คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 249

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,935 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1504/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์และฎีกาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเรื่องทุนทรัพย์และข้อเท็จจริง
โจทก์แต่ละคนต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 55 แม้จะฟ้องรวมกันมาก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกัน ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 ที่ 4 ที่ 7 และที่ 8 เรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์แต่ละคนไม่เกินสองหมื่นบาท จึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยเป็นการไม่ชอบ และเมื่อเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามแล้ว ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1504/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์และฎีกาในคดีแพ่ง: ข้อจำกัดด้านทุนทรัพย์และการต้องห้ามอุทธรณ์/ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง
โจทก์แต่ละคนต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 55 แม้จะฟ้องรวมกันมาก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกัน ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 ที่ 4 ที่ 7 และที่ 8 เรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์แต่ละคนไม่เกินสองหมื่นบาท จึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยเป็นการไม่ชอบ และเมื่อเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามแล้ว ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1472/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่อนุญาตเลื่อนนัดสืบพยาน และการอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 20,000 บาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดี แม้จำเลยจะได้ยื่นคำแถลงโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้ ก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในปัญหาข้อนั้นเป็นคุณแก่จำเลย และโจทก์ฎีกาต่อมา แต่เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามกฎหมายแล้ว ก็ย่อมไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยมิได้นำสือบว่าโจทก์ยินยอมตกลงรับจะปฏิบัติตามเงื่อนไขในใบรับของ จำเลยจึงไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ให้พ้นความรับผิด จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ยอมรับปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้นแล้ว ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ข้อนี้โดยเห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่อยู่แล้วจึงมิได้วินิจฉัยปัญหานี้ ดังนี้ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าไม่ชอบที่จะให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ ศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไปเสียเลยก็ได้ และวินิจฉัยว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1472/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกานี้เน้นย้ำถึงข้อจำกัดในการอุทธรณ์คดีที่มีทุนทรัพย์น้อยกว่า 20,000 บาท โดยเฉพาะประเด็นข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามอุทธรณ์
คดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 20,000 บาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดี แม้จำเลยจะได้ยื่นคำแถลงโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้ ก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในปัญหาข้อนั้นเป็นคุณแก่จำเลย และโจทก์ฎีกาต่อมา แต่เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามกฎหมายแล้วก็ย่อมไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยมิได้นำสืบว่าโจทก์ยินยอมตกลงรับจะปฏิบัติตามเงื่อนไขในใบรับของ จำเลยจึงไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ให้พ้นความรับผิด จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ยอมรับปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้นแล้ว ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ข้อนี้โดยเห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่อยู่แล้วจึงมิได้วินิจฉัยปัญหานี้ ดังนี้ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าไม่ชอบที่จะให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ ศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไปเสียเลยก็ได้ และวินิจฉัยว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1401/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: ประเด็นใหม่นอกเหนือจากที่ยกขึ้นในศาลชั้นต้น แม้ศาลล่างวินิจฉัยก็เป็นเรื่องนอกประเด็น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายที่พิพาทให้โจทก์ แล้วจำเลยทั้งสองสบคบกันโอนที่พิพาทให้เป็นชื่อจำเลยที่ 2 โดยรู้ว่าเป็นทางทำให้โจทก์เสียเปรียบ ขอให้เพิกถอนเสีย จำเลยทั้งสองให้การว่าจำเลยที่ 2 ซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริตและมีค่าตอบแทน โจทก์ทราบการโอนจากประกาศของทางราชการแล้วไม่คัดค้าน ดังนี้จำเลยไม่ได้ตั้งประเด็นว่า จำเลยที่ 2 กับโจทก์ร่วมกันซื้อที่พิพาทจำเลยที่ 1 เพื่อนำมาแบ่งขายเอากำไรกัน โดยให้จำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นเจ้าของใน น.ส.3 และยินยอมให้จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมโอนขายที่พิพาทกับจำเลยที่ 2 การที่จำเลยฎีกาว่าตามทางพิจารณาฟังได้ว่าโจทก์กับจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกันซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 เพื่อนำมาแบ่งขายเอากำไรแบ่งกันโดยให้จำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นเจ้าของใน น.ส.3 ทั้งการที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ทำนิติกรรมโอนขายที่พิพาทให้แก่กันโจทก์ทราบดีและยินยอมให้กระทำไป ถือว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน โจทก์จะขอให้เพิกถอนไม่ได้ ดังนี้ ประเด็นที่จำเลยทั้งสองฎีกาถือไม่ได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยทั้งสองได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น แม้ศาลล่างทั้งสองจะวินิจฉัยให้ ก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ฎีกาของจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1401/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: จำเลยฎีกาประเด็นใหม่นอกเหนือจากที่ยกขึ้นว่ากันในศาลล่าง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายที่พิพาทให้โจทก์แล้วจำเลยทั้งสองสมคบกันโอนที่พิพาทให้เป็นชื่อจำเลยที่ 2 โดยรู้ว่าเป็นทางทำให้โจทก์เสียเปรียบ ขอให้เพิกถอนเสีย จำเลยทั้งสองให้การว่าจำเลยที่ 2 ซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริตและมีค่าตอบแทน โจทก์ทราบการโอนจากประกาศของทางราชการแล้วไม่คัดค้าน ดังนี้จำเลยไม่ได้ตั้งประเด็นว่า จำเลยที่ 2 กับโจทก์ร่วมกันซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 เพื่อนำมาแบ่งขายเอากำไรกันโดยให้จำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นเจ้าของในน.ส.3 และยินยอมให้จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมโอนขายที่พิพาทกับจำเลยที่ 2 การที่จำเลยฎีกาว่าตามทางพิจารณาฟังได้ว่าโจทก์กับจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกันซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 เพื่อนำมาแบ่งขายเอากำไรแบ่งกันโดยให้จำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นเจ้าของใน น.ส.3. ทั้งการที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ทำนิติกรรมโอนขายที่พิพาทให้แก่กันโจทก์ทราบดีและยินยอมให้กระทำไป ถือว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน โจทก์จะขอให้เพิกถอนไม่ได้ ดังนี้ประเด็นที่จำเลยทั้งสองฎีกาถือไม่ได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยทั้งสองได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น แม้ศาลล่างทั้งสองจะวินิจฉัยให้ ก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ฎีกาของจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1272/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องขับไล่: สัญญาเช่าที่ทำผ่านตัวแทนเชิดของวัด โจทก์ต้องยกขึ้นว่ากันในศาลชั้นต้น
ในประเด็นว่าสัญญาเช่าที่พิพาทผูกพันโจทก์หรือไม่ จำเลยให้การและนำสืบว่าที่พิพาทอยู่ในความดูแลของกรมการศาสนานายอำเภอพระพุทธบาทตัวแทนกรมการศาสนาทำสัญญาให้จำเลยเช่าที่พิพาทแต่จำเลยฎีกาว่านายอำเภอพระพุทธบาทเป็นตัวแทนเชิดของวัดโจทก์และได้ทำสัญญาให้จำเลยเช่าที่พิพาทแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยดังนี้ ฎีกาของจำเลยมิได้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1272/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการยกเหตุใหม่ในชั้นฎีกา: สัญญาเช่าที่พิพาทและการโต้แย้งตัวแทน
ในประเด็นว่าสัญญาเช่าที่พิพาทผูกพันโจทก์หรือไม่ จำเลยให้การและนำสืบว่าที่พิพาทอยู่ในความดูแลของกรมการศาสนา นายอำเภอพระพุทธบาทตัวแทนกรมการศาสนาทำสัญญาให้จำเลยเช่าที่พิพาท แต่จำเลยฎีกาว่านายอำเภอพระพุทธบาทเป็นตัวแทนเชิดของวัดโจทก์ และได้ทำสัญญาให้จำเลยเช่าที่พิพาทแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย ดังนี้ ฎีกาของจำเลยมิได้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1133/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกกล่าวหนี้จำนองและเจตนาไม่ถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่โจทก์กำหนด ทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องก่อนครบกำหนด
เมื่อจำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวให้ไถ่ถอนจำนองภายใน 30 วันนับแต่วันได้รับหนังสือจำเลยก็พูดกับผู้ส่งหนังสือว่า ไม่มีเงิน ถ้าอยากได้เร็ว ๆ ให้ฟ้องเอา เห็นได้ว่าจำเลยได้แสดงเจตนาไม่ถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่โจทก์กำหนดให้ เมื่อโจทก์ได้ให้เวลาแก่จำเลยหลังทราบคำบอกกล่าวแล้วถึง 13 วัน อันเป็นระยะเวลาพอสมควรโจทก์มีอำนาจฟ้องได้โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนดระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคำบอกกล่าว
จำเลยฎีกาว่า สมควรอนุญาตให้จำเลยอ้างพยานเพิ่มเติมตามคำร้องของจำเลย เมื่อศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะอนุญาตให้จำเลยสืบพยานตามที่ระบุไว้นั้น ก็ไม่ทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลง ไม่มีความจำเป็นต้องสืบพยานเช่นนั้น ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยอีกว่าสมควรจะรับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยนั้นหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1133/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแสดงเจตนาไม่ถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่โจทก์กำหนด และการบังคับจำนอง
เมื่อจำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวให้ไถ่ถอนจำนองภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือ จำเลยก็พูดกับผู้ส่งหนังสือว่า ไม่มีเงิน ถ้าอยากได้เร็ว ๆ ให้ฟ้องเอา เห็นได้ว่าจำเลยได้แสดงเจตนาไม่ถือเอาประโยชน์จากระยเวลาที่โจทก์กำหนดให้ เมื่อโจทก์ได้ให้เวลาแก่จำเลยหลังทราบคำบอกกล่าวแล้วถึง 13 วัน อันเป็นระยะเวลาพอสมควรโจทก์มีอำนาจฟ้องได้โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนดระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคำบอกกล่าว
จำเลยฎีกา สมควรอนุญาตให้จำเลยอ้างพยานเพิ่มเติมคำร้องของจำเลย เมื่อศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะอนุญาตให้จำเลยสืบพยานตามที่ระบุไว้นั้น ก็ไม่ทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลง ไม่มีความจำเป็นต้องสืบพยานเช่นนั้น ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยอีกว่าสมควรจะรับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยนั้นหรือไม่
of 294