พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,935 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 557/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การที่จำเลยอุทธรณ์เฉพาะข้อเท็จจริงในชั้นอุทธรณ์ ทำให้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นใหม่ในชั้นฎีกา
จำเลยให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การว่าฟ้องของโจทก์ที่กล่าวว่าจำเลยโดยร่วมกันและแทนกันไม่แจ้งชัดว่าจะให้รับผิดฐานใดนั้นเป็นฟ้องเคลือบคลุมและว่าการซื้อสิ่งของมิได้มีกรรมการลงนามประทับตราตามข้อบังคับของบริษัทกิจการนั้นย่อมไม่ผูกพันบริษัท ข้อต่อสู้ดังกล่าวนี้เมื่อจำเลยอุทธรณ์ จำเลยเป็นแต่อัยการข้อเท็จจริงมิได้อุทธรณ์ปัญหา ข้อ ก.ม. ทั้งสองประการนี้ แต่มาในชั้นฎีกาจำเลยฎีกาปัญหาข้อ ก.ม.ทั้งสองประการนี้ด้วย ศาลฎีกาถือว่าปัญหาข้อ ก.ม.นี้จำเลยมิได้หยิบยกขึ้นว่ากล่าวมาแต่ขั้นอัยการดังนี้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 557/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาต้องยกข้อกฎหมายขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ มิเช่นนั้นศาลฎีกาจะไม่รับวินิจฉัย
จำเลยให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การว่าฟ้องของโจทก์ที่กล่าวว่าจำเลยโดยร่วมกันและแทนกันไม่แจ้งชัดว่าจะให้รับผิดในฐานใดนั้นเป็นฟ้องเคลือบคลุมและว่าการซื้อสิ่งของมิได้มีกรรมการลงนามประทับตราตามข้อบังคับของบริษัทกิจการนั้นย่อมไม่ผูกพันบริษัทข้อต่อสู้ดังกล่าวนี้เมื่อจำเลยอุทธรณ์จำเลยเป็นแต่อุทธรณ์ข้อเท็จจริงมิได้อุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายทั้งสองประการนี้แต่มาในชั้นฎีกาจำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายทั้งสองประการนี้ด้วยศาลฎีกาถือว่าปัญหาข้อกฎหมายนี้จำเลยมิได้หยิบยกขึ้นว่ากล่าวมาแต่ชั้นอุทธรณ์ดังนี้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 515/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงระหว่างคู่ความในการดำเนินคดี และการท้าประเด็นการนำสืบพยาน
การที่คู่ความตกลงกันเกี่ยวกับการที่จำดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปอย่างไร ก็ย่อมมีผลบังคับได้
เมื่อโจทก์มิได้คัดค้านข้อที่ว่า "การท้านประเด็นจะต้องทำต่อหน้าคู่ความ" มาเสียแต่ชั้นต้นแล้วจะมากล่าว้างในชั้นฎีกาหาได้ไม่.
เมื่อโจทก์มิได้คัดค้านข้อที่ว่า "การท้านประเด็นจะต้องทำต่อหน้าคู่ความ" มาเสียแต่ชั้นต้นแล้วจะมากล่าว้างในชั้นฎีกาหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 515/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงระหว่างคู่ความมีผลผูกพัน & การท้าประเด็นต้องทำต่อหน้าศาล
การที่คู่ความตกลงกันเกี่ยวกับการที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปอย่างไร ก็ย่อมมีผลบังคับได้
เมื่อโจทก์มิได้คัดค้านข้อที่ว่า'การท้าประเด็นจะต้องทำต่อหน้าคู่ความ'มาเสียแต่ชั้นต้นแล้วจะมากล่าวอ้างในชั้นฎีกาหาได้ไม่
เมื่อโจทก์มิได้คัดค้านข้อที่ว่า'การท้าประเด็นจะต้องทำต่อหน้าคู่ความ'มาเสียแต่ชั้นต้นแล้วจะมากล่าวอ้างในชั้นฎีกาหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1651-1652/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดินจากการครอบครอง: การครอบครองเพื่อรักษาเป็นของกลาง ไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ์
โจทก์จำเลยพิพาทเป็นคดีสองเรื่อง เรื่องหนึ่งเป็นคดีมีทุนทรัพย์เกิน 2,000 บาท อีกคดีหนึ่งเป็นคดีพิพาทกันโดยไม่มีทุนทรัพย์ ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน ศาลอุทธรณ์คงพิพากษาแก้เฉพาะสำนวนมีทุนทรัพย์ให้แบ่งทรัพย์ที่ฟ้องคนละครึ่ง จำเลยเป็นฝ่ายฎีกาขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้โต้เถียงอะไร ในคดีพิพาทไม่มีทุนทรัพย์ทั้งไม่มีเหตุสำหรับฎีกา ประกอบทั้งคดีที่พิพาทกันโดยไม่มีทุนทรัพย์ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 และถือว่าจำเลยฎีกาขึ้นมาเพียงคดีมีทุนทรัพย์เกิน 2,000 บาทคดีเดียว
ฟ้องขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โดยผู้มีชื่อยกให้โจทก์เข้าปกครองมา 25 ปีแล้ว เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าผู้มีชื่อหาได้ยกที่ให้โจทก์ไม่ เป็นแต่มอบให้โจทก์และผู้อื่นปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้น โจทก์จึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ และจะขอศาลสั่งว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ไม่ได้
การปกครองรักษาที่พิพาทไว้ในฐานะของกลางตามคำสั่งของผู้ตายโดยไม่ปรากฏว่าผู้ครอบครองจะไม่ปกครองที่พิพาทไว้ตามคำสั่งของผู้ตาย ภายหลังจากผู้ตายได้ตายแล้ว กับทั้งผู้ครอบครองไม่เคยแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่ว่าตนเป็นเจ้าของที่พิพาทรายนี้ การเสียภาษีบำรุงท้องที่ผู้อื่นก็เป็นผู้เสีย ดังนี้ ถือว่าเป็นการปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้น มิใช่เป็นการปกครองเพื่อเอากรรมสิทธิ์
ฟ้องขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โดยผู้มีชื่อยกให้โจทก์เข้าปกครองมา 25 ปีแล้ว เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าผู้มีชื่อหาได้ยกที่ให้โจทก์ไม่ เป็นแต่มอบให้โจทก์และผู้อื่นปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้น โจทก์จึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ และจะขอศาลสั่งว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ไม่ได้
การปกครองรักษาที่พิพาทไว้ในฐานะของกลางตามคำสั่งของผู้ตายโดยไม่ปรากฏว่าผู้ครอบครองจะไม่ปกครองที่พิพาทไว้ตามคำสั่งของผู้ตาย ภายหลังจากผู้ตายได้ตายแล้ว กับทั้งผู้ครอบครองไม่เคยแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่ว่าตนเป็นเจ้าของที่พิพาทรายนี้ การเสียภาษีบำรุงท้องที่ผู้อื่นก็เป็นผู้เสีย ดังนี้ ถือว่าเป็นการปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้น มิใช่เป็นการปกครองเพื่อเอากรรมสิทธิ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1651-1652/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดิน: การครอบครองเพื่อรักษาไว้เป็นของกลาง ไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ
โจทก์จำเลยพิพาทเป็นคดีสองเรื่อง ๆ หนึ่งเป็นคดีมีทุนทรัพย์เกิน 2,000 บาท อีกคดีหนึ่งเป็นคดีพิพาทกันโดยไม่มีทุนทรัพย์ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน ศาลอุทธรณ์คงพิพากษาแก้เฉพาะสำนวนมีทุนทรัพย์ให้แบ่งทรัพย์ที่ฟ้องคนละครึ่ง จำเลยเป็นฝ่ายฎีกาขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้โต้เถียงอะไร ในคดีพิพาทไม่มีทุนทรัพย์ทั้งไม่มีเหตุสำหรับฎีกา ประกอบทั้งคดีที่พิพาทกันโดยไม่มีทุนทรัพย์ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามวิ.แพ่ง ม. 248 และถือว่าจำเลยฎีกาขึ้นมาเพียงคดีมีทุนทรัพย์เกิน 2,000 บาทคดีเดียว
ฟ้องขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โดยผู้มีชื่อยกให้โจทก์เข้าปกครองมา 25 ปีแล้ว เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าผู้มีชื่อหาได้ยกที่ให้โจทก์ไม่ เป็นแต่มมอบให้โจทก์และผู้อื่นปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้นโจทก์จึงไม่มีกรรมสิทธิในที่ และจะขอศาลสั่งว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ไม่ได้
การปกครองรักษาที่พิพาทไว้ในฐานะของกลางตามคำสั่งของผู้ตายโดยไม่ปรากฎว่าผู้ครอบครองจะไม่ปกครองที่พิพาทไว้ตามคำสั่งของผู้ตาย ภายหลังจากผู้ตายได้ตายแล้ว กับทั้งผู้ครอบครองไม่เคยแสดงตัวก่อนเจ้าหน้าที่ว่าตนเป็นเจ้าของที่พิพาทรายนี้ การเสียภาษีบำรุงท้องที่ผู้อื่นก็เป็นผู้เสีย ดังนี้ ถือว่าเป็นการปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้น มิใช่เป็นการปกครองเพื่อเอากรรมสิทธิ์
ฟ้องขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โดยผู้มีชื่อยกให้โจทก์เข้าปกครองมา 25 ปีแล้ว เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าผู้มีชื่อหาได้ยกที่ให้โจทก์ไม่ เป็นแต่มมอบให้โจทก์และผู้อื่นปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้นโจทก์จึงไม่มีกรรมสิทธิในที่ และจะขอศาลสั่งว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ไม่ได้
การปกครองรักษาที่พิพาทไว้ในฐานะของกลางตามคำสั่งของผู้ตายโดยไม่ปรากฎว่าผู้ครอบครองจะไม่ปกครองที่พิพาทไว้ตามคำสั่งของผู้ตาย ภายหลังจากผู้ตายได้ตายแล้ว กับทั้งผู้ครอบครองไม่เคยแสดงตัวก่อนเจ้าหน้าที่ว่าตนเป็นเจ้าของที่พิพาทรายนี้ การเสียภาษีบำรุงท้องที่ผู้อื่นก็เป็นผู้เสีย ดังนี้ ถือว่าเป็นการปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้น มิใช่เป็นการปกครองเพื่อเอากรรมสิทธิ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1651-1652/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในที่ดิน: การครอบครองเพื่อรักษาไว้เป็นของกลาง ไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ์, การยกให้และการครอบครอง
โจทก์จำเลยพิพาทเป็นคดีสองเรื่อง เรื่องหนึ่งเป็นคดีมีทุนทรัพย์เกิน 2,000 บาท อีกคดีหนึ่งเป็นคดีพิพาทกันโดยไม่มีทุนทรัพย์ ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน ศาลอุทธรณ์คงพิพากษาแก้เฉพาะสำนวนมีทุนทรัพย์ให้แบ่งทรัพย์ที่ฟ้องคนละครึ่ง จำเลยเป็นฝ่ายฎีกาขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้โต้เถียงอะไร ในคดีพิพาทไม่มีทุนทรัพย์ทั้งไม่มีเหตุสำหรับฎีกา ประกอบทั้งคดีที่พิพาทกันโดยไม่มีทุนทรัพย์ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 และถือว่าจำเลยฎีกาขึ้นมาเพียงคดีมีทุนทรัพย์เกิน 2,000 บาทคดีเดียว
ฟ้องขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โดยผู้มีชื่อยกให้โจทก์เข้าปกครองมา 25 ปีแล้ว เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าผู้มีชื่อหาได้ยกที่ให้โจทก์ไม่ เป็นแต่มอบให้โจทก์และผู้อื่นปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้น โจทก์จึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ และจะขอศาลสั่งว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ไม่ได้
การปกครองรักษาที่พิพาทไว้ในฐานะของกลางตามคำสั่งของผู้ตายโดยไม่ปรากฏว่าผู้ครอบครองจะไม่ปกครองที่พิพาทไว้ตามคำสั่งของผู้ตาย ภายหลังจากผู้ตายได้ตายแล้ว กับทั้งผู้ครอบครองไม่เคยแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่ว่าตนเป็นเจ้าของที่พิพาทรายนี้ การเสียภาษีบำรุงท้องที่ผู้อื่นก็เป็นผู้เสีย ดังนี้ ถือว่าเป็นการปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้น มิใช่เป็นการปกครองเพื่อเอากรรมสิทธิ์
ฟ้องขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โดยผู้มีชื่อยกให้โจทก์เข้าปกครองมา 25 ปีแล้ว เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าผู้มีชื่อหาได้ยกที่ให้โจทก์ไม่ เป็นแต่มอบให้โจทก์และผู้อื่นปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้น โจทก์จึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ และจะขอศาลสั่งว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ไม่ได้
การปกครองรักษาที่พิพาทไว้ในฐานะของกลางตามคำสั่งของผู้ตายโดยไม่ปรากฏว่าผู้ครอบครองจะไม่ปกครองที่พิพาทไว้ตามคำสั่งของผู้ตาย ภายหลังจากผู้ตายได้ตายแล้ว กับทั้งผู้ครอบครองไม่เคยแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่ว่าตนเป็นเจ้าของที่พิพาทรายนี้ การเสียภาษีบำรุงท้องที่ผู้อื่นก็เป็นผู้เสีย ดังนี้ ถือว่าเป็นการปกครองรักษาไว้เป็นของกลางเท่านั้น มิใช่เป็นการปกครองเพื่อเอากรรมสิทธิ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2086/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าหนี้บุริมสิทธิจำนองและการบังคับชำระหนี้จากสินสมรส/สินบริคณห์
1. เดิมคู่ความฝ่ายหนึ่งยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่น ต่อมายื่นคำร้องอีกฉบับเตือนให้ศาลเร่งพิจารณาวินิจฉัยคำร้องฉบับเดิม ศาลนัดพร้อมคู่ความฝ่ายที่ยื่นขาดนัด ศาลสั่งยกคำร้องฉบับที่เตือนเสีย ดังนี้ไม่หมายความถึงให้ยกคำร้องเดิมที่ขอรับชำระหนี้นั้นด้วย 2. ผู้รับจำนองย่อมเป็นเจ้าหนี้มีบุริมสิทธิชอบที่จะร้องขอรับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นๆ ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าหนี้ที่มีคำพิพากษา ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมนั้นเมื่อคู่ความอีกฝ่ายมิได้โต้แย้งมาแต่ศาลชั้นต้น ศาลก็ไม่วินิจฉัยให้ 3. คำสั่งของศาลที่ชี้ขาดว่าผู้ร้องขอรับชำระหนี้จำนองของจำเลยมีสิทธิจะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นได้นั้นหาเป็นการลบล้างคำพิพากษาของศาลในคดีอื่น (คดีแดงที่ 1472/2497) ผู้ร้องขอเฉลี่ยทรัพย์อีกรายหนึ่ง) ฟ้องขอให้แยกสินบริคณห์ระหว่างจำเลยกับสามีไม่ 4. เมื่อคู่ความฝ่ายใดมีความจำนงที่จะอ้างอิงเอกสารฉบับใด ให้ยื่นบัญชีแสดงเอกสารต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน แต่ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ แม้จะฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2086/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าหนี้บุริมสิทธิจำนองและการบังคับชำระหนี้จากสินสมรส/สินบริคณห์
1. เดิมคู่ความฝ่ายหนึ่งยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่น ต่อมายืนคำร้องอีกฉบับเตือนให้ศาลเร่งพิจารณาวินิจฉัยคำร้องฉะบับเดิมศาลนัดพร้อมคู่ความฝ่ายที่ยื่นขาดนัด ศาลสั่งยกคำร้องฉบับที่เตือนเสีย ฟังไม่หมายความถึงให้ยกคำร้องเดิมที่ขอรับชำระหนี้นั้นด้วย
2. ผู้รับจำนองย่อมเป็นเจ้าหนี้มีบุริมสิทธิชอบที่จะร้องขอรับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่น ๆ ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าหนี้ที่มีคำพิพากษา ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมนั้น เมื่อคู่ความอีกฝ่ายมิได้โต้แย้งมาแต่ศาลชั้นต้น ศาลก็ไม่วินิจฉัยให้
3. คำสั่งของศาลที่ชี้ขาดว่าผู้ร้องขอรับชำระหนี้จำนองของจำเลยมีสิทธิจะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นได้นั้น หาเป็นการลบล้างคำพิพากษาของศาลในคดีอื่น (คดีแดงที่ 1472/2497 ) ที่ผู้ฎีกา (ผู้ร้องขอเฉลี่ยทรัพย์อีกรายหนึ่ง) ฟ้องขอให้แยกสินบริคณห์ระหว่างจำเลยกับสามีไม่
4. เมื่อคู่ความฝ่ายใดมีความจำนงที่จะอ้างอิงเอกสารฉบับใด ให้ยื่นบัญชีแสดงเอกสารต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน แต่ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ แม้จะฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติดังกล่าว
2. ผู้รับจำนองย่อมเป็นเจ้าหนี้มีบุริมสิทธิชอบที่จะร้องขอรับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่น ๆ ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าหนี้ที่มีคำพิพากษา ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมนั้น เมื่อคู่ความอีกฝ่ายมิได้โต้แย้งมาแต่ศาลชั้นต้น ศาลก็ไม่วินิจฉัยให้
3. คำสั่งของศาลที่ชี้ขาดว่าผู้ร้องขอรับชำระหนี้จำนองของจำเลยมีสิทธิจะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นได้นั้น หาเป็นการลบล้างคำพิพากษาของศาลในคดีอื่น (คดีแดงที่ 1472/2497 ) ที่ผู้ฎีกา (ผู้ร้องขอเฉลี่ยทรัพย์อีกรายหนึ่ง) ฟ้องขอให้แยกสินบริคณห์ระหว่างจำเลยกับสามีไม่
4. เมื่อคู่ความฝ่ายใดมีความจำนงที่จะอ้างอิงเอกสารฉบับใด ให้ยื่นบัญชีแสดงเอกสารต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน แต่ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ แม้จะฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1640/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 249 ว.พ.พ. เมื่ออ้างเหตุผลจากฟ้องอุทธรณ์โดยไม่กล่าวอ้างข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายในฎีกา
คู่ความที่ฎีกากล่าวท้าวเหตุผลรายละเอียดตามฟ้องอุทธรณ์โดยขอให้ถือเอาเป็นส่วนหนึ่งแห่งฎีกาเช่นนี้ จะถือว่าเป็นการกล่าวข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายโดยชัดแจ้งในฎีกาหาได้ไม่ เป็นฎีกาที่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249