอาคารพิพาทที่จำเลยอาศัยอยู่โดยสิทธิของโจทก์ได้ไม่.
ในคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวมิใช่ข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 เช่นเดียวกับฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
แม้จำเลยจะได้ทำสัญญาเช่าอาคารพิพาทกับเจ้าของอาคารซึ่งได้เลิกสัญญาเช่ากับโจทก์แล้วก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยก่อนที่จำเลยจะทำสัญญาเช่ากับเจ้าของอาคารโดยขณะนั้นโจทก์ยังเป็นผู้เช่าอาคารพิพาทอยู่จำเลยจึงหาอาจยกสัญญาเช่าของจำเลยมาเป็นข้อต่อสู้ไม่ยอมออกจากอาคารพิพาทที่จำเลยอาศัยอยู่โดยสิทธิของโจทก์ได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4011/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งมอบการครอบครองที่ดินทำให้จำเลยได้สิทธิครอบครอง แม้มีสัญญาเพิ่มราคาภายหลัง โจทก์ฟ้องขับไล่จึงขาดอายุความ
โจทก์ทำสัญญาขายที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าให้จำเลยและได้มอบที่พิพาทให้จำเลยเข้าครอบครองตั้งแต่วันทำสัญญาย่อมถือได้ว่ามีการส่งมอบการครอบครองให้แก่จำเลยแล้วจำเลยย่อมได้สิทธิครอบครองตั้งแต่วันทำสัญญาซื้อขายดังกล่าวแม้ต่อมาจะมีการทำสัญญาเพิ่มราคาที่ดิน แต่จำเลยไม่ได้ส่งมอบการครอบครองคืนโจทก์ สิทธิครอบครองในที่พิพาทยังเป็นของจำเลยอยู่ นับแต่วันทำสัญญาซื้อขายถึงวันฟ้องเกินกว่า 1ปี โจทก์จึงหมดสิทธิในที่พิพาท
การที่ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญากันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น หมายถึงสัญญาวางเงินมัดจำตามฟ้องโจทก์ ที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าเกิดจากการข่มขู่เป็นโมฆียะ การที่โจทก์นำสืบว่าสัญญาซื้อขายฉบับก่อนสัญญาวางเงินมัดจำเป็นโมฆียะและสามีโจทก์บอกล้างแล้วเป็นการนำสืบนอกประเด็นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.
การที่ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญากันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น หมายถึงสัญญาวางเงินมัดจำตามฟ้องโจทก์ ที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าเกิดจากการข่มขู่เป็นโมฆียะ การที่โจทก์นำสืบว่าสัญญาซื้อขายฉบับก่อนสัญญาวางเงินมัดจำเป็นโมฆียะและสามีโจทก์บอกล้างแล้วเป็นการนำสืบนอกประเด็นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3863/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตหลังถูกถอนชื่อออกจากทะเบียนคนญวนอพยพ ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.ก.คนเข้าเมือง
จำเลยได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้เป็นการชั่วคราวโดยมีชื่ออยู่ในทะเบียนญวนอพยพ ต่อมาจำเลยหลบหนีออกนอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองมาตรา 39 ให้ถือว่าการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเป็นอันสิ้นสุด ดังนี้เมื่อจำเลยกลับเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรอีกก็ต้องเป็นความผิดตามมาตรา 81 การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคายมีคำสั่งอนุมัติให้ถอนชื่อจำเลยจากทะเบียนญวนอพยพคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะการถอนชื่อจำเลยออกจากทะเบียนญวนอพยพกับการอนุญาตถูกเพิกถอนเป็นคนละกรณีกัน ฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับวินิจฉัย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15,215,225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3863/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดการอนุญาตอยู่ชั่วคราวและการกระทำความผิดฐานอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
จำเลยได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้เป็นการชั่วคราวโดยมีชื่ออยู่ในทะเบียนญวนอพยพ ต่อมาจำเลยหลบหนีออกนอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองมาตรา 39 ให้ถือว่าการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเป็นอันสิ้นสุด ดังนี้เมื่อจำเลยกลับเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรอีกก็ต้องเป็นความผิดตามมาตรา 81 การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคายมีคำสั่งอนุมัติให้ถอนชื่อจำเลยจากทะเบียนญวนอพยพคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะการถอนชื่อจำเลยออกจากทะเบียนญวนอพยพกับการอนุญาตถูกเพิกถอนเป็นคนละกรณีกัน ฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับวินิจฉัย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15,215,225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3789/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: แม้จำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้ ศาลฎีกาหยิบยกได้ และเป็นเหตุให้ต้องห้ามตามกฎหมาย
คดีเดิม โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองกับพวกว่าผิดสัญญาจะซื้อขายที่ดินขอให้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวม เมื่อคดีดังกล่าวถึงที่สุด โจทก์กลับมาฟ้องคดีนี้ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงเดิมเช่นนี้ โจทก์สามารถขอให้บังคับดังกล่าวแก่จำเลยทั้งสองในคดีเดิม ได้อยู่แล้ว ทั้งประเด็นที่ต้องวินิจฉัยคดีนี้ก็อาศัยเหตุเดียวกันกับคดีก่อนว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อขายหรือไม่ ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148. ปัญหาเรื่องฟ้องซ้ำเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยมิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ จำเลยก็อ้างอิงปัญหาเช่นว่านั้นในชั้นฎีกาได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249วรรคสอง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3748/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทรัสต์รีซีทไม่ใช่ทรัสต์ตามกฎหมาย และอายุความดอกเบี้ย
สัญญาทรัสต์รีซีทหาใช่เป็นการก่อตั้งทรัสต์ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1686 ไม่จึงไม่ตกเป็นโมฆะ ฎีกาข้อนี้แม้จำเลยจะมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การก็ตาม แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ได้
จำเลยที่ 1 ให้การว่าโจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยเกินกว่า 5 ปีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 และศาลชั้นต้นกำหนดเป็นประเด็นไว้แล้ว แต่ศาลล่างทั้งสองไม่ได้วินิจฉัยจึงไม่ชอบ เมื่อจำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยให้จำเลยที่ 1รับผิดในดอกเบี้ยที่ค้างเพียง 5 ปีและเมื่อหนี้ของจำเลยทั้งสองเป็นหนี้ร่วมกัน แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้ฎีกา จำเลยที่2ก็ได้รับประโยชน์จากข้อฎีกาของจำเลยที่ 1 ด้วย.
จำเลยที่ 1 ให้การว่าโจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยเกินกว่า 5 ปีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 และศาลชั้นต้นกำหนดเป็นประเด็นไว้แล้ว แต่ศาลล่างทั้งสองไม่ได้วินิจฉัยจึงไม่ชอบ เมื่อจำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยให้จำเลยที่ 1รับผิดในดอกเบี้ยที่ค้างเพียง 5 ปีและเมื่อหนี้ของจำเลยทั้งสองเป็นหนี้ร่วมกัน แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้ฎีกา จำเลยที่2ก็ได้รับประโยชน์จากข้อฎีกาของจำเลยที่ 1 ด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3748/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาทรัสต์รีซีทไม่ใช่ทรัสต์ตามกฎหมาย และอายุความดอกเบี้ย
สัญญาทรัสต์รีซีทหาใช่เป็นการก่อตั้งทรัสต์ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1686 ไม่จึงไม่ตกเป็นโมฆะ ฎีกาข้อนี้แม้จำเลยจะมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การก็ตาม แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ได้
จำเลยที่ 1 ให้การว่าโจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยเกินกว่า 5 ปีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 และศาลชั้นต้นกำหนดเป็นประเด็นไว้แล้ว แต่ศาลล่างทั้งสองไม่ได้วินิจฉัย จึงไม่ชอบ เมื่อจำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยให้จำเลยที่ 1รับผิดในดอกเบี้ยที่ค้างเพียง 5 ปี และเมื่อหนี้ของจำเลยทั้งสองเป็นหนี้ร่วมกัน แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้ฎีกา จำเลยที่ 2 ก็ได้รับประโยชน์จากข้อฎีกาของจำเลยที่ 1 ด้วย.
จำเลยที่ 1 ให้การว่าโจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยเกินกว่า 5 ปีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 และศาลชั้นต้นกำหนดเป็นประเด็นไว้แล้ว แต่ศาลล่างทั้งสองไม่ได้วินิจฉัย จึงไม่ชอบ เมื่อจำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยให้จำเลยที่ 1รับผิดในดอกเบี้ยที่ค้างเพียง 5 ปี และเมื่อหนี้ของจำเลยทั้งสองเป็นหนี้ร่วมกัน แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้ฎีกา จำเลยที่ 2 ก็ได้รับประโยชน์จากข้อฎีกาของจำเลยที่ 1 ด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3683/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและการกระทำความผิดฐานอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
จำเลยได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้เป็นการชั่วคราวโดยมีชื่ออยู่ในทะเบียนญวนอพยพ ต่อมาจำเลยหลบหนีออกนอกราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองมาตรา 39 ให้ถือว่าการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเป็นอันสิ้นสุด ดังนี้เมื่อจำเลยกลับเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรอีกก็ต้องเป็นความผิดตามมาตรา 81 การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคายมีคำสั่งอนุมัติให้ถอนชื่อจำเลยจากทะเบียนญวนอพยพคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะการถอนชื่อจำเลยออกจากทะเบียนญวนอพยพกับการอนุญาตถูกเพิกถอนเป็นคนละกรณีกัน ฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15,215,225.