คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 249

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,935 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2470/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุมฐานทำบัญชีเท็จ – โจทก์ต้องระบุรายละเอียดการกระทำผิดให้ชัดเจน
โจทก์บรรยายฟ้องโดยสรุปว่า ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน 2514 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2517 อันเป็นเวลาติดต่อกัน 2 ปีเศษ จำเลยซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัด ได้เบิกเงินจากธนาคารรวมยอดเงิน1,542,661 บาท 99 สตางค์ โดยไม่ลงรายการจ่ายในบัญชี หรือเมื่อฝากเงินจำนวนดังกล่าวก็ไม่ลงหลักฐานการฝากเงิน และเมื่อจำเลยรับเงินค่าหุ้นก็ไม่นำลงในบัญชี โจทก์มิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงอันเป็นสารสำคัญที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดให้ปรากฏเลยว่า ในการเบิกเงินหรือฝากเงินก็ดี จำเลยไม่ลงบัญชีรายการใดเมื่อใด เป็นจำนวนเท่าใดและในการรับเงินค่าหุ้นก็ดี จำเลยรับจากใคร เมื่อใดทั้ง ๆ ที่ โจทก์อาจกล่าวถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ได้ จึงเป็นการยากที่จำเลยจะต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับความผิดฐานทำหลักฐานเท็จและจดข้อความเท็จ ตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนฯ พ.ศ.2499 มาตรา 42 จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฎีกาว่าจำเลยเป็นผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 354 แต่ มาตรา 354 เป็นบทบัญญัติให้ผู้กระทำความผิดตามมาตรา 352,353 รับโทษหนักขึ้น เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า จำเลยไม่มีความผิดตามมาตรา 352,353 ข้อกฎหมายตามฎีกาโจทก์จึงไม่เป็นสาระแก่คดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2427-2428/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำซ้อน-การบอกเลิกสัญญา-การลดค่าจ้าง: ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นอำนาจฟ้อง, สิทธิบอกเลิกสัญญา, และการอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าจ้างก่อสร้างอาคารพักอาศัยจากจำเลยผู้ว่าจ้าง จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์ผิดสัญญาจ้าง จำเลยเสียหายและได้บอกเลิกสัญญาแล้ว ขอให้บังคับโจทก์ชำระค่าปรับและค่าเสียหาย คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาจำเลยฟ้องโจทก์สำนวนหลังฐานผิดสัญญาจ้างนั้นเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่ได้ฟ้องแย้งไว้แล้ว ดังนี้ สำนวนหลังเป็นฟ้องต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173(1) เพราะเป็นเรื่องเดียวกันกับเรื่องเดิมที่ได้ฟ้องแย้งไว้แล้ว การที่จำเลยสงวนสิทธิในการฟ้องเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติมไว้ในฟ้องแย้งไม่ก่อให้เกิดสิทธิพิเศษขึ้นแต่ประการใด ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยฟ้องสำนวนหลังให้ จึงเป็นการไม่ชอบ
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้คู่ความจะมิได้หยิบยกขึ้น ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
สัญญามีกำหนดเวลาก่อสร้างให้แล้วเสร็จเป็นงวดไว้แน่นอน และกำหนดเบี้ยปรับไว้เป็นรายวันในกรณีมีการผิดสัญญา แต่ตามที่ปฏิบัติต่อกันเมื่อโจทก์ก่อสร้างล่วงเลยเวลาที่กำหนด จำเลยก็ยอมรับเอาผลงานและชำระเงินตลอดมา ไม่ได้มีการทักท้วงหรือปรับตามสัญญาแต่อย่างใด แสดงว่าคู่สัญญามิได้มีเจตนาจะถือเอากำหนดเวลาก่อสร้างเป็นสารสำคัญ แม้โจทก์จะผิดสัญญาในข้อนี้จำเลยจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาทันทีไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวกำหนดระยะเวลาพอสมควรให้โจทก์ก่อสร้างให้เสร็จให้เสร็จตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 เสียก่อน เมื่อโจทก์ยังก่อสร้างไม่เสร็จอีก จำเลยจึงจะบอกเลิกสัญญาได้
การชำรุดบกพร่องของการก่อสร้างงวดที่ได้รับมอบงานไปแล้ว จำเลยได้แต่จะเรียกค่าเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 600 แต่จะยกมาเป็นเหตุบอกเลิกสัญญาหาได้ไม่
ศาลชั้นต้นลดเงินค่าจ้างโจทก์ลงมา มีผลเท่ากับให้จำเลยได้รับการชดใช้ค่าเสียหายบางส่วน ในขั้นอุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์ในประเด็นนี้เพียงว่าโจทก์ต้องชำระค่าเสียหายให้แก่จำเลยตามฟ้อง เพราะจำเลยนำสืบมีหลักฐานแน่ชัดว่าโจทก์เป็นหนี้จำเลยดังฟ้องศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยมิได้กล่าวโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าวินิจฉัยข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายตอนใดผิดถูกอย่างใด เหตุใดจึงควรได้ค่าเสียหายตามฟ้อง เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ในชั้นฎีกาจำเลยจึงได้แสดงรายละเอียดที่จำเลยได้รับความเสียหาย รายละเอียดดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2427-2428/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำซ้อน-การบอกเลิกสัญญา-ความเสียหายจากการก่อสร้างชำรุด: ศาลฎีกาพิพากษาการฟ้องซ้ำซ้อนเป็นเรื่องที่กฎหมายห้าม และชี้ว่าการบอกเลิกสัญญาต้องเป็นไปตามขั้นตอน
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าจ้างก่อสร้างอาคารพักอาศัยจากจำเลยผู้ว่าจ้าง จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์ผิดสัญญาจ้าง จำเลยเสียหายและได้บอกเลิกสัญญาแล้ว ขอให้บังคับโจทก์ชำระค่าปรับและค่าเสียหาย คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาจำเลยฟ้องโจทก์สำนวนหลังฐานผิดสัญญาจ้างนั้นเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่ได้ฟ้องแย้งไว้แล้ว ดังนี้ สำนวนหลังเป็นฟ้องต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1) เพราะเป็นเรื่องเดียวกันกับเรื่องเดิมที่ได้ฟ้องแย้งไว้แล้ว การที่จำเลยสงวนสิทธิในการฟ้องเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติมไว้ในฟ้องแย้งไม่ก่อให้เกิดสิทธิพิเศษขึ้นแต่ประการใด ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยฟ้องสำนวนหลังให้ จึงเป็นการไม่ชอบ
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้คู่ความจะมิได้หยิบยกขึ้น ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
สัญญามีกำหนดเวลาก่อสร้างให้แล้วเสร็จเป็นงวดไว้แน่นอน และกำหนดเบี้ยปรับไว้เป็นรายวันในกรณีมีการผิดสัญญา แต่ตามที่ปฏิบัติต่อกันเมื่อโจทก์ก่อสร้างล่วงเลยเวลาที่กำหนด จำเลยก็ยอมรับเอาผลงานและชำระเงินตลอดมา ไม่ได้มีการทักท้วงหรือปรับตามสัญญาแต่อย่างใด แสดงว่าคู่สัญญามิได้มีเจตนาจะถือเอากำหนดเวลาก่อสร้างเป็นสารสำคัญ แม้โจทก์จะผิดสัญญาในข้อนี้ จำเลยจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาทันทีไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวกำหนดระยะเวลาพอสมควรให้โจทก์ก่อสร้างให้เสร็จตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 เสียก่อน เมื่อโจทก์ยังก่อสร้างไม่เสร็จอีก จำเลยจึงจะบอกเลิกสัญญาได้
การชำรุดบกพร่องของการก่อสร้างงวดที่ได้รับมอบงานไปแล้วจำเลยได้แต่จะเรียกค่าเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 600 แต่จะยกมาเป็นเหตุบอกเลิกสัญญาหาได้ไม่
ศาลชั้นต้นลดเงินค่าจ้างโจทก์ลงมา มีผลเท่ากับให้จำเลยได้รับการชดใช้ค่าเสียหายบางส่วน ในชั้นอุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์ในประเด็นนี้เพียงว่าโจทก์ต้องชำระค่าเสียหายให้แก่จำเลยตามฟ้อง เพราะจำเลยนำสืบมีหลักฐานแน่ชัดว่าโจทก์เป็นหนี้จำเลยดังฟ้องศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยมิได้กล่าวโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าวินิจฉัยข้อเท็จจริงข้อกฎหมายตอนใดผิดถูกอย่างใด เหตุใดจึงควรได้ค่าเสียหายตามฟ้อง เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ในชั้นฎีกาจำเลยจึงได้แสดงรายละเอียดที่จำเลยได้รับความเสียหาย รายละเอียดดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2277/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้เครื่องหมายการค้าก่อนจดทะเบียนและการไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ใช้เครื่องหมายการค้า MAX ในสินค้าจำพวก 2 โดยสุจริตมาก่อนโจทก์จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า max ในสินค้าจำพวก 2 ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ พิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกาขอให้วินิจฉัยแต่เพียงข้อเดียวว่าเครื่องหมายการค้า MAX ที่จำเลยใช้กับเครื่องหมายการค้า max ที่โจทก์จดทะเบียนไว้เหมือนหรือคล้ายกันเท่านั้น ไม่ได้ฎีกาในเรื่องจำเลยทำละเมิด ดังนั้น แม้ศาลฎีกาจะวินิจฉัยตามปัญหาที่โจทก์ฎีกามาก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนเป็นโจทก์ชนะขึ้นมาได้ ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2277/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้เครื่องหมายการค้าโดยสุจริตก่อนจดทะเบียน ไม่ถือเป็นการละเมิด
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ใช้เครื่องหมายการค้า MAX ในสินค้าจำพวก 2 โดยสุจริตมาก่อนโจทก์จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า MAX ในสินค้าจำพวก 2 ตาม พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ พิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกาขอให้วินิจฉัยแต่เพียงข้อเดียวว่า เครื่องหมายการค้า MAX ที่จำเลยใช้กับเครื่องหมายการค้า MAX ที่โจทก์จดทะเบียนไว้เหมือนหรือคล้ายกันเท่านั้น ไม่ได้ฎีกาในเรื่องจำเลยทำละเมิด ดังนั้น แม้ศาลฎีกาจะวินิจฉัยตามปัญหาที่โจทก์ฎีกามาก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนเป็นโจทก์ชนะขึ้นมาได้ ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2094/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดพิจารณาคดีและการอุทธรณ์คำสั่ง ศาลฎีกาวินิจฉัยได้แม้ไม่มีการฎีกา
ศาลชั้นต้นยกคำร้องที่จำเลยอ้างว่าไม่จงใจขาดนัดและขอให้รับคำให้การ จำเลยไม่โต้แย้งคำสั่งนี้ จำเลยอุทธรณ์ไม่ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา จำเลยอ้างในคำแก้ฎีกาขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหานี้ได้โดยจำเลยไม่ต้องฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1779/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์และการคุ้มครองสิทธิผู้รับจำนองโดยสุจริต
จำเลยยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ผู้ร้องโดยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แม้จะได้ความตามคำร้องว่าผู้ร้องได้เข้าครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว แต่ผู้ร้องหาได้จดทะเบียนการได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวไม่โจทก์รับจำนองและมีการจดทะเบียนจำนองถูกต้องตามกฎหมายย่อมได้รับการสันนิษฐานว่ากระทำการโดยสุจริต ผู้ร้องไม่อาจยกเรื่องการได้กรรมสิทธิ์ดังกล่าวขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ จึงไม่จำเป็นต้องสืบพยานในเรื่องการได้กรรมสิทธิ์ของผู้ร้องต่อไปอีก
ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องมิได้รับรองหรือมีข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้สิทธิมาโดยสุจริตแม้จะมีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายผู้ร้องก็สืบคัดค้านได้นั้น ประเด็นข้อนี้ผู้ร้องหาได้ยกขึ้นกล่าวในชั้นอุทธรณ์ไม่ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1779/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ต้องจดทะเบียน มิอาจอ้างต่อสู้ผู้รับจำนองสุจริต
จำเลยยกกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ผู้ร้องโดยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แม้จะได้ความตามคำร้องว่าผู้ร้องได้เข้าครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนา เป็นเจ้าของเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว แต่ผู้ร้องหาได้จดทะเบียนการได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวไม่ โจทก์รับจำนองและมีการจดทะเบียนจำนองถูกต้องตามกฎหมายย่อมได้รับการสันนิษฐานว่ากระทำการโดยสุจริต ผู้ร้องไม่อาจยกเรื่องการได้กรรมสิทธิ์ดังกล่าวขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ จึงไม่จำเป็นต้องสืบพยานในเรื่องการได้กรรมสิทธิ์ของผู้ร้องต่อไปอีก
ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องมิได้รับรองหรือมีข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้สิทธิ์มาโดยสุจริตแม้จะมีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายผู้ร้องก็สืบคัดค้านได้นั้น ประเด็นข้อนี้ผู้ร้องหาได้ยกขึ้นกล่าวในชั้นอุทธรณ์ไม่ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1547/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของการขาดนัดยื่นคำให้การในคดีขับไล่และข้อจำกัดในการอุทธรณ์เรื่องกรรมสิทธิ์
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้อาศัยและบริวารออกจากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งในขณะยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้เดือนละ 50 บาท จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ เท่ากับจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง การที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งยุติไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้วว่า จำเลยจงใจขาดนัดและไม่มีเหตุอันสมควร แม้ศาลชั้นต้นจะรับอุทธรณ์ของจำเลยในปัญหาข้อนี้ และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ก็ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1547/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขาดนัดยื่นคำให้การ ถือเป็นการไม่กล่าวแก้กรรมสิทธิ์ อุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้อาศัยและบริวารออกจากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งในขณะยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้เดือนละ 50 บาท จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ เท่ากับจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรค 2 การที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งยุติไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้วว่า จำเลยจงใจขาดนัดและไม่มีเหตุอันสมควร แม้ศาลชั้นต้นจะรับอุทธรณ์ของจำเลยในปัญหาข้อนี้ และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ก็ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
of 294