พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,935 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4816/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีภายใน 10 ปี: การยึดทรัพย์เกินกำหนดเวลา และประเด็นการชำระหนี้ที่ศาลสั่งงดสืบพยาน
การร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาต้องดำเนินการตามขั้นตอน ขั้นแรกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีแล้ว และจากนั้นต้องแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามขั้นตอนดังกล่าวส่วนการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะไปยึดทรัพย์เมื่อใดนั้นเป็นขั้นตอนการดำเนินงานของเจ้าพนักงานบังคับคดี แม้เจ้าพนักงานบังคับคดีจะไปทำการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 และที่ 4 เกินสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนครบถ้วนแล้วภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา ก็ถือได้ว่าโจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 แล้ว สำหรับประเด็นที่ว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้ครบถ้วนแล้วหรือไม่นั้น ในวันนัดพร้อมตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 16มิถุนายน 2526 โจทก์กับจำเลยที่ 2 ที่ 4 แถลงร่วมกัน ว่า "กรณีนี้ฝ่ายโจทก์ได้ยื่นคำแถลงขอให้ เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์กรณีพิพาทเมื่อวันที่17 มกราคม 2526 แต่เจ้าพนักงานได้ทำการยึดทรัพย์เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2526 และคู่กรณีขอให้ศาลวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความดังกล่าว" ศาลมีคำสั่งว่า "ศาลเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้นัดฟังคำสั่งกรณีนี้ ในวันที่ 27 มิถุนายน 2526 เวลา 10 นาฬิกา" แม้คำแถลงของจำเลย ที่ 2 และที่ 4 จะยังไม่ชัดแจ้งว่า จำเลยที่2 และที่ 4 ได้สละประเด็นดังกล่าว แต่คำสั่งศาลที่ว่าคดีพอวินิจฉัยได้ และนัดฟังคำสั่งเป็นการสั่งงดสืบพยาน อันเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 จำเลยที่ 2และที่ 4 มีโอกาสโต้แย้งคำสั่งแต่ไม่ได้โต้แย้งไว้จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะฎีกา เพราะถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4581/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีจดทะเบียนสมรส: การบรรยายชื่อตำแหน่งนายทะเบียน และสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม
ปัญหาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องระบุชื่อจำเลยที่ 2 ในฐานะนายทะเบียนครอบครัว ต้องฟ้องนายทะเบียนระบุตำแหน่งโดยตรงนั้น เป็นเรื่องการบรรยายฟ้องระบุชื่อบุคคลและตำแหน่งมาพร้อมกัน ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยที่ 2 มิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
นายทะเบียนไม่ยอมรับจดทะเบียนสมรสให้โจทก์พระราชบัญญัติ จดทะเบียนครอบครัว พุทธศักราช 2478 ให้สิทธิแก่โจทก์ที่จะยื่นคำร้อง ต่อศาลโดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลไม่จำต้องปฏิบัติตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยค่าธรรมเนียมตาม ตารางท้ายประมวลกฎหมายนั้นมิได้เป็นบทบังคับเด็ดขาด แต่เป็นการให้สิทธิแก่โจทก์เป็นกรณีพิเศษจึงไม่ตัดสิทธิของโจทก์ ที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อ โจทก์ทั้งสองโดยผิดกฎหมาย ให้โจทก์เสียสิทธิที่จะได้จดทะเบียนสมรสกันซึ่งจำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ต้องปฏิบัติ แต่ไม่ปฏิบัติอันเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ทั้งสอง ถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลตามกฎหมายแพ่ง โจทก์ย่อมฟ้องจำเลยเป็นคดีมีข้อพิพาทตามบทกฎหมายดังกล่าวได้
นายทะเบียนไม่ยอมรับจดทะเบียนสมรสให้โจทก์พระราชบัญญัติ จดทะเบียนครอบครัว พุทธศักราช 2478 ให้สิทธิแก่โจทก์ที่จะยื่นคำร้อง ต่อศาลโดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลไม่จำต้องปฏิบัติตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยค่าธรรมเนียมตาม ตารางท้ายประมวลกฎหมายนั้นมิได้เป็นบทบังคับเด็ดขาด แต่เป็นการให้สิทธิแก่โจทก์เป็นกรณีพิเศษจึงไม่ตัดสิทธิของโจทก์ ที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อ โจทก์ทั้งสองโดยผิดกฎหมาย ให้โจทก์เสียสิทธิที่จะได้จดทะเบียนสมรสกันซึ่งจำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ต้องปฏิบัติ แต่ไม่ปฏิบัติอันเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ทั้งสอง ถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลตามกฎหมายแพ่ง โจทก์ย่อมฟ้องจำเลยเป็นคดีมีข้อพิพาทตามบทกฎหมายดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4581/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีจดทะเบียนสมรส: การระบุตำแหน่งนายทะเบียน และสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม
ปัญหาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องระบุชื่อจำเลยที่ 2 ในฐานะนายทะเบียนครอบครัว ต้องฟ้องนายทะเบียนระบุตำแหน่งโดยตรงนั้นเป็นเรื่องการบรรยายฟ้องระบุชื่อบุคคลและตำแหน่งมาพร้อมกันชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยที่ 2 มิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ นายทะเบียนไม่ยอมรับจดทะเบียนสมรสให้โจทก์พระราชบัญญัติ จดทะเบียนครอบครัว พุทธศักราช 2478 ให้สิทธิแก่โจทก์ที่จะยื่นคำร้อง ต่อศาลโดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลไม่จำต้องปฏิบัติตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยค่าธรรมเนียมตาม ตารางท้ายประมวลกฎหมายนั้นมิได้เป็นบทบังคับเด็ดขาด แต่เป็น การให้สิทธิแก่โจทก์เป็นกรณีพิเศษจึงไม่ตัดสิทธิของโจทก์ ที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อ โจทก์ทั้งสองโดยผิดกฎหมาย ให้โจทก์เสียสิทธิที่จะได้ จดทะเบียนสมรสกันซึ่งจำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ต้องปฏิบัติ แต่ไม่ปฏิบัติอันเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ทั้งสอง ถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลตามกฎหมายแพ่ง โจทก์ย่อมฟ้องจำเลยเป็นคดีมีข้อพิพาทตามบทกฎหมายดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4446-4449/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: การประเมินความประมาท, การแบ่งความรับผิด และข้อยกเว้นการฟ้องเรียกค่าเสียหาย
รถของโจทก์ที่ 1 ชนกับรถของจำเลยที่ 2 แม้ส.คนขับรถ ของโจทก์ที่ 1 จะขับรถโดยประมาทเลินเล่อด้วยแต่โจทก์ที่ 4 เป็นเพียงนั่งโดยสารมากับรถของโจทก์ที่1 คันเกิดเหตุมิได้มีส่วน ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นด้วยจำเลยทั้งสามจึงต้องรับผิดชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่ 4 เต็มจำนวนโดยไม่อาจแบ่ง ความรับผิดให้แก่โจทก์ที่ 4 ได้ และปัญหาข้อนี้เกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์ที่ 4 จะไม่ได้ยกขึ้นอ้าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเพื่อความเป็นธรรมแก่โจทก์ที่ 4ได้
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่ารถของโจทก์ที่ 1 ชนกับรถของจำเลยที่ 2 เพราะส. ซึ่งเป็นคนขับรถของโจทก์ที่ 1และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็น คนขับรถของจำเลยที่ 2 ขับรถโดยประมาทเลินเล่อด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่จำเลยที่ 1เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อมากกว่ากรณีเช่นนี้ จำเลยที่2 ซึ่งเป็นฝ่ายผิดมากกว่าก็ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องให้โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็น ฝ่ายผิดน้อยกว่าให้รับผิดในความเสียหายของจำเลยที่ 2 ได้ ปัญหาดังกล่าวนี้เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่ง ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่ารถของโจทก์ที่ 1 ชนกับรถของจำเลยที่ 2 เพราะส. ซึ่งเป็นคนขับรถของโจทก์ที่ 1และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็น คนขับรถของจำเลยที่ 2 ขับรถโดยประมาทเลินเล่อด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่จำเลยที่ 1เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อมากกว่ากรณีเช่นนี้ จำเลยที่2 ซึ่งเป็นฝ่ายผิดมากกว่าก็ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องให้โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็น ฝ่ายผิดน้อยกว่าให้รับผิดในความเสียหายของจำเลยที่ 2 ได้ ปัญหาดังกล่าวนี้เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่ง ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4446-4449/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: การประเมินความผิดและขอบเขตความรับผิดของแต่ละฝ่าย
รถของโจทก์ที่ 1 ชนกับรถของจำเลยที่ 2 แม้ ส. คนขับรถ ของโจทก์ที่ 1 จะขับรถโดยประมาทเลินเล่อด้วย แต่โจทก์ที่ 4 เป็นเพียงนั่งโดยสารมากับรถของโจทก์ที่ 1 คันเกิดเหตุมิได้มีส่วน ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นด้วย จำเลยทั้งสามจึงต้องรับผิดชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่ 4 เต็มจำนวนโดยไม่อาจแบ่ง ความรับผิดให้แก่โจทก์ที่ 4 ได้ และปัญหาข้อนี้เกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์ที่ 4 จะไม่ได้ยกขึ้นอ้างศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเพื่อความเป็นธรรมแก่โจทก์ที่ 4 ได้
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่ารถของโจทก์ที่ 1 ชนกับรถของจำเลยที่ 2 เพราะ ส. ซึ่งเป็นคนขับรถของโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็น คนขับรถของจำเลยที่ 2 ขับรถโดยประมาทเลินเล่อด้วยกันทั้งสองฝ่ายแต่จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อมากกว่ากรณีเช่นนี้ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นฝ่ายผิดมากกว่าก็ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องให้โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นฝ่ายผิดน้อยกว่าให้รับผิดในความเสียหายของจำเลยที่ 2 ได้ ปัญหาดังกล่าวนี้เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่ารถของโจทก์ที่ 1 ชนกับรถของจำเลยที่ 2 เพราะ ส. ซึ่งเป็นคนขับรถของโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็น คนขับรถของจำเลยที่ 2 ขับรถโดยประมาทเลินเล่อด้วยกันทั้งสองฝ่ายแต่จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อมากกว่ากรณีเช่นนี้ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นฝ่ายผิดมากกว่าก็ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องให้โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นฝ่ายผิดน้อยกว่าให้รับผิดในความเสียหายของจำเลยที่ 2 ได้ ปัญหาดังกล่าวนี้เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4302/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจดทะเบียนสมรสข้ามสัญชาติ: อำนาจศาลเมื่อนายทะเบียนยับยั้งการจดทะเบียน และข้อจำกัดในการอ้างเหตุใหม่ในฎีกา
เมื่อนายทะเบียนเห็นว่าผู้ร้องขอจดทะเบียนสมรสมีคุณสมบัติครบถ้วนตามเงื่อนไขการสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 แล้วแต่กลับยับยั้งการจดทะเบียนสมรสไว้ โดยหารือไปยังจังหวัดก่อนนั้นย่อมถือได้ว่าเป็นการไม่ยอมรับจดทะเบียนสมรส อันผู้มีส่วนได้เสียอาจยื่นคำร้องต่อศาลตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 15 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พุทธศักราช 2478 แล้ว ในชั้นยื่นคำคัดค้านผู้คัดค้านอ้างเหตุที่ทำให้คำร้องเคลือบคลุมอย่างหนึ่งแต่เหตุที่ผู้คัดค้านยกขึ้นอ้างในฎีกาว่าคำร้องเคลือบคลุมเป็นอีกอย่างหนึ่งต่างกันดังนั้นฎีกาของผู้คัดค้านข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย พระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พุทธศักราช 2481มาตรา 19 ซึ่งบัญญัติว่า 'เงื่อนไขแห่งการสมรสให้เป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของคู่กรณีแต่ละฝ่าย'นั้นหาใช่บทกฎหมายที่ผู้คัดค้านจะนำมาใช้ในชั้นพิจารณาคำร้องขอจดทะเบียนสมรสไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4302/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจดทะเบียนสมรส: อำนาจศาลเมื่อนายทะเบียนยับยั้งการจดทะเบียน และข้อจำกัดในการฎีกา
เมื่อนายทะเบียนเห็นว่าผู้ร้องขอจดทะเบียนสมรสมีคุณสมบัติครบถ้วนตามเงื่อนไขการสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 แล้วแต่กลับยับยั้งการจดทะเบียนสมรสไว้ โดยหารือไปยังจังหวัดก่อนนั้นย่อมถือได้ว่าเป็นการไม่ยอมรับจดทะเบียนสมรส อันผู้มีส่วนได้เสียอาจยื่นคำร้องต่อศาลตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 15 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พุทธศักราช 2478 แล้ว
ในชั้นยื่นคำคัดค้านผู้คัดค้านอ้างเหตุที่ทำให้คำร้องเคลือบคลุมอย่างหนึ่ง แต่เหตุที่ผู้คัดค้านยกขึ้นอ้างในฎีกาว่าคำร้องเคลือบคลุมเป็นอีกอย่างหนึ่งต่างกัน ดังนั้นฎีกาของผู้คัดค้านข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พุทธศักราช 2481 มาตรา 19 ซึ่งบัญญัติว่า "เงื่อนไขแห่งการสมรสให้เป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของคู่กรณีแต่ละฝ่าย" นั้น หาใช่บทกฎหมายที่ผู้คัดค้านจะนำมาใช้ในชั้นพิจารณาคำร้องขอจดทะเบียนสมรสไม่
ในชั้นยื่นคำคัดค้านผู้คัดค้านอ้างเหตุที่ทำให้คำร้องเคลือบคลุมอย่างหนึ่ง แต่เหตุที่ผู้คัดค้านยกขึ้นอ้างในฎีกาว่าคำร้องเคลือบคลุมเป็นอีกอย่างหนึ่งต่างกัน ดังนั้นฎีกาของผู้คัดค้านข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พุทธศักราช 2481 มาตรา 19 ซึ่งบัญญัติว่า "เงื่อนไขแห่งการสมรสให้เป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของคู่กรณีแต่ละฝ่าย" นั้น หาใช่บทกฎหมายที่ผู้คัดค้านจะนำมาใช้ในชั้นพิจารณาคำร้องขอจดทะเบียนสมรสไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4071/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดบังคับคดีเมื่อทรัพย์สินที่อายัดเป็นตัวเงิน ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ต้องขายทอดตลาด
จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วแก่โจทก์ศาลชั้นต้นจึงออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์อายัดเงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งเก็บรักษาอยู่ที่กรมบังคับคดีในคดีที่จำเลยชนะคดีบุคคลภายนอก เมื่อทรัพย์สินที่ศาลอายัดไว้ดังกล่าวเป็นตัวเงินมิใช่ทรัพย์สินที่จะต้อง มีการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายโดยวิธีอื่นย่อมไม่มีกรณีที่จะต้องบังคับ ตามคำพิพากษาเพื่อให้มีการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สิน ของจำเลยโดยวิธีอื่นจึงมิใช่กรณีที่จำเลยจะขอให้งดการบังคับคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 และปัญหานี้ เป็นเรื่องอำนาจยื่นคำร้องซึ่งเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นก็ย่อมอ้างอิงปัญหาเช่นว่านี้ในชั้นอุทธรณ์ฎีกา ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4071/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การงดบังคับคดีเมื่อทรัพย์สินที่อายัดเป็นตัวเงิน มิใช่ทรัพย์สินที่ต้องขายทอดตลาด
จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วแก่โจทก์ศาลชั้นต้นจึงออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์อายัดเงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งเก็บรักษาอยู่ที่กรมบังคับคดีในคดีที่จำเลยชนะคดีบุคคลภายนอก เมื่อทรัพย์สินที่ศาลอายัดไว้ดังกล่าวเป็นตัวเงินมิใช่ทรัพย์สินที่จะต้อง มีการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายโดยวิธีอื่นย่อมไม่มีกรณีที่จะต้องบังคับ ตามคำพิพากษาเพื่อให้มีการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สิน ของจำเลยโดยวิธีอื่นจึงมิใช่กรณีที่จำเลยจะขอให้งดการบังคับคดี ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 และปัญหานี้ เป็นเรื่องอำนาจยื่นคำร้องซึ่งเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นก็ย่อมอ้างอิงปัญหาเช่นว่านี้ในชั้นอุทธรณ์ฎีกา ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3985/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่โต้แย้งคำสั่งศาลในชั้นพิจารณาทำให้สิทธิอุทธรณ์ระงับ และประเด็นใหม่ที่ไม่ได้ยกขึ้นในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยนำพยานเข้าสืบก่อนแล้ว แถลงหมดพยานศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ จึงงดสืบพยานโจทก์ และนัดฟังคำพิพากษาในวันรุ่งขึ้นคำสั่งเช่นนี้เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ทนายจำเลยรับทราบ คำสั่งในวันนั้น และยังมีโอกาสโต้แย้งคำสั่งได้ก่อนฟังคำพิพากษา แต่ก็มิได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นจำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่ง ดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (2)
จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็เป็นการมิชอบ ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกา ไม่รับวินิจฉัยให้
ตามคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยมิได้ยกข้อเท็จจริงขึ้นโต้เถียงว่าจำเลยเช่าที่พิพาทจากโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยเช่าที่พิพาทจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ที่โต้เถียงกันในชั้นอุทธรณ์ถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว ในศาลอุทธรณ์เช่นเดียวกันศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็เป็นการมิชอบ ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกา ไม่รับวินิจฉัยให้
ตามคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยมิได้ยกข้อเท็จจริงขึ้นโต้เถียงว่าจำเลยเช่าที่พิพาทจากโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยเช่าที่พิพาทจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ที่โต้เถียงกันในชั้นอุทธรณ์ถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว ในศาลอุทธรณ์เช่นเดียวกันศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้