คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 249

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,935 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2121/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้มาซึ่งภาระจำยอมโดยการใช้ทางต่อเนื่องเกิน 10 ปี และการยินยอมของเจ้าของที่ดิน
โจทก์ซื้อที่ดินของจำเลยทางด้านทิศใต้ใช้ปลูกบ้าน โดยจำเลยตกลงยอมให้โจทก์ใช้ทางพิพาทในที่ดินจำเลยเดินผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะที่อยู่ทางทิศเหนือ ต่อมาโจทก์แจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนทางภาระจำยอมให้โจทก์จำเลยไปขอจดทะเบียนทางภาระจำยอมแล้ว แต่ภรรยาจำเลยคัดค้านจึงจดทะเบียนไม่ได้ ถือได้ว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทเป็นทางเดิน โดยถือว่าตนมีสิทธิใช้ตลอดไปไม่ใช่ใช้อย่างถือวิสาสะอาศัยสิทธิของจำเลย เมื่อใช้ทางเดินเกิน 10 ปี โจทก์ย่อมได้สิทธิภาระจำยอม จำเลยสร้างรั้วปิดกั้นทางดังกล่าว จึงเป็นการละเมิดโจทก์
คำฟ้องมีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยตกลงยอมให้โจทก์เดินผ่านทางพิพาทในที่ดินของจำเลยจนกลายเป็นภาระจำยอมที่ได้มาโดยอายุความเนื่องจากโจทก์ถือสิทธิใช้ทางพิพาทเป็นปรปักษ์ต่อจำเลย แต่จำเลยไม่ได้ให้การถึงข้อตกลงดังกล่าว ฎีกาของจำเลยที่ว่าข้อตกลงข้างต้นไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่บริบูรณ์ โจทก์ไม่อาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนเป็นทางภาระจำยอมได้นั้น จึงไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2121/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิภาระจำยอมโดยการใช้ทางต่อเนื่องเกิน 10 ปี และข้อตกลงยินยอมใช้ทาง
โจทก์ซื้อที่ดินของจำเลยทางด้านทิศใต้ใช้ปลูกบ้าน โดยจำเลยตกลงยอมให้โจทก์ใช้ทางพิพาทในที่ดินจำเลยเดินผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะที่อยู่ทางทิศเหนือ ต่อมาโจทก์แจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนทางภาระจำยอมให้โจทก์จำเลยไปขอจดทะเบียนทางภาระจำยอมแล้ว แต่ภรรยาจำเลยคัดค้านจึงจดทะเบียนไม่ได้ ถือได้ว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทเป็นทางเดิน โดยถือว่าตนมีสิทธิใช้ตลอดไปไม่ใช่ใช้อย่างถือวิสาสะอาศัยสิทธิของจำเลย เมื่อใช้ทางเดินเกิน 10 ปี โจทก์ย่อมได้สิทธิภาระจำยอม จำเลยสร้างรั้วปิดกั้นทางดังกล่าว จึงเป็นการละเมิดโจทก์
คำฟ้องมีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยตกลงยอมให้โจทก์เดินผ่านทางพิพาทในที่ดินของจำเลยจนกลายเป็นภาระจำยอมที่ได้มาโดยอายุความเนื่องจากโจทก์ถือสิทธิใช้ทางพิพาทเป็นปรปักษ์ต่อจำเลย แต่จำเลยไม่ได้ให้การถึงข้อตกลงดังกล่าว ฎีกาของจำเลยที่ว่าข้อตกลงข้างต้นไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่บริบูรณ์ โจทก์ไม่อาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนเป็นทางภาระจำยอมได้นั้น จึงไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2017/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: การฎีกาข้อเท็จจริงที่จำเลยไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่าของกลางเป็นสิ่งลามกอนาจาร จำเลยให้การรับสารภาพ จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าของกลางเป็นสิ่งลามกอนาจาร เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย และจำเลยอุทธรณ์เพียงขอให้ศาลอุทธรณ์รอการลงโทษจำคุกการที่จำเลยฎีกาต่อมาว่าของกลางไม่ใช่สิ่งลามกอนาจารจึงเป็นการยกข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้โต้เถียงไว้ในศาลชั้นต้นขึ้นมาอ้าง และเป็นการฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1967/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดความรับผิดในสัญญาขนส่งทางทะเล: การยอมรับเงื่อนไขและขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายต่างประเทศ
จำเลยฎีกาว่า ผู้ส่งได้ยอมตกลงรับรู้ข้อกำหนดต่าง ๆ รวมทั้งข้อจำกัดความรับผิดในใบตราส่ง อันโยงไปถึงจำนวนอัตราค่าทดแทนที่กำหนดไว้ในมาตรา 4(5) ของกฎหมายว่าด้วยการขนส่งสินค้าทางทะเล ค.ศ.1936 ของประเทศสหรัฐอเมริกา (คือไม่เกิน 500เหรียญสหรัฐต่อ 1 หีบห่อ) ข้อจำกัดความรับผิดดังกล่าวจึงไม่เป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. ความข้อนี้จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นข้อพิพาทไว้โดยจำเลยให้การเพียงว่า ข้อจำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งประเภทธรรมดามีเพียงไม่เกิน 500 เหรียญสหรัฐหรือ11,500 บาทต่อ 1 หีบห่อ ซึ่งได้ระบุไว้โดยชัดแจ้งอยู่ในหน้าหลังของใบตราส่ง และผู้ส่งสินค้ารายพิพาทในคดีนี้ก็ได้ยอมรับและรับรู้เงื่อนไขข้อตกลงดังกล่าวแล้วด้วย ไม่มีข้อความตอนใดในคำให้การของจำเลยอ้างถึงข้อจำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งที่ระบุไว้ในหน้าหลังของใบตราส่งว่าให้ใช้กฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกาดังจำเลยฎีกา ฎีกาของจำเลยจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 เมื่อเป็นดังนี้ปัญหาที่ว่าข้อจำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งที่ระบุไว้ในหน้าหลังของใบตราส่งว่าให้ใช้กฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกา จำขัดกับป.พ.พ. มาตรา 625 และจะเป็นการใช้กฎหมายต่างประเทศมาบังคับแก่คดีนี้ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยหรือไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัย (ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1792/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขัดทรัพย์กรณีจำนองที่ดินโดยตัวแทนที่ไม่เปิดเผยชื่อ ผู้ร้องไม่อาจอ้างสิทธิกระทบสิทธิโจทก์
เมื่อศาลชั้นต้นตรวจคำร้องขัดทรัพย์แล้วไม่มีเหตุที่จะมีคำสั่งให้คืนไปทำมาใหม่หรือแก้ไขเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ก็ต้องสั่งรับคำร้องไว้คำร้องขัดทรัพย์จะแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาหรือไม่ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องพิจารณาในชั้นตรวจคำร้องขัดทรัพย์ ต่อมาเมื่อได้พิจารณาคำร้องขัดทรัพย์และคำให้การของโจทก์แล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยาน ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งงดสืบพยานและพิจารณาพิพากษาคดีไปได้เลย ดังนั้น เมื่อเห็นว่าไม่อาจบังคับตามคำร้องขัดทรัพย์ได้ ก็ย่อมมีอำนาจสั่งยกคำร้องขัดทรัพย์นั้นเสีย
คำร้องขัดทรัพย์อ้างเพียงว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินที่โจทก์นำยึดโดยใส่ชื่อจำเลยที่ 3 ไว้ในโฉนดแทนเท่านั้น มิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์รับจำนองที่ดินโดยไม่สุจริต จึงไม่มีประเด็นในเรื่องนี้ ผู้ร้องยกขึ้นฎีกาไม่ได้
การที่ผู้ร้องขัดทรัพย์ใส่ชื่อจำเลยที่ 3 ในโฉนดแทนตนเป็นเรื่องที่ผู้ร้องซึ่งเป็นตัวการไม่เปิดเผยชื่อยอมให้จำเลยที่ 3 ผู้เป็นตัวแทนทำการออกนอกหน้าเป็นตัวการนำที่ดินพิพาทไปจำนองกับโจทก์ ผู้ร้องจึงหาอาจทำให้เสื่อมเสียแก่สิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่มีต่อจำเลยที่ 3 ผู้เป็นตัวแทนและขวนขวายได้สิทธิมาก่อนที่จะรู้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนของผู้ร้องได้ไม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 806.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1762/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งระหว่างพิจารณาคดีขัดทรัพย์: การอุทธรณ์และฎีกาที่มิชอบ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 288 วรรคสอง บัญญัติให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีร้องขัดทรัพย์เหมือนอย่างคดีธรรมดาศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ร้องขัดทรัพย์วางเงินประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามมาตรา 288(1) จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นยังไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ผู้ร้องขัดทรัพย์จะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวไม่ได้ต้องห้ามตาม มาตรา 226(1) แม้ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ร้องขัดทรัพย์มาแล้วก็เป็นการไม่ชอบผู้ร้องขัดทรัพย์จะฎีกาต่อมาอีกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1762/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งระหว่างพิจารณาคดีขัดทรัพย์: อุทธรณ์และฎีกาไม่ชอบ เนื่องจากเป็นคำสั่งระหว่างดำเนินการ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 วรรคสอง บัญญัติให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีร้องขัดทรัพย์เหมือนอย่างคดีธรรมดา ศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ร้องขัดทรัพย์วางเงินประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามมาตรา 288 (1) จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นยังไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ผู้ร้องขัดทรัพย์จะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวไม่ได้ ต้องห้ามตาม มาตรา 226(1 แม้ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ร้องขัดทรัพย์มาแล้วก็เป็นการไม่ชอบผู้ร้องขัดทรัพย์จะฎีกาต่อมาอีกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1681/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ต้องมีเหตุผลชัดเจนและมีเหตุอันสมควร มิใช่เพียงการอ้างว่าจะชนะคดี
ปัญหาที่ว่าคำร้องขอของจำเลยเป็นคำขอให้พิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 หรือไม่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
คำร้องขอของจำเลยกล่าวเพียงว่าจำเลยมีพยานหลักฐานที่จะต่อสู้คดี มีทางชนะคดีของโจทก์ได้ เป็นเพียงการชี้แจงข้อเท็จจริงให้ศาลทราบ มิใช่ข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้น จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคท้าย ที่จะให้มีการพิจารณาคดีใหม่.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1681/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ต้องมีเหตุผลชัดเจน หากเป็นเพียงการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีหลักฐานสนับสนุน ศาลไม่รับฟัง
ปัญหาที่ว่าคำร้องขอของจำเลยเป็นคำขอให้พิจารณาใหม่ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 208 หรือไม่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน คำร้องขอของจำเลยกล่าวเพียงว่าจำเลยมีพยานหลักฐานที่จะต่อสู้คดี มีทางชนะคดีของโจทก์ได้ เป็นเพียงการชี้แจงข้อเท็จจริงให้ศาลทราบ มิใช่ข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้น จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 208 วรรคท้าย ที่จะให้มีการพิจารณาคดีใหม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1637/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดจากเพลิงไหม้โรงงาน: การพิสูจน์ความประมาทเลินเละและทรัพย์อันตราย
ประเด็นว่า เตา อบ และน้ำยาฆ่าแมลงที่จำเลยครอบครองเป็นทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้โดยสภาพหรือโดยความมุ่งหมายที่จะใช้ตามป.พ.พ. มาตรา 437 วรรคสอง หรือไม่นั้น เมื่อโจทก์มิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างหรือตั้งประเด็นเกี่ยวกับความรับผิดตามมาตราดังกล่าวไว้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.
of 294