พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,935 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 255/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากประกันภัย: ต้องยกอายุความเรื่องการเรียกค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยขึ้นต่อสู้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่3ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยหากจำเลยที่3จะยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ก็ต้องยกอายุความในการเรียกค่าสินไหมทดแทนที่ว่าห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดสองปีนับแต่วันวินาศภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา882วรรคแรกขึ้นต่อสู้มิฉะนั้นไม่เป็นประเด็นแห่งคดีและไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลอุทธรณ์จะยกขึ้นวินิจฉัยเองไม่ได้จำเลยที่3จึงฎีกาต่อมาไม่ได้เพราะเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 216/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับตราส่งตกลงชำระค่าระวางแบบ ซีวาย/ซีวาย มีสิทธิรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเมื่อไม่รับสินค้า
จำเลยสั่งซื้อสินค้าพิพาทจากบริษัท ก. ในประเทศ สหรัฐอเมริกาแล้วว่าจ้างโจทก์ขนส่งสินค้าทางทะเลแบบ ซีวาย/ซีวาย โดยบริษัท ก.เป็นฝ่ายนำตู้คอนเทนเนอร์บรรจุสินค้ามามอบให้โจทก์บรรทุกลงเรือเมื่อมาถึงท่าเรือกรุงเทพฯซึ่งเป็นท่าปลายทางจำเลยมีหน้าที่ไปขนถ่ายสินค้าออกจากตู้คอนเทนเนอร์ภายใน7วันแล้วส่งตู้คอนเทนเนอร์คืนโจทก์จำเลยจะชำระราคาสินค้าให้บริษัท ก.โดยผ่านทางธนาคารแล้วจำเลยจะรับใบตราส่งจากธนาคารไปแลกใบสั่งปล่อยสินค้าจากโจทก์เพื่อไปรับสินค้าจากการท่าเรือแห่งประเทศไทยต่อมาโจทก์ขนส่งสินค้าพิพาทไปถึงท่าเรือปลายทางและพร้อมที่จะส่งมอบสินค้าโดยยกตู้คอนเทนเนอร์ออกจากเรือทั้งได้แจ้งให้จำเลยทราบแล้วโจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับค่าระวางและค่าเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยไม่ไปรับสินค้าตามข้อตกลงการที่จำเลยจะเรียกให้โจทก์ส่งมอบสินค้าหรือไม่หามีผลต่อความรับผิดที่จำเลยมีตามข้อตกลงไม่ปัญหาว่าเมื่อผู้รับตราส่งยังไม่ได้เรียกให้ผู้ขนส่งส่งมอบสินค้าโดยวิธีนำใบตราส่งแลกกับใบปล่อยสินค้าจะทำให้ผู้รับตราส่งยังไม่ได้รับโอนสิทธิหน้าที่อันเกิดจากสัญญารับขนหรือไม่จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 199/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรมซื้อขายที่ดินจากกลฉ้อฉลหรืออาศัยความไม่รู้ของคู่กรณี
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยหลอกให้โจทก์ไปทำสัญญาประกันชีวิตแต่กลับไปทำสัญญาซื้อขายที่ดินเป็นการอ้างความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมจำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ขายที่ดินให้จำเลยเท่ากับปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ได้สำคัญผิดหาได้ยกเรื่องกลฉ้อฉลขึ้นต่อสู้ไม่แม้ศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยว่าเป็นการแสดงเจตนาเพราะกลฉ้อฉลและจำเลยฎีกาในทำนองเดียวกันก็ตามก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น จำเลยอาศัยความไม่รู้หนังสือตลอดจนความสูงอายุและความไม่รู้ระเบียบต่างๆของทางราชการของโจทก์ทำให้โจทก์ทำนิติกรรมขายที่ดินพิพาททั้งแปลงให้แก่จำเลยทั้งที่โจทก์มีเจตนาจะโอนขายที่ดินเฉพาะส่วนเท่านั้นหนังสือสัญญาขายที่ดินพิพาทจึงเกิดโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา119เดิม(มาตรา156ที่แก้ไขใหม่)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยประเด็นนอกฟ้อง: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันในศาลล่าง
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า (1) ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ (2) โจทก์หรือจำเลยทั้งหกเป็นฝ่ายผิดสัญญา (3) โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายหรือไม่ เพียงใด โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6มอบโฉนดที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขาย และตั้งหรือเชิดจำเลยที่ 1 หรือยอมให้จำเลยที่ 1 เชิดตัวเองเป็นตัวแทนขายที่ดินพิพาท จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ซึ่งเป็นตัวการต้องรับผิดต่อโจทก์ เป็นการฎีกาในข้อที่โจทก์มิได้บรรยายกล่าวอ้างมาในฟ้องและที่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ ที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาท ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 142 ประกอบด้วย มาตรา 246 ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ทั้งไม่ใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตาม มาตรา 249 แห่งบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกานอกประเด็น: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันในศาลล่าง แม้ไม่กระทบความสงบเรียบร้อย
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า(1)ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่(2)โจทก์หรือจำเลยทั้งหกเป็นฝ่ายผิดสัญญา(3)โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายหรือไม่เพียงใดโจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่2ถึงที่6มอบโฉนดที่ดินพิพาทให้จำเลยที่1เป็นผู้ขายและตั้งหรือเชิดจำเลยที่1หรือยอมให้จำเลยที่1เชิดตัวเองเป็นตัวแทนขายที่ดินพิพาทจำเลยที่2ถึงที่6ซึ่งเป็นตัวการต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการฎีกาในข้อที่โจทก์มิได้บรรยายกล่าวอ้างมาในฟ้องและที่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142ประกอบด้วยมาตรา246ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสองทั้งไม่ใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนต้องห้ามฎีกาตามมาตรา249แห่งบทบัญญัติดังกล่าวศาลฏีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินคำขอและข้อพิพาทเรื่องอากรแสตมป์ในสัญญาซื้อขายที่ดิน
โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกอ้างสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทซึ่งมีรายการแสดงว่าได้มีการชำระเงินจำนวน3,400บาทเป็นพยานเพื่อแสดงข้อเท็จจริงต่อศาลว่าได้มีการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทระหว่างเจ้ามรดกกับจำเลยที่1ไม่ได้อ้างเพื่อแสดงข้อเท็จจริงว่าเป็นใบรับจึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายหมวด6แห่งประมวลรัษฎากรข้อ28และไม่ต้องห้ามไม่ให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามมาตรา118 โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่เจ้ามรดกเป็นเงิน34,550บาทเจ้ามรดกผ่อนชำระค่างวดบางส่วนแล้วก็ถึงแก่ความตายโจทก์ในฐานะทายาทได้ผ่อนชำระส่วนที่เหลือจนครบแต่จำเลยที่1ไม่ยอมจดทะเบียนโอนที่ดินให้ขอให้บังคับจำเลยที่1จดทะเบียนโอนที่ดินให้ถ้าโอนไม่ได้ก็ขอเงินที่ชำระไปคืนพร้อมดอกเบี้ยโจทก์มิได้ขอให้จำเลยชำระราคาที่ดินในขณะฟ้องการที่ศาลพิพากษาให้จำเลยที่1ชำระราคาที่ดินจำนวน70,100บาทเป็นการพิพากษาเกินคำขออันเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนจำเลยที่1มีสิทธิฎีกาและศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องบังคับโอนที่ดินเกินคำขอ ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัย
โจทก์อ้างสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นพยานเพื่อแสดงข้อเท็จจริงต่อศาลว่า ได้มีการทำสัญญาระหว่าง ว.กับจำเลยที่ 1 ไม่ได้อ้างเพื่อแสดงข้อเท็จจริงว่าเป็นใบรับ จึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายหมวด 6 แห่งประมวลรัษฎากร ข้อ 28 และไม่ต้องห้ามไม่ให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118
ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ หากไม่ดำเนินการขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระราคาที่ดินที่ ว.ได้ชำระไปพร้อมดอกเบี้ย ฉะนั้นคำขอของโจทก์คือถ้าโอนที่ดินไม่ได้ก็ขอเงินที่ชำระไปคืน โจทก์มิได้ขอให้จำเลยชำระราคาที่ดินในขณะฟ้องการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระราคาที่ดินจำนวน70,100 บาท จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขออันเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิฎีกาและศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยให้
ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ หากไม่ดำเนินการขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระราคาที่ดินที่ ว.ได้ชำระไปพร้อมดอกเบี้ย ฉะนั้นคำขอของโจทก์คือถ้าโอนที่ดินไม่ได้ก็ขอเงินที่ชำระไปคืน โจทก์มิได้ขอให้จำเลยชำระราคาที่ดินในขณะฟ้องการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระราคาที่ดินจำนวน70,100 บาท จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขออันเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิฎีกาและศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดิน, การพิพากษาเกินคำขอ, และการรับฟังพยานหลักฐานที่มิได้ปิดอากรแสตมป์
โจทก์อ้างสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นพยานเพื่อแสดงข้อเท็จจริงต่อศาลว่าได้มีการทำสัญญาระหว่าง ว. กับจำเลยที่1ไม่ได้อ้างเพื่อแสดงข้อเท็จจริงว่าเป็นใบรับจึงไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายหมวด6แห่งประมวลรัษฎากรข้อ28และไม่ต้องห้ามไม่ให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามประมวลรัษฎากรมาตรา118 ตาม คำขอท้ายฟ้องโจทก์ขอให้บังคับจำเลยที่1จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์หากไม่ดำเนินการขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระราคาที่ดินที่ ว. ได้ชำระไปพร้อมดอกเบี้ยฉะนั้นคำขอของโจทก์คือถ้าโอนที่ดินไม่ได้ก็ขอเงินที่ชำระไปคืนโจทก์มิได้ขอให้จำเลยชำระราคาที่ดินในขณะฟ้องการที่ศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษาให้จำเลยที่1ชำระราคาที่ดินจำนวน70,100บาทจึงเป็นการพิพากษาเกินคำขออันเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนจำเลยที่1จึงมีสิทธิฎีกาและศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 147/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน การกระทำหลายกรรมต่างกัน และการปรับบทลงโทษในคดีอาญา
ผู้เสียหายเบิกความเป็นขั้นตอนเชื่อมโยงกันอย่างมีเหตุผลโอกาสที่ผู้เสียหายจะจำจำเลยที่2และที่3ได้มีอยู่มากและการที่ผู้เสียหายตรงเข้าชกจำเลยที่2และที่3ด้วยความโกรธในทันทีที่พบกันตอนชี้ตัวย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายจำหน้าจำเลยที่2และที่3ได้โดยปราศจากการลังเลพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงเชื่อได้ว่าจำเลยที่2และที่3กับพวกร่วมกันล่อลวงพาผู้ตายและผู้เสียหายมาทำร้าย แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานเห็นคนร้ายทำร้ายผู้ตายแต่การที่ผู้ตายตกอยู่ในวงล้อมการทำร้ายของจำเลยที่2ที่3และ ฮ.ซึ่งมีชะแลงเหล็กเป็นอาวุธและเมื่อผู้ตายหลบหนีก็ปรากฏว่ามีบาดแผลจนถึงแก่ความตายในคืนเดียวกันเหตุการณ์เชื่อมโยงบ่งชี้ให้เห็นว่าผู้ตายถูกจำเลยที่2ที่3และ ฮ. ร่วมกันใช้ชะแลงเหล็กตีทำร้ายผู้ตาย จำเลยที่2และที่3อุทธรณ์ว่ามิใช่คนร้ายที่กระทำผิดตามฟ้องจึงครอบคลุมไปถึงข้ออุทธรณ์ว่าไม่มีเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนอยู่ด้วย ผู้ตายและผู้เสียหายไม่เคยรู้จักหรือมีเหตุโกรธเคืองจำเลยที่2ที่3และ ฮ.มาก่อนทั้งโจทก์ก็มิได้นำสืบว่าจำเลยที่1มีความสัมพันธ์กับจำเลยที่2และที่3ประการใดพอที่จะแสดงให้เห็นว่าเป็นเหตุจูงใจให้จำเลยที่2และที่3กับพวกต้องฆ่าผู้ตายการที่จำเลยที่2ที่3และพวกล่อลวงผู้ตายกับผู้เสียหายมายังที่เกิดเหตุจุดแรกพร้อมกันและตรงเข้าทำร้ายผู้ตายกับผู้เสียหายพร้อมกันแต่ผู้ตายหลบหนีไปได้เสียก่อนในตอนแรกแสดงให้เห็นว่าเจตนาของจำเลยที่2ที่3และ ฮ.ที่มีต่อผู้ตายและผู้เสียหายในขณะนั้นเป็นเจตนาเดียวกันคือเจตนาทำร้ายการที่จำเลยที่2ที่3และ ฮ. ติดตามไปทันและฆ่าผู้ตายในภายหลังต่อเนื่องกันไปย่อมเห็นได้ว่าเพิ่งมีเจตนาฆ่าผู้ตายในขณะนั้นจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่2ที่3กับ ฮ. มีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน การกระทำของจำเลยที่2และที่3ต่อผู้ตายและผู้เสียหายเป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันแต่เมื่อโจทก์มิได้ฎีกาศาลฎีกาจึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่2และที่3อีกกรรมหนึ่งได้เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา212ประกอบมาตรา225แต่ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 85/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องล้มละลาย: สิทธิของลูกหนี้ร่วมและเหตุไม่ควรล้มละลาย
การที่จำเลยทั้งสองกับ น. ต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ทั้งห้าในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมตามคำพิพากษาโจทก์ทั้งห้าย่อมมีสิทธิเลือกบังคับชำระหนี้ทั้งหมดเอาจากลูกหนี้คนใดคนหนึ่งหรือทั้งสามคนร่วมกันก็ได้หากบังคับชำระหนี้ได้ไม่ครบหรือไม่ได้เลยและอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะฟ้องให้ลูกหนี้คนใดล้มละลายได้โจทก์ทั้งห้าก็มีสิทธิฟ้องให้ล้มละลายได้ด้วยการที่โจทก์ทั้งห้าเลือกฟ้องจำเลยที่2ให้ล้มละลายหาเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวแต่มีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยทั้งสองล้มละลายจำเลยที่2ไม่ได้อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์จึงฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวและวินิจฉัยเฉพาะปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่ามีเหตุไม่ควรพิพากษาให้จำเลยทั้งสองล้มละลายหรือไม่ที่จำเลยที่2ฎีกาว่ามิได้มีหนี้สินล้นพ้นตัวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จำเลยที่2อ้างว่ามีรายได้เดือนละ200,000-300,000บาทแต่ไม่ปรากฏว่าเคยชำระหนี้ให้โจทก์ทั้งห้าเลยข้ออ้างจึงเลื่อนลอยไม่น่าเชื่อถือไม่พอฟังว่าจำเลยที่2มีรายได้ที่อาจชำระหนี้ได้ทั้งหมดจึงไม่มีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยที่2ล้มละลาย