พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,935 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 934/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายที่ดินเพื่อการลงทุนไม่ใช่ค้าอสังหาริมทรัพย์ ได้รับยกเว้นภาษีตามประกาศคณะปฏิวัติ
โจทก์ซื้อที่ดินมาโดยเจตนาใช้ทำนา ไม่ใช่ซื้อไว้เพื่อขาย แต่ได้ขายที่ดินไปเพราะที่ดินไม่เหมาะสมจะทำนาต่อไป และในการขายก็ขายไปทั้งแปลงโดยมิได้ปรับปรุงหรือจัดสรรที่ดินขายหากำไร ที่โจทก์ขายได้เงินมากกว่าตอนที่ซื้อมาเนื่องจากที่ดินราคาสูงขึ้นตามกาลเวลาอันเป็นเรื่องปกติ การขายที่ดินของโจทก์ จึงไม่ใช่การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรอันจะถือว่าเป็นการค้าอสังหาริมทรัพย์ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภท 11 แห่งประมวลรัษฎากร
โจทก์ไม่ได้แสดงรายการเงินได้จากการขายที่ดินไว้ในแบบรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้ประจำปี ตามระเบียบที่อธิบดีกรมสรรพากรได้ประกาศ กำหนดไว้ อันทำให้โจทก์ไม่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินได้ดังกล่าวไปรวม คำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(9) แต่ใน ระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น ซึ่งโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินได้มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 9 ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน2520 ออกใช้บังคับ กำหนดว่า ถ้าผู้มีเงินได้ได้ยื่นรายการเพิ่มเติมให้เป็นไป ตามระเบียบดังกล่าว ภายในเดือนมกราคม 2521 ณ ที่ว่าการอำเภอท้องที่ เขตท้องที่หรือกองคลังกรมสรรพากรก็ให้ถือว่าได้ปฏิบัติตามระเบียบแล้ว และเงินได้นั้นให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ดังนี้ ศาลฎีกาย่อมพิเคราะห์สำเนาภาพถ่ายแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด. 9 ซึ่งเจ้าหน้าที่วิเคราะห์ภาษี 5 รับรองสำเนาถูกต้องที่โจทก์ยื่นมาพร้อมกับ ฎีกาและใบรับแบบไม่มีเงินเรียกเก็บ ซึ่งกรมสรรพากรออกให้โจทก์และ โจทก์ยื่นพร้อมคำแถลงการณ์ปิดสำนวนในศาลชั้นต้นประกอบกับวินิจฉัยว่า โจทก์ได้ปฏิบัติตามประกาศของคณะปฏิวัติแล้ว เงินได้ของโจทก์จากการ ขายที่ดิน ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ได้
โจทก์ไม่ได้แสดงรายการเงินได้จากการขายที่ดินไว้ในแบบรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้ประจำปี ตามระเบียบที่อธิบดีกรมสรรพากรได้ประกาศ กำหนดไว้ อันทำให้โจทก์ไม่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินได้ดังกล่าวไปรวม คำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(9) แต่ใน ระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น ซึ่งโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินได้มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 9 ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน2520 ออกใช้บังคับ กำหนดว่า ถ้าผู้มีเงินได้ได้ยื่นรายการเพิ่มเติมให้เป็นไป ตามระเบียบดังกล่าว ภายในเดือนมกราคม 2521 ณ ที่ว่าการอำเภอท้องที่ เขตท้องที่หรือกองคลังกรมสรรพากรก็ให้ถือว่าได้ปฏิบัติตามระเบียบแล้ว และเงินได้นั้นให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ดังนี้ ศาลฎีกาย่อมพิเคราะห์สำเนาภาพถ่ายแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด. 9 ซึ่งเจ้าหน้าที่วิเคราะห์ภาษี 5 รับรองสำเนาถูกต้องที่โจทก์ยื่นมาพร้อมกับ ฎีกาและใบรับแบบไม่มีเงินเรียกเก็บ ซึ่งกรมสรรพากรออกให้โจทก์และ โจทก์ยื่นพร้อมคำแถลงการณ์ปิดสำนวนในศาลชั้นต้นประกอบกับวินิจฉัยว่า โจทก์ได้ปฏิบัติตามประกาศของคณะปฏิวัติแล้ว เงินได้ของโจทก์จากการ ขายที่ดิน ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 409/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีเงินได้กรณีผู้มีเงินได้มิได้ยื่นรายการ หรือ ยื่นรายการต่ำกว่าที่ควร และการเรียกเงินเพิ่ม
แม้จะมีคำสั่งของนายกรัฐมนตรีให้ทรัพย์สินกองมรดกของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตกเป็นของรัฐ ก็หาเป็นเหตุให้หนี้ค่าภาษีอากรที่ยังไม่ได้ชำระระงับลงไม่ กรมสรรพากรโจทก์มีอำนาจกำหนดเงินได้สุทธิของจอมพลสฤษดิ์แล้วทำการประเมินภาษีเงินได้ กองมรดกต้องรับผิดชำระแก่โจทก์ โจทก์มีอำนาจฟ้อง
การที่เจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือแจ้งให้จำเลยชำระภาษีและเงินเพิ่มภาษีภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือแจ้งการประเมิน มิใช่เป็นการขยายเวลาชำระหนี้ให้แก่จำเลย แต่เป็นการทวงถาม หรือเตือนจำเลยให้ชำระหนี้ และกรณีไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 354,355 และ 203 วรรคสองโจทก์ฟ้องจำเลยได้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 194 โดยไม่จำต้องรอให้ ครบกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่จำเลยได้รับ หนังสือแจ้งการประเมินก่อน
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ปัญหาว่าเงินฝากในธนาคารต่าง ๆไม่ใช่เงินฝากของจอมพลสฤษดิ์และท่านผู้หญิง วิจิตรา จำเลยที่ 2 นั้น จำเลยไม่ได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงไม่เป็นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์ จำเลยจะต้องฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยยกปัญหาดังกล่าวขึ้นต่อสู้ในคำให้การแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยดังกล่าวจึงไม่ชอบเสียก่อน แล้วจึงฎีกาต่อไปว่าเงินฝาก ในธนาคารดังกล่าว ไม่ใช่เงินฝากของบุคคลทั้งสอง จำเลยฎีกา เพียงว่าเงินฝากในธนาคารต่าง ๆ ไม่ใช่เงินฝากของบุคคลทั้งสอง จึงไม่ชอบ เพราะไม่ได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ศาลฎีกา ไม่วินิจฉัยให้
เงินค่าใช้จ่ายส่วนตัวและค่าใช้จ่ายในการบริจาคการกุศลเป็นส่วนหนึ่งของเงินได้ เพราะจะต้องมีเงินได้เสียก่อนแล้วจึงจะสามารถนำไปจ่ายได้ การที่เจ้าพนักงานประเมินนำยอดเงินค่าใช้จ่าย ดังกล่าวไปรวมเข้ากับยอดเงินและมูลค่าของทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น แล้วกำหนดจำนวนเงินได้สุทธิจึงเป็นการชอบ
จำเลยที่ 2 เป็นทายาทคนหนึ่งของจอมพลสฤษดิ์ มีหน้าที่แสดงรายการเงินได้ของจอมพลสฤษดิ์ โดยไม่จำต้องรอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งผู้จัดการมรดกของจอมพลสฤษดิ์เสียก่อน
การที่เจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือแจ้งให้จำเลยชำระภาษีและเงินเพิ่มภาษีภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือแจ้งการประเมิน มิใช่เป็นการขยายเวลาชำระหนี้ให้แก่จำเลย แต่เป็นการทวงถาม หรือเตือนจำเลยให้ชำระหนี้ และกรณีไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 354,355 และ 203 วรรคสองโจทก์ฟ้องจำเลยได้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 194 โดยไม่จำต้องรอให้ ครบกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่จำเลยได้รับ หนังสือแจ้งการประเมินก่อน
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ปัญหาว่าเงินฝากในธนาคารต่าง ๆไม่ใช่เงินฝากของจอมพลสฤษดิ์และท่านผู้หญิง วิจิตรา จำเลยที่ 2 นั้น จำเลยไม่ได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงไม่เป็นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์ จำเลยจะต้องฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยยกปัญหาดังกล่าวขึ้นต่อสู้ในคำให้การแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยดังกล่าวจึงไม่ชอบเสียก่อน แล้วจึงฎีกาต่อไปว่าเงินฝาก ในธนาคารดังกล่าว ไม่ใช่เงินฝากของบุคคลทั้งสอง จำเลยฎีกา เพียงว่าเงินฝากในธนาคารต่าง ๆ ไม่ใช่เงินฝากของบุคคลทั้งสอง จึงไม่ชอบ เพราะไม่ได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ศาลฎีกา ไม่วินิจฉัยให้
เงินค่าใช้จ่ายส่วนตัวและค่าใช้จ่ายในการบริจาคการกุศลเป็นส่วนหนึ่งของเงินได้ เพราะจะต้องมีเงินได้เสียก่อนแล้วจึงจะสามารถนำไปจ่ายได้ การที่เจ้าพนักงานประเมินนำยอดเงินค่าใช้จ่าย ดังกล่าวไปรวมเข้ากับยอดเงินและมูลค่าของทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น แล้วกำหนดจำนวนเงินได้สุทธิจึงเป็นการชอบ
จำเลยที่ 2 เป็นทายาทคนหนึ่งของจอมพลสฤษดิ์ มีหน้าที่แสดงรายการเงินได้ของจอมพลสฤษดิ์ โดยไม่จำต้องรอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งผู้จัดการมรดกของจอมพลสฤษดิ์เสียก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 311-313/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินคำขอ และความรับผิดของผู้รับประกันภัยค้ำจุนตามสัญญา
ปัญหาว่าศาลพิพากษาเกินคำขอในฟ้องหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นว่ามาในชั้นอุทธรณ์ จำเลยก็มีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา
โจทก์ฟ้องให้จำเลยร่วมรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 วรรคสอง หาใช่ให้จำเลยร่วมรับผิดในฐานะผู้ทำละเมิด ฉะนั้นจำเลยร่วมจะยกอายุความละเมิดตาม มาตรา 448 มาเป็นข้อปฏิเสธความรับผิดหาได้ไม่
โจทก์ฟ้องให้จำเลยร่วมรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 วรรคสอง หาใช่ให้จำเลยร่วมรับผิดในฐานะผู้ทำละเมิด ฉะนั้นจำเลยร่วมจะยกอายุความละเมิดตาม มาตรา 448 มาเป็นข้อปฏิเสธความรับผิดหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 133/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คปลอมแก้ตัวยาแก้ตัวยาก: ผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดตามจำนวนเดิม แม้การแก้ไขไม่ประจักษ์
จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทจำนวนเงิน 3,626 บาทให้แก่ ว.ต่อมามีการแก้ไขเพิ่มจำนวนเงินเป็น 903,626 บาท โดยจำเลยมิได้รู้เห็นยินยอม การแก้ไขดังกล่าวหากไม่ตรวจโดยละเอียดก็ยากที่จะสังเกตได้ ดังนี้ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้นถือว่า เป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญ แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ประจักษ์ กรณีจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1007 วรรคสอง
ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จะให้ธนาคารโจทก์ผู้ทรงเช็ครับผิด (น่าจะเป็นมีสิทธิ)ตามเนื้อความเดิมแห่งเช็คตามมาตรา 1007 วรรคสอง ต้องไม่ปรากฏว่าผู้สั่งจ่ายได้ละเลยในการระมัดระวังที่จะไม่ให้มีการปลอมแปลงเช็ค ถ้าหากผู้สั่งจ่ายละเลยไม่ระมัดระวังเป็นเหตุให้มีการปลอมแปลงเช็คได้โดยง่าย ผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดนั้น คดีไม่มีประเด็นดังกล่าวศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยที่ 2 ที่ 3 กรรมการบริษัทจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่าย และประทับตราของบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นสำคัญในเช็คพิพาทเพื่อชำระราคาอ้อยให้แก่ ว.เป็นการกระทำตามหน้าที่ภายในขอบวัตถุที่ประสงค์ของบริษัทจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้นแล้ว จำเลยที่ 2 ที่ 3 หาต้องรับผิดเป็นส่วนตัวไม่
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า มีการปลอมจำนวนเงินในเช็คโดยไม่ประจักษ์ จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดชำระเงินตามเนื้อความเดิมแห่งเช็คนั้น และเนื่องจากไม่ปรากฏว่าจำเลยได้วางเงินชำระหนี้ตามเช็คพิพาท จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยให้โจทก์
ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จะให้ธนาคารโจทก์ผู้ทรงเช็ครับผิด (น่าจะเป็นมีสิทธิ)ตามเนื้อความเดิมแห่งเช็คตามมาตรา 1007 วรรคสอง ต้องไม่ปรากฏว่าผู้สั่งจ่ายได้ละเลยในการระมัดระวังที่จะไม่ให้มีการปลอมแปลงเช็ค ถ้าหากผู้สั่งจ่ายละเลยไม่ระมัดระวังเป็นเหตุให้มีการปลอมแปลงเช็คได้โดยง่าย ผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดนั้น คดีไม่มีประเด็นดังกล่าวศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยที่ 2 ที่ 3 กรรมการบริษัทจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่าย และประทับตราของบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นสำคัญในเช็คพิพาทเพื่อชำระราคาอ้อยให้แก่ ว.เป็นการกระทำตามหน้าที่ภายในขอบวัตถุที่ประสงค์ของบริษัทจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้นแล้ว จำเลยที่ 2 ที่ 3 หาต้องรับผิดเป็นส่วนตัวไม่
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า มีการปลอมจำนวนเงินในเช็คโดยไม่ประจักษ์ จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดชำระเงินตามเนื้อความเดิมแห่งเช็คนั้น และเนื่องจากไม่ปรากฏว่าจำเลยได้วางเงินชำระหนี้ตามเช็คพิพาท จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 133/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คแก้ไขจำนวนเงิน – ความรับผิดของผู้สั่งจ่ายและผู้ทรงเช็คตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทจำนวนเงิน 3,626 บาทให้แก่ ว. ต่อมามีการแก้ไขเพิ่มจำนวนเงินเป็น 903,626 บาท โดยจำเลยมิได้รู้เห็นยินยอม การแก้ไขดังกล่าวหากไม่ตรวจโดยละเอียดก็ยากที่จะสังเกตได้ ดังนี้ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้นถือว่าเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญ แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ประจักษ์กรณี จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1007 วรรคสอง
ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จะให้ธนาคารโจทก์ผู้ทรงเช็ครับผิด (น่าจะเป็นสิทธิ) ตามเนื้อความเดิมแห่งเช็คตามมาตรา 1007 วรรคสอง ต้องไม่ปรากฏว่าผู้สั่งจ่ายได้ละเลยในการระมัดระวังที่จะไม่ให้มีการปลอมแปลงเช็ค ถ้าหากผู้สั่งจ่ายละเลยไม่ระมัดระวังเป็นเหตุให้มีการปลอมแปลงเช็คได้โดยง่าย ผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดนั้น คดีไม่มีประเด็นดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยที่ 2 ที่ 3 กรรมการบริษัทจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่าย และประทับตราของบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นข้อสำคัญในเช็คพิพาทเพื่อชำระราคาอ้อยให้แก่ ว. เป็นการกระทำตามหน้าที่ภายในขอบวัตถุที่ประสงค์ของบริษัทจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ต้องรับผิด
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า มีการปลอมจำนวนเงินในเช็คโดยไม่ประจักษ์ จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดชำระเงินตามเนื้อความเดิมแห่งเช็คนั้น และเนื่องจากไม่ปรากฏว่าจำเลยได้วางเงินชำระหนี้ตามเช็คพิพาท จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยให้โจทก์
ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จะให้ธนาคารโจทก์ผู้ทรงเช็ครับผิด (น่าจะเป็นสิทธิ) ตามเนื้อความเดิมแห่งเช็คตามมาตรา 1007 วรรคสอง ต้องไม่ปรากฏว่าผู้สั่งจ่ายได้ละเลยในการระมัดระวังที่จะไม่ให้มีการปลอมแปลงเช็ค ถ้าหากผู้สั่งจ่ายละเลยไม่ระมัดระวังเป็นเหตุให้มีการปลอมแปลงเช็คได้โดยง่าย ผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดนั้น คดีไม่มีประเด็นดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยที่ 2 ที่ 3 กรรมการบริษัทจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่าย และประทับตราของบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นข้อสำคัญในเช็คพิพาทเพื่อชำระราคาอ้อยให้แก่ ว. เป็นการกระทำตามหน้าที่ภายในขอบวัตถุที่ประสงค์ของบริษัทจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ต้องรับผิด
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า มีการปลอมจำนวนเงินในเช็คโดยไม่ประจักษ์ จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดชำระเงินตามเนื้อความเดิมแห่งเช็คนั้น และเนื่องจากไม่ปรากฏว่าจำเลยได้วางเงินชำระหนี้ตามเช็คพิพาท จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2850/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาประเด็นใหม่ & ความรับผิดเจ้าของรถกรณีผู้ขับเป็นคนเดียวกัน
ข้อที่จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ หรือต่อสู้ไว้แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นและจำเลยมิได้คัดค้าน นั้น เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดฐานะเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนขับรถยนต์โดยประมาททำให้โจทก์เสียหาย ถึงแม้ในทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนขับก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 1 พ้นฐานะจากการเป็นผู้ครอบครองรถ เพียงแต่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถอีกฐานหนึ่งด้วยเท่านั้น กรณีไม่ใช่เรื่องโจทก์นำสืบไม่สมฟ้องจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหาย
การกล่าวในอุทธรณ์เพียงว่า ค่าเสียหายที่โจทก์นำสืบและศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาสูงเกินไป โดยมิได้กล่าวรายละเอียดให้ชัดแจ้งว่า ค่าเสียหายรายการใดที่สูงเกินไปเพราะเหตุใด เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดฐานะเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนขับรถยนต์โดยประมาททำให้โจทก์เสียหาย ถึงแม้ในทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนขับก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 1 พ้นฐานะจากการเป็นผู้ครอบครองรถ เพียงแต่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถอีกฐานหนึ่งด้วยเท่านั้น กรณีไม่ใช่เรื่องโจทก์นำสืบไม่สมฟ้องจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหาย
การกล่าวในอุทธรณ์เพียงว่า ค่าเสียหายที่โจทก์นำสืบและศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาสูงเกินไป โดยมิได้กล่าวรายละเอียดให้ชัดแจ้งว่า ค่าเสียหายรายการใดที่สูงเกินไปเพราะเหตุใด เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2850/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาห้ามเรื่องอายุความและกรรมสิทธิ์รถที่ไม่ยกขึ้นในศาลล่าง และยืนตามศาลอุทธรณ์เรื่องความรับผิดของเจ้าของรถ
ข้อที่จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ หรือต่อสู้ไว้แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นและจำเลยมิได้คัดค้านนั้น เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดฐานะเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนขับรถยนต์โดยประมาททำให้โจทก์เสียหาย ถึงแม้ในทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนขับก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 1 พ้นฐานะจากการเป็นผู้ครอบครองรถเพียงแต่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถอีกฐานะหนึ่งด้วยเท่านั้นกรณีไม่ใช่เรื่องโจทก์นำสืบไม่สมฟ้องจำเลยที่ 1ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหาย
การกล่าวในอุทธรณ์เพียงว่า ค่าเสียหายที่โจทก์นำสืบ และ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาสูงเกินไป โดยมิได้กล่าวรายละเอียดให้ชัดแจ้งว่า ค่าเสียหายรายการใดที่สูงเกินไปเพราะเหตุใด เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดฐานะเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนขับรถยนต์โดยประมาททำให้โจทก์เสียหาย ถึงแม้ในทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนขับก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 1 พ้นฐานะจากการเป็นผู้ครอบครองรถเพียงแต่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถอีกฐานะหนึ่งด้วยเท่านั้นกรณีไม่ใช่เรื่องโจทก์นำสืบไม่สมฟ้องจำเลยที่ 1ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหาย
การกล่าวในอุทธรณ์เพียงว่า ค่าเสียหายที่โจทก์นำสืบ และ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาสูงเกินไป โดยมิได้กล่าวรายละเอียดให้ชัดแจ้งว่า ค่าเสียหายรายการใดที่สูงเกินไปเพราะเหตุใด เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2838/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับค่าเช่าที่ดิน และผลกระทบต่อการบังคับคดี
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ของโจทก์ โดยอ้างว่าจำเลยอาศัย จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แม้ข้อเท็จจริงตามสำนวนจะไม่ปรากฏว่าที่ดินที่พิพาทกันในขณะที่ยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้เกินเดือนละ 2,000 บาท หรือไม่ แต่เมื่อพิจารณาถึงที่ตั้ง จำนวนเนื้อที่ ราคา และสภาพทั่วๆ ไปของที่พิพาทแล้วอาจให้เช่าได้ในขณะที่ยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละ 2,000 บาท ก็ต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 และ 248 แม้ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ก็ไม่มีผล คดีได้ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2838/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับค่าเช่าที่ดินเกิน 2,000 บาท/เดือน เป็นอุทธรณ์ฎีกาที่ต้องห้ามตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ของโจทก์ โดยอ้างว่าจำเลยอาศัย จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แม้ข้อเท็จจริงตามสำนวนจะไม่ปรากฏว่าที่ดินที่พิพาทกันในขณะที่ยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้เกินเดือนละ 2,000 บาทหรือไม่ แต่เมื่อพิจารณาถึงที่ตั้ง จำนวนเนื้อที่ ราคา และสภาพทั่ว ๆไปของที่พิพาทแล้วอาจให้เช่าได้ในขณะที่ยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละ 2,000 บาท ก็ต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 และ 248 แม้ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ก็ไม่มีผลคดีได้ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2767/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นเช่าซื้อเรือ เพราะไม่ได้ยกขึ้นว่ากันในศาลล่างและไม่เป็นประโยชน์ต่อความยุติธรรม
โจทก์ฟ้องและจำเลยให้การโดยอ้างว่าอีกฝ่ายผิดสัญญาซื้อขายเรือ หาได้ฟ้องหรือให้การต่อสู้ว่าเป็นเรื่องเช่าซื้อเรือกันแต่อย่างใดไม่ และศาลชั้นต้นกับศาลอุทธรณ์ก็วินิจฉัยว่าเป็นเรื่องซื้อขายเรือ ดังนั้น ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์จำเลยมีเจตนาทำสัญญาเช่าซื้อเรือ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ทั้งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้