คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 220

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 493 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2183/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์โดยฟังว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำผิด การที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตควรมีความผิดตามฟ้อง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 67/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยอมความในคดีบุกรุก และข้อจำกัดในการอุทธรณ์คดีที่ศาลชั้นต้นยกฟ้อง
ปรากฏจากบันทึกข้อตกลงว่า ผู้เสียหายได้กล่าวหาจำเลยที่ 1 กับพวกอีก 2 คนว่าบุกรุกที่ดินผู้เสียหายในที่สุดจำเลยที่ 1 กับพวกรับว่าได้บุกรุกและยอมออกไปจากที่ดินของผู้เสียหาย แต่จำเลยที่ 1 คนเดียวไม่ยอมออกไป คงครอบครองที่ดินนั้นตลอดมา ถือได้ว่าผู้เสียหายกับจำเลย ที่ 1 ได้ยอมความกันโดยตกลงเลิกคดีกันแล้ว สิทธินำคดีมาฟ้องของโจทก์ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) การที่จำเลยที่ 1 ผิดเงื่อนไขไม่ยอมออกไปจากที่ดินเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงว่ามิได้มีการร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365 โจทก์จะฎีกาว่ามีการร่วมกันบุกรุกซึ่งเป็นข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 67/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยอมความในคดีบุกรุกและการระงับสิทธิฟ้องร้อง รวมถึงข้อจำกัดในการโต้แย้งข้อเท็จจริงในฎีกา
ปรากฏจากบันทึกว่า ผู้เสียหายได้กล่าวหาจำเลยที่ 1 กับพวกอีก 2 คนว่าบุกรุกที่ดินผู้เสียหาย ในที่สุดจำเลยที่ 1 กับพวกรับว่าได้บุกรุกและยอมออกไปจากที่ดินของผู้เสียหายแต่จำเลยที่ 1 คนเดียวไม่ยอมออกไป คงครอบครองที่ดินนั้นตลอดมา ถือได้ว่าผู้เสียหายกับจำเลยที่ 1 ได้ยอมความกันโดยตกลงเลิกคดีกันแล้ว สิทธินำคดีมาฟ้องของโจทก์ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) การที่จำเลยที่ 1 ผิดเงื่อนไขไม่ยอมออกไปจากที่ดินเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงว่ามิได้มีการร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 โจทก์จะฎีกาว่ามีการร่วมกันบุกรุกซึ่งเป็นข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2312/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องในคดีความเท็จเกี่ยวกับการสัมปทานที่ดิน: ผู้ว่าฯ ไม่ใช่ผู้รับผิดชอบการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดว่าได้กระทำเอกสารและรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จในเรื่องที่โจทก์ได้รับสัมปทานจากกระทรวงมหาดไทยให้เข้าไปทำการเกษตรและอุตสาหกรรมในท้องที่แห่งหนึ่งเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกฟ้องโจทก์โดยได้วินิจฉัยไว้โดยละเอียดว่าเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ตรวจพิสูจน์สิทธิและสอบสวนเกี่ยวกับที่ดินที่โจทก์ขอสัมปทานคือนายอำเภอท้องที่มิใช่จำเลยเรื่องราวที่นายอำเภอสอบสวนเสนอความเห็นต่อจำเลยและจำเลยเสนอต่อไปยังรัฐมนตรีถือไม่ได้ว่าเป็นความเท็จถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความเท็จและความเสียหายของโจทก์เกิดขึ้นในภายหลังซึ่งมิใช่การกระทำของจำเลยโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเป็นการวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงและเหตุผลที่ปรากฏในสำนวนฎีกาของโจทก์ที่ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความเท็จโจทก์มีอำนาจฟ้องจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 986/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 220: เจตนาออกเช็คที่ไม่สามารถใช้ได้เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาโดยมีข้อความว่า "การเล่นแชร์โดยชำระเป็นเช็คจำเลยย่อมทราบว่าเมื่อถึงวันที่ที่ตกลงกันไว้ตนเองต้องมีเงินเข้าบัญชีเงินฝากที่ธนาคาร จำเลยได้ปฏิบัติมาแล้ว5 เดือน เดือนที่ 6 จำเลยอาจขัดข้องทางการเงิน โจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ จำเลยหลบหนีไม่ยอมนำเงินตามเช็คชำระ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาออกเช็คที่จะไม่ให้มีการใช้เงิน จำเลยควรมีความผิด" นั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1831/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่พิพาทเป็นเหตุให้ฎีกาฐานบุกรุกต้องห้าม และคดีแพ่งต้องอ้างอิงข้อเท็จจริงจากคดีอาญา
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุก ขอให้ขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาทการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกหรือละเมิดทางแพ่ง พิพากษายกฟ้อง ดังนี้ เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาในความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ส่วนคดีทางแพ่งที่ขอให้ขับไล่จำเลยนั้น เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาท จึงไม่มีสิทธิขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1025/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฎีกาบุคคลภายนอกขอคืนของกลาง, กรรมสิทธิ์รถยนต์โอนเมื่อทำสัญญาซื้อขาย แม้ยังไม่ได้จดทะเบียน
กรณีบุคคลภายนอกขอคืนของกลางตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา36 ไม่มีกฎหมายจำกัดสิทธิในการอุทธรณ์ฎีกา แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันมาให้ยกคำร้องของผู้ร้องผู้ร้องก็ยังฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ คดีไม่ตกอยู่ในบังคับมาตรา 220 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
การแจ้งโอนทะเบียนรถยนต์ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2473 มาตรา 13 นั้น เป็นเรื่องกฎหมายกำหนดให้มีขึ้นเพื่อประโยชน์แก่การควบคุมของเจ้าพนักงานเท่านั้นไม่ใช่แบบ ที่กำหนดไว้เพื่อความสมบูรณ์แห่งนิติกรรมซื้อขายรถยนต์ รถยนต์เป็นสังหาริมทรัพย์อย่างหนึ่งซึ่งกรรมสิทธิ์ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1025/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบุคคลภายนอกขอคืนของกลาง, กรรมสิทธิ์รถยนต์โอนเมื่อทำสัญญาซื้อขาย, การจดทะเบียนโอนเป็นเรื่องควบคุมของเจ้าพนักงาน
กรณีบุคคลภายนอกขอคืนของกลางตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ไม่มีกฎหมายจำกัดสิทธิในการอุทธรณ์ฎีกา แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันมาให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ผู้ร้องก็ยังฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ คดีไม่ตกอยู่ในบังคับมาตรา 220 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
การแจ้งโอนทะเบียนรถยนต์ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2473 มาตรา 13 นั้น เป็นเรื่องกฎหมายกำหนดให้มีขึ้นเพื่อประโยชน์แก่การควบคุมของเจ้าพนักงานเท่านั้น ไม่ใช่แบบที่กำหนดไว้เพื่อความสมบูรณ์แห่งนิติกรรมซื้อขายรถยนต์ รถยนต์เป็นสังหาริมทรัพย์อย่างหนึ่งซึ่งกรรมสิทธิ์ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเบิกความเท็จในคดีเรียกคืนโฉนด การชำระหนี้จำนองไม่เป็นเหตุสำคัญในคดี
ศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยข้อเท็จจริง โจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงได้
จำเลยเบิกความในข้อที่ว่าโจทก์ชำระหนี้จำนองแล้วหรือไม่ ข้อนี้ไม่ว่าจะเท็จหรือไม่เท็จก็ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่จะได้รับหรือไม่ได้รับโฉนดคืนในคดีที่โจทก์ฟ้องผันแปรไปจึงไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี ไม่มีมูลความผิดฐานเบิกความเท็จ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2375/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฉ้อโกงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องฟังจากพยานหลักฐาน การซื้อขายข้าวสารและการชำระหนี้ด้วยเช็ค
จำเลยจะมีเจตนาเพื่อฉ้อโกงผู้เสียหรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่จะต้องฟังจากพยานหลักฐานในสำนวน ฎีกาโจทก์จึงต้องห้าม
ในคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกง และความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค เมื่อศาลวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดฐานฉ้อโกง ซึ่งมีความหมายว่าจำเลยได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในข้างสารทั้งหมดไปจากผู้เสียหาย-โดยการซื้อขายตามปกติ เพียงแต่เช็คที่ออกให้เป็นการชำระราคาข้างสารนั้น จำเลยออกให้โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค และออกให้ใช้เงินจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ ดังนี้ หนี้ค่าข้าวสารซึ่งผู้เสียหายได้ส่งมอบให้แก่จำเลย-ยังไม่ระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคสาม ผู้เสียหายชอบที่จะฟ้องเรียกให้จำเลยชำระหนี้เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก ศาลจะสั่งให้คืนข้างสารของกลางแก่ผู้เสียหาย และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาข้าวสารซึ่งไม่ได้ถูกยึดมาเป็นของกลางไปในคดีนี้หาได้ไม่
of 50