พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,935 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3249/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบังคับคดีตามคำพิพากษาตกทอดแก่ทายาท ผู้จัดการมรดกมีสิทธิดำเนินการต่อได้
สิทธิเกี่ยวกับการบังคับคดีตามคำพิพากษา มิใช่เป็นสิทธิเฉพาะตัว ย่อมตกทอดแก่ทายาท ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกมีสิทธิขอดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้
จำเลยฎีกาว่าโจทก์ถึงแก่กรรมก่อนศาลมีคำพิพากษา ผู้ร้องมิได้ยื่นคำร้องขอรับมรดกความแทนโจทก์ ผู้ร้องไม่มีสิทธิเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ อันเป็นฎีกาทำนองเดียวกับในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้ทนายโจทก์และทนายจำเลยฟังโดยไม่ทราบเรื่องโจทก์ถึงแก่ความตาย คำพิพากษาศาลฎีกามีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายผู้ร้องในฐานะผู้จัดการมรดกของโจทก์มีสิทธิที่จะดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้ ฎีกาของจำเลยจึงมิใช่เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยฎีกาว่าโจทก์ถึงแก่กรรมก่อนศาลมีคำพิพากษา ผู้ร้องมิได้ยื่นคำร้องขอรับมรดกความแทนโจทก์ ผู้ร้องไม่มีสิทธิเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ อันเป็นฎีกาทำนองเดียวกับในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้ทนายโจทก์และทนายจำเลยฟังโดยไม่ทราบเรื่องโจทก์ถึงแก่ความตาย คำพิพากษาศาลฎีกามีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายผู้ร้องในฐานะผู้จัดการมรดกของโจทก์มีสิทธิที่จะดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้ ฎีกาของจำเลยจึงมิใช่เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3249/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบังคับคดีตามคำพิพากษาตกทอดแก่ทายาท ผู้จัดการมรดกมีสิทธิดำเนินการต่อไปได้
สิทธิเกี่ยวกับการบังคับคดีตามคำพิพากษา มิใช่เป็นสิทธิเฉพาะตัวย่อมตกทอดแก่ทายาท ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกมีสิทธิขอดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้
จำเลยฎีกาว่าโจทก์ถึงแก่กรรมก่อนศาลมีคำพิพากษา ผู้ร้องมิได้ยื่นคำร้องขอรับมรดกความแทนโจทก์ ผู้ร้องไม่มีสิทธิเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ อันเป็นฎีกาทำนองเดียวกับในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้ทนายโจทก์และทนายจำเลยฟังโดยไม่ทราบเรื่องโจทก์ถึงแก่ความตาย คำพิพากษาศาลฎีกามีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายผู้ร้องในฐานะผู้จัดการมรดกของโจทก์มีสิทธิที่จะดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้ ฎีกาของจำเลยจึงมิใช่เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยฎีกาว่าโจทก์ถึงแก่กรรมก่อนศาลมีคำพิพากษา ผู้ร้องมิได้ยื่นคำร้องขอรับมรดกความแทนโจทก์ ผู้ร้องไม่มีสิทธิเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ อันเป็นฎีกาทำนองเดียวกับในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้ทนายโจทก์และทนายจำเลยฟังโดยไม่ทราบเรื่องโจทก์ถึงแก่ความตาย คำพิพากษาศาลฎีกามีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายผู้ร้องในฐานะผู้จัดการมรดกของโจทก์มีสิทธิที่จะดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้ ฎีกาของจำเลยจึงมิใช่เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3240/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิภารจำยอม-ส่วนควบ-การซื้อขายโดยสุจริต กรณีสร้างบ้านในที่ดินของตนเอง
ปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้จดทะเบียนภารจำยอมที่พิพาทโดยอ้างเหตุเจ้าของรวมคนหนึ่งของสามยทรัพย์ได้ใช้สิทธิมาแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1396 ได้หรือไม่ โจทก์เพิ่งจะยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ฎีกาและมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
เจ้าของเดิมปลูกบ้านในที่ดินของตนเอง ต่อมาโจทก์อ้างว่าโจทก์รับโอนบ้านจำเลยรับโอนที่ดิน ดังนี้ กรณีจะ ปรับเข้ากับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 หาได้ไม่เพราะมาตรา 1310 เป็นเรื่องสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่น
บ้านเป็นส่วนควบของที่ดิน หากจำเลยซื้อที่ดินจากเจ้าของเดิมโดยสุจริตจำเลยย่อมได้บ้านไปด้วยตามหลักส่วนควบดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 107 วรรคสอง
ประเด็นเรื่องส่วนควบเป็นประเด็นที่ว่ากันมาแล้วตั้งแต่ศาลชั้นต้นและจำเลยได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในชั้นอุทธรณ์ด้วยแล้ว แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยให้ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา แม้จำเลยจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยประเด็นข้อนี้เสียเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1), 247 โดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่
เจ้าของเดิมปลูกบ้านในที่ดินของตนเอง ต่อมาโจทก์อ้างว่าโจทก์รับโอนบ้านจำเลยรับโอนที่ดิน ดังนี้ กรณีจะ ปรับเข้ากับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 หาได้ไม่เพราะมาตรา 1310 เป็นเรื่องสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่น
บ้านเป็นส่วนควบของที่ดิน หากจำเลยซื้อที่ดินจากเจ้าของเดิมโดยสุจริตจำเลยย่อมได้บ้านไปด้วยตามหลักส่วนควบดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 107 วรรคสอง
ประเด็นเรื่องส่วนควบเป็นประเด็นที่ว่ากันมาแล้วตั้งแต่ศาลชั้นต้นและจำเลยได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในชั้นอุทธรณ์ด้วยแล้ว แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยให้ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา แม้จำเลยจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยประเด็นข้อนี้เสียเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1), 247 โดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3240/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิภารจำยอมและกรรมสิทธิ์ในส่วนควบ กรณีซื้อขายที่ดินและบ้านโดยไม่สุจริต
ปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้จดทะเบียนภารจำยอมที่พิพาทโดยอ้างเหตุเจ้าของรวมคนหนึ่งของสามยทรัพย์ได้ใช้สิทธิมาแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1396 ได้หรือไม่ โจทก์เพิ่งจะยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ฎีกาและมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
เจ้าของเดิมปลูกบ้านในที่ดินของตนเอง ต่อมาโจทก์อ้างว่าโจทก์รับโอนบ้านจำเลยรับโอนที่ดิน ดังนี้ กรณีจะปรับเข้ากับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 หาได้ไม่เพราะมาตรา 1310 เป็นเรื่องสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่น
บ้านเป็นส่วนควบของที่ดิน หากจำเลยซื้อที่ดินจากเจ้าของเดิมโดยสุจริตจำเลยย่อมได้บ้านไปด้วยตามหลักส่วนควบดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 107 วรรคสอง
ประเด็นเรื่องส่วนควบเป็นประเด็นที่ว่ากันมาแล้วตั้งแต่ศาลชั้นต้นและจำเลยได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในชั้นอุทธรณ์ด้วยแล้ว แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยให้ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา แม้จำเลยจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยประเด็นข้อนี้เสียเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1), 247 โดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่
เจ้าของเดิมปลูกบ้านในที่ดินของตนเอง ต่อมาโจทก์อ้างว่าโจทก์รับโอนบ้านจำเลยรับโอนที่ดิน ดังนี้ กรณีจะปรับเข้ากับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 หาได้ไม่เพราะมาตรา 1310 เป็นเรื่องสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่น
บ้านเป็นส่วนควบของที่ดิน หากจำเลยซื้อที่ดินจากเจ้าของเดิมโดยสุจริตจำเลยย่อมได้บ้านไปด้วยตามหลักส่วนควบดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 107 วรรคสอง
ประเด็นเรื่องส่วนควบเป็นประเด็นที่ว่ากันมาแล้วตั้งแต่ศาลชั้นต้นและจำเลยได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในชั้นอุทธรณ์ด้วยแล้ว แต่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยให้ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา แม้จำเลยจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยประเด็นข้อนี้เสียเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1), 247 โดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3175/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้างต่อละเมิดของลูกจ้าง และขอบเขตความรับผิดในทางการจ้าง
ปัญหาว่ากรรมการบริษัทโจทก์ที่ลงชื่อฟ้องคดีมีอำนาจลงชื่อผูกพันบริษัทในวงเงินไม่เกินหนึ่งแสนบาท ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินเกินหนึ่งแสนบาท นั้น เป็นปัญหาระหว่างบริษัทกับกรรมการไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเมื่อมิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น จึงยกขึ้นฎีกาไม่ได้
จำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างหน้าที่พนักงานขับรถของจำเลยที่ 1 ทำงานอยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 วันเกิดเหตุนอกเวลาราชการ จำเลยที่ 3 ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 2ขับรถนำข้าวสารไปเก็บที่สวนของจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 3 ไปนอนเฝ้าเป็นประจำ ถือได้โดยปริยายว่าจำเลยที่ 1ก็อนุญาตด้วย ระหว่างขับรถกลับมาเก็บที่กรมจำเลยที่ 1ตามระเบียบ จำเลยที่ 3 ได้ขับด้วยความประมาทชนรถโจทก์เสียหายจึงถือได้ว่าอยู่ระหว่างเวลาปฏิบัติหน้าที่ตามทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์
จำเลยที่ 3 ทำงานส่วนตัวให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยได้รับเงินรางวัลบ้างเป็นครั้งคราวตามอัธยาศัย ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 3 ในกิจการดังกล่าว จึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ในมูลละเมิดที่จำเลยที่ 3 เป็นผู้ก่อ ในฐานะนายจ้างดังโจทก์ฟ้อง
จำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างหน้าที่พนักงานขับรถของจำเลยที่ 1 ทำงานอยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 วันเกิดเหตุนอกเวลาราชการ จำเลยที่ 3 ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 2ขับรถนำข้าวสารไปเก็บที่สวนของจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 3 ไปนอนเฝ้าเป็นประจำ ถือได้โดยปริยายว่าจำเลยที่ 1ก็อนุญาตด้วย ระหว่างขับรถกลับมาเก็บที่กรมจำเลยที่ 1ตามระเบียบ จำเลยที่ 3 ได้ขับด้วยความประมาทชนรถโจทก์เสียหายจึงถือได้ว่าอยู่ระหว่างเวลาปฏิบัติหน้าที่ตามทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์
จำเลยที่ 3 ทำงานส่วนตัวให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยได้รับเงินรางวัลบ้างเป็นครั้งคราวตามอัธยาศัย ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 3 ในกิจการดังกล่าว จึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ในมูลละเมิดที่จำเลยที่ 3 เป็นผู้ก่อ ในฐานะนายจ้างดังโจทก์ฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3175/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดของนายจ้างต่อลูกจ้าง และขอบเขตความรับผิดในทางการที่จ้าง
ปัญหาว่ากรรมการบริษัทโจทก์ที่ลงชื่อฟ้องคดีมีอำนาจลงชื่อผูกพันบริษัทในวงเงินไม่เกินหนึ่งแสนบาท ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินเกินหนึ่งแสนบาท นั้น เป็นปัญหาระหว่างบริษัทกับกรรมการ ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเมื่อมิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น จึงยกขึ้นฎีกาไม่ได้
จำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างหน้าที่พนักงานขับรถของจำเลยที่ 1 ทำงานอยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 วันเกิดเหตุนอกเวลาราชการ จำเลยที่ 3 ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 2 ขับรถนำข้าวสารไปเก็บที่สวนของจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 3 ไปนอนเฝ้าเป็นประจำ ถือได้โดยปริยายว่าจำเลยที่ 1 ก็อนุญาตด้วย ระหว่างขับรถกลับมาเก็บที่กรมจำเลยที่ 1 ตามระเบียบ จำเลยที่ 3 ได้ขับด้วยความประมาทชนรถโจทก์เสียหายจึงถือได้ว่าอยู่ระหว่างเวลาปฏิบัติหน้าที่ตามทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์
จำเลยที่ 3 ทำงานส่วนตัวให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยได้รับเงินรางวัลบ้างเป็นครั้งคราวตามอัธยาศัย ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 3 ในกิจการดังกล่าว จึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ในมูลละเมิดที่จำเลยที่ 3 เป็นผู้ก่อ ในฐานะนายจ้างดังโจทก์ฟ้อง
จำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างหน้าที่พนักงานขับรถของจำเลยที่ 1 ทำงานอยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 วันเกิดเหตุนอกเวลาราชการ จำเลยที่ 3 ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 2 ขับรถนำข้าวสารไปเก็บที่สวนของจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 3 ไปนอนเฝ้าเป็นประจำ ถือได้โดยปริยายว่าจำเลยที่ 1 ก็อนุญาตด้วย ระหว่างขับรถกลับมาเก็บที่กรมจำเลยที่ 1 ตามระเบียบ จำเลยที่ 3 ได้ขับด้วยความประมาทชนรถโจทก์เสียหายจึงถือได้ว่าอยู่ระหว่างเวลาปฏิบัติหน้าที่ตามทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์
จำเลยที่ 3 ทำงานส่วนตัวให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยได้รับเงินรางวัลบ้างเป็นครั้งคราวตามอัธยาศัย ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 3 ในกิจการดังกล่าว จึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ในมูลละเมิดที่จำเลยที่ 3 เป็นผู้ก่อ ในฐานะนายจ้างดังโจทก์ฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3010/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาขายฝากไม่ใช่หลักฐานการกู้ยืม ศาลไม่รับวินิจฉัยประเด็นใหม่ที่ไม่ได้ยกขึ้นในชั้นต้น
ฎีกาโจทก์ที่ว่าสัญญาขายฝากตามฟ้องเป็นสัญญาที่ทำขึ้นอำพรางสัญญากู้เงิน จึงใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินตามเจตนาเดิมได้นั้น โจทก์มิได้ยกข้ออ้างดังกล่าวขึ้นบรรยายเป็นประเด็นไว้ในฟ้องและศาลชั้นต้นก็มิได้ตั้งประเด็นวินิจฉัยมา จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
หนังสือสัญญาขายฝากที่ดินเป็นหลักฐานในการขายฝากที่ดินหาใช่เป็นหลักฐานในการกู้ยืมไม่ โจทก์จะเอาสัญญาขายฝากมาฟ้องอ้างว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 ไม่ได้
หนังสือสัญญาขายฝากที่ดินเป็นหลักฐานในการขายฝากที่ดินหาใช่เป็นหลักฐานในการกู้ยืมไม่ โจทก์จะเอาสัญญาขายฝากมาฟ้องอ้างว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3010/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานการกู้ยืม - สัญญาขายฝากไม่ใช่หลักฐานการกู้ยืม แม้จะอ้างเป็นเจตนาเดิม ศาลไม่รับวินิจฉัยหากมิได้ยกประเด็นในชั้นต้น
ฎีกาโจทก์ที่ว่าสัญญาขายฝากตามฟ้องเป็นสัญญาที่ทำขึ้นอำพรางสัญญากู้เงินจึงใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินตามเจตนาเดิมได้นั้น โจทก์มิได้ยกข้ออ้างดังกล่าวขึ้นบรรยายเป็นประเด็นไว้ในฟ้อง และศาลชั้นต้นมิได้ตั้งประเด็นวินิจฉัยมา จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
หนังสือสัญญาขายฝากที่ดินเป็นหลักฐานในการขายฝากที่ดิน หาใช่เป็นหลักฐานในการกู้ยืมไม่ โจทก์จะเอาสัญญาขายฝากมาฟ้องอ้างว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตาม 653 ไม่ได้
หนังสือสัญญาขายฝากที่ดินเป็นหลักฐานในการขายฝากที่ดิน หาใช่เป็นหลักฐานในการกู้ยืมไม่ โจทก์จะเอาสัญญาขายฝากมาฟ้องอ้างว่าเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตาม 653 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2882/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ-ห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริง: คดีค่าเลี้ยงดูที่อ้างเหตุต่างกัน ศาลไม่รับฎีกา
คดีเดิมโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าเลี้ยงดูตามหนังสือสัญญาเช่นเดียวกับคดีนี้ แต่ขณะฟ้องโจทก์ยังพักอยู่ในบ้านพิพาท ศาลวินิจฉัยว่าเมื่อโจทก์ยังพักอยู่ในบ้านพิพาท โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาพิพากษายกฟ้อง ส่วนขณะฟ้องคดีนี้โจทก์อ้างว่าไม่ได้พักอยู่ในบ้านพิพาทแล้วจึงเป็นเรื่องที่โจทก์อ้างเหตุขึ้นใหม่ แม้โจทก์จำเลยจะเป็นคู่ความเดียวกันกับคดีเดิมฟ้องโจทก์ก็ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์ขอให้จำเลยชำระค่าเลี้ยงดูเป็นเงิน 13,075 บาทกับให้จำเลยชำระต่อไปเป็นรายเดือนจนตลอดชีวิตของโจทก์เป็นคดีที่จำนวนทุนทรัพย์พิพาทไม่เกิน 20,000 บาท และเป็นการฟ้องตามสัญญาที่โจทก์จำเลยทำไว้ต่อกัน ไม่ใช่คดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัว จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง และข้อเท็จจริงนี้ยุติไปแล้วตั้งแต่ศาลชั้นต้นจำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกา
โจทก์ขอให้จำเลยชำระค่าเลี้ยงดูเป็นเงิน 13,075 บาทกับให้จำเลยชำระต่อไปเป็นรายเดือนจนตลอดชีวิตของโจทก์เป็นคดีที่จำนวนทุนทรัพย์พิพาทไม่เกิน 20,000 บาท และเป็นการฟ้องตามสัญญาที่โจทก์จำเลยทำไว้ต่อกัน ไม่ใช่คดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัว จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง และข้อเท็จจริงนี้ยุติไปแล้วตั้งแต่ศาลชั้นต้นจำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2844/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายเครื่องปรับอากาศ: ข้อพิพาทเรื่องการเป็นผู้ซื้อและการฟ้องแย้งค่านายหน้าที่ไม่สามารถฎีกาได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินค่าซื้อเครื่องปรับอากาศ 110,000 บาทแก่โจทก์ จำเลยให้การว่าไม่ได้เป็นผู้ซื้อแต่เป็นนายหน้าจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ และฟ้องแย้งให้โจทก์ชำระเงินค่านายหน้า 10,600 บาทแก่จำเลยศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเครื่องปรับอากาศและยกฟ้องแย้งจำเลยดังนี้ ฟ้องแย้งของจำเลยต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยในปัญหาข้อเท็จจริงและศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ ก็ไม่เป็นเหตุให้จำเลยมีสิทธิฎีกาได้