พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,935 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2325/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอมในที่ดินจัดสรร: สิทธิการใช้ทางสัญจร, การบำรุงรักษา, และการโต้แย้งสิทธิโดยการรุกล้ำ
การที่โจทก์แบ่งแยกที่ดินออกเป็นแปลงย่อยปลูกสร้างตึกแถวเพื่อขายและจัดทำถนนออกสู่ทางสาธารณะเพื่อประโยชน์ของผู้ซื้อตึกแถวถนนดังกล่าวจึงเป็นสาธารณูปโภคที่ผู้จัดสรรได้จัดให้มีขึ้นตกอยู่ใน ภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ ที่ดินที่ จัดสรรจำเลยมีสิทธิใช้ถนนพิพาทเป็นทางสัญจรผ่านเข้าออกได้เท่านั้นและโจทก์เป็น ผู้จัดสรรที่ดิน มีหน้าที่บำรุงรักษากิจการอันเป็นสาธารณูปโภคให้คงสภาพดังเช่นที่ได้จัดทำขึ้นโดยตลอดไปตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่286ข้อ30วรรคแรกและข้อ32จำเลยทำให้ถนนเสื่อมสภาพและเสื่อมประโยชน์การใช้เป็นทางสัญจรเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา55 การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนเมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าที่ดินเนื้อที่8ตารางวาที่จำเลยรุกล้ำตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินจัดสรรเพื่อประโยชน์แก่ผู้ซื้อตึกแถวจำเลยไม่มีสิทธิยึดถือครอบครองทำให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดลงด้วยการสร้างกันสาดและวางสิ่งของขายเท่ากับว่าจำเลยไม่อาจครอบครองอย่างเป็นเจ้าของแม้จำเลยจะได้สิทธิครอบครองใช้ที่ดินพิพาทเป็นเวลาเกินกว่า10ปีก็ไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382ที่จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นจึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา238ประกอบมาตรา249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2261/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์และฎีกาในคดีขับไล่ที่มีค่าเช่าต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ประเด็นการต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามมาตรา 224
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนย้ายสิ่งปลูกสร้างพร้อมบริวารออกไปจากที่พิพาทของโจทก์ซึ่งมีค่าเช่าปีละ1,000บาทจำเลยให้การเพียงว่า ช. สามีโจทก์เอาเงินจากจำเลยไปซื้อที่ดินพิพาทมิได้กล่าวอ้างโดยชัดแจ้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยหรือจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของและในการอุทธรณ์และฎีกาจำเลยก็อุทธรณ์และฎีกาแต่เพียงว่าจำเลยไม่ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทมิได้อุทธรณ์และฎีกาในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแต่อย่างใดจึงเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละสี่พันบาทต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทและไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ฟังว่าจำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทและต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้จึงไม่เป็นการชอบด้วยกระบวนพิจารณาจำเลยไม่มีสิทธิที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงนั้นต่อมา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2228/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งมอบโฉนดที่พิพาทเพื่อบังคับคดี แม้ผู้ร้องอ้างสิทธิอื่นก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาล
ผู้ร้องเป็นผู้เก็บโฉนดที่พิพาทไว้เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถดำเนินการบังคับคดีได้การที่ศาลสั่งให้ผู้ร้อง ส่งมอบโฉนดที่พิพาทต่อศาลก็เพื่อนำไปดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาเท่านั้นหาใช่เอาไปเสียจากการ ยึดถือครอบครองของผู้ร้องเสียทีเดียวไม่ผู้ร้องจึงต้อง ส่งโฉนดที่พิพาทต่อศาล การที่ผู้ร้องอ้างว่าคดีที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยอยู่ระหว่างส่งคำบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนใส่ชื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินร่วมกับจำเลยในโฉนดพิพาทนั้นเมื่อผู้ร้องไม่ได้แถลงโต้แย้งไว้จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและมิใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือปัญหาที่ผู้ร้องไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างเพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้แต่จะอย่างไรก็ตามแม้จะเป็นดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้างก็หาใช่เหตุที่ผู้ร้องจะปฏิเสธไม่ยอมส่งโฉนดพิพาทต่อศาลได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2048/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากโต้แย้งการวินิจฉัยข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์เฉพาะโทษ ไม่ใช่คำพิพากษาทั้งหมด
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะโทษเป็นลงโทษจำคุกและปรับแต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้การที่โจทก์ร่วมฎีกาว่าจำเลยขับรถเร็วล้ำเข้าไปในช่องเดินรถของโจทก์ร่วมฝ่ายเดียวมิใช่ต่างฝ่ายต่างขับรถเร็วและต่างล้ำเข้าไปในช่องเดินรถของอีกฝ่ายหนึ่งดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยโจทก์ร่วมมิได้ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เช่นนี้ฎีกาของโจทก์ร่วมจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1937/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้พิจารณาใหม่ และการขาดน้ำหนักพยานหลักฐานการซื้อขายที่ดิน
คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา208เป็นคำสั่งภายหลังเมื่อศาลได้พิพากษาคดีแล้วจึงไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวภายใน1เดือนนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งคำสั่งดังกล่าวจึงถึงที่สุดแม้ศาลอุทธรณ์ภาค3จะวินิจฉัยให้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์กล่าวอ้างว่าซื้อที่ดินพิพาทจาก ป. แล้วครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382ซึ่งเป็นเพียงคำเบิกความลอยๆง่ายแก่การกล่าวอ้างทั้งโจทก์เป็นคนยากจนไม่มีเงินเก็บไว้พอที่จะนำมาชำระค่าที่ดินส่วนที่เหลือให้ ป. และในการซื้อขายก็ไม่ปรากฏว่ามีการทำหลักฐานไว้เป็นหนังสือแม้โฉนดที่ดินโจทก์ก็ไม่ได้เป็นผู้เก็บรักษาไว้ซึ่งราคาที่ซื้อขายกันขณะนั้นก็เป็นราคาที่ค่อนข้างสูงประกอบกับหากโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจาก ป. จริงก็น่าจะครอบครองทำประโยชน์เต็มเนื้อที่แต่โจทก์กลับครอบครองทำประโยชน์แต่เพียงบางส่วนเหมือนครั้งป. ยังมีชีวิตอยู่พยานหลักฐานโจทก์จึงขาดน้ำหนักขัดต่อเหตุผลไม่น่าเชื่อว่าโจทก์ได้ซื้อที่ดินพิพาทจาก ป. จริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1797/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิฟ้องร้องหลังถูกกีดกันสิทธิ การพิพาทเรื่องถนนและภารจำยอม ศาลพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
การที่โจทก์ทำประตูเหล็กปิดกั้นถนนพิพาทไม่ยอมให้จำเลยเข้าออกเว้นแต่จะยอมเสียค่าตอบแทนแก่โจทก์ย่อมทำให้จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าถูกโจทก์โต้แย้งสิทธิดังนั้นที่จำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้นขอให้เปิดถนนพิพาทและในระหว่างพิจารณาได้ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาจึงเป็นการใช้สิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แม้ต่อมาศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องแต่ทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฎว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งโดยมีความเห็นหลงไปว่าการมีคำสั่งเช่นนั้นมีเหตุผลอันสมควรโดยความผิดหรือเลินเล่อของจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา263(1)การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมิได้ทำละเมิดต่อโจทก์แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าถนนพิพาทเป็นของโจทก์และมิได้ตกอยู่ในภารจำยอมดังที่โจทก์อ้างก็ไม่อาจทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไปที่ศาลชั้นต้นไม่วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1797/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปิดกั้นทางเข้าออกและการฟ้องร้อง: การกระทำที่ไม่เป็นการละเมิด
การที่โจทก์ทำประตูเหล็กปิดกั้นถนนพิพาท ไม่ยอมให้จำเลยเข้าออก เว้นแต่จะยอมเสียค่าตอบแทนแก่โจทก์ ย่อมทำให้จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าถูกโจทก์โต้แย้งสิทธิ ดังนั้นที่จำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้นขอให้เปิดถนนพิพาทและในระหว่างพิจารณาได้ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา จึงเป็นการใช้สิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ แม้ต่อมาศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง แต่ทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งโดยมีความเห็นหลงไปว่า การมีคำสั่งเช่นนั้นมีเหตุผลอันสมควรโดยความผิดหรือเลินเล่อของจำเลย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 263 (1)การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลย
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยมิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า ถนนพิพาทเป็นของโจทก์และมิได้ตกอยู่ในภาระจำยอมดังที่โจทก์อ้าง ก็ไม่อาจทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลชั้นต้นไม่วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวจึงชอบแล้ว
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยมิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า ถนนพิพาทเป็นของโจทก์และมิได้ตกอยู่ในภาระจำยอมดังที่โจทก์อ้าง ก็ไม่อาจทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลชั้นต้นไม่วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1414/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้, ฟ้องซ้อน, การวินิจฉัยนอกฟ้อง, การโอนที่ดินตามสัญญาหย่า, และการต่อสู้คดีของจำเลยในฐานะอนาถา
จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ให้จำเลยรับผิดตามฟ้องโจทก์ทั้งที่ไม่มีข้อตกลงว่าหาก ป. ผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งถือว่าผิดนัดทั้งหมดนั้นเมื่อจำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้เมื่อหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้เป็นมูลหนี้ที่ชอบมีผลบังคับได้ตามกฎหมายส่วนมูลหนี้จะเกิดจากการกู้ยืมหรือเกิดจากการขายที่ดินหาใช่ข้อสำคัญไม่ ข้อตกลงที่ ป. จะโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามหนังสือสัญญาหย่ามิใช่เป็นการจะให้ที่ดินแก่โจทก์โดยตรงแต่เป็นการให้ที่เกิดจาก ข้อตกลงตามสัญญา แบ่งทรัพย์สินในการหย่าระหว่าง ป.กับโจทก์ดังนี้ข้อตกลงจะให้ที่ดินดังกล่าวย่อมสมบูรณ์มีผลผูกพันกันได้โดย ไม่ต้อง จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของ ป. รับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่ ป. ทำไว้กับโจทก์ส่วนคดีแพ่งของศาลจังหวัดลพบุรีเป็นเรื่องโจทก์ฟ้อง ป. เป็นจำเลยให้ปฏิบัติตามหนังสือสัญญาหย่าที่ ป. ทำไว้กับโจทก์ดังนี้จำเลยในคดีนี้กับจำเลยในคดีดังกล่าวเป็นคนละคนข้อพิพาทก็เป็นคนละประเด็นกันฟ้องโจทก์คดีนี้จึง ไม่เป็น ฟ้องซ้อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1404/2539 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระจำยอมไม่เกิดจากการใช้ทางของเพียงผู้เช่า แม้ใช้ต่อเนื่องนานปี
จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้จำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์ทั้งสี่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น โดยไม่มีรายละเอียดว่านอกฟ้องนอกประเด็นอย่างไร จึงไม่เป็นฎีกาที่ชัดแจ้ง ทั้งปรากฏว่าศาลอุทธรณ์เห็นชอบกับศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ไม่มีอะไรให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์อันจะต้องโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จึงไม่เป็นฎีกาที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัย
ภาระจำยอมเป็นทรัพยสิทธิที่กฎหมายก่อตั้งขึ้นสำหรับเจ้าของสามยทรัพย์ การใช้ทางพิพาทขนส่งไปรษณีย์ภัณฑ์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเพียงผู้เช่าที่ดินของกระทรวงการคลังเท่านั้น มิได้เป็นการใช้แทนหรือทำในนามหรือเพื่อประโยชน์ของกระทรวงการคลังอันจะก่อให้เกิดภาระจำยอมในสามยทรัพย์ การใช้ทางพิพาทของจำเลยที่ 1 จึงไม่เกิดภาระจำยอม แม้จะใช้มาเป็นเวลา 10 ปีเศษจำเลยที่ 1 ผู้เช่าจะอ้างสิทธิว่าได้ใช้ทางพิพาทจนได้ภาระจำยอมแก่เจ้าของที่ดินผู้ให้เช่าหาได้ไม่
ภาระจำยอมเป็นทรัพยสิทธิที่กฎหมายก่อตั้งขึ้นสำหรับเจ้าของสามยทรัพย์ การใช้ทางพิพาทขนส่งไปรษณีย์ภัณฑ์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเพียงผู้เช่าที่ดินของกระทรวงการคลังเท่านั้น มิได้เป็นการใช้แทนหรือทำในนามหรือเพื่อประโยชน์ของกระทรวงการคลังอันจะก่อให้เกิดภาระจำยอมในสามยทรัพย์ การใช้ทางพิพาทของจำเลยที่ 1 จึงไม่เกิดภาระจำยอม แม้จะใช้มาเป็นเวลา 10 ปีเศษจำเลยที่ 1 ผู้เช่าจะอ้างสิทธิว่าได้ใช้ทางพิพาทจนได้ภาระจำยอมแก่เจ้าของที่ดินผู้ให้เช่าหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1404/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอมมิอาจเกิดแก่ผู้เช่า การใช้ทางเพื่อประโยชน์ตนเองไม่สร้างภารจำยอมแก่เจ้าของที่ดิน
จำเลยที่2ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้จำเลยที่2รับผิดต่อโจทก์ทั้งสี่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นโดยไม่มีรายละเอียดว่านอกฟ้องนอกประเด็นอย่างไรจึงไม่เป็นฎีกาที่ชัดแจ้งทั้งปรากฏว่าศาลอุทธรณ์เห็นชอบกับศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องจำเลยที่2ไม่มีอะไรให้จำเลยที่2ต้องรับผิดต่อโจทก์อันจะต้องโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่เป็นฎีกาที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัย ภาระจำยอมเป็นทรัพยสิทธิที่กฎหมายก่อตั้งขึ้นสำหรับเจ้าของสามยทรัพย์การใช้ทางพิพาทขนส่งไปรษณีย์ภัณฑ์ของจำเลยที่1ซึ่งเป็นเพียงผู้เช่าที่ดินของกระทรวงการคลังเท่านั้นมิได้เป็นการใช้แทนหรือทำในนามหรือเพื่อประโยชน์ของกระทรวงการคลังอันจะก่อให้เกิดภาระจำยอมในสามยทรัพย์การใช้ทางพิพาทของจำเลยที่1จึงไม่เกิดภารจำยอมแม้จะใช้มาเป็นเวลา10ปีเศษจำเลยที่1ผู้เช่าจะอ้างสิทธิว่าได้ใช้ทางพิพาทจนได้ภารจำยอมแก่เจ้าของที่ดินผู้ให้เช่าหาได้ไม่