พบผลลัพธ์ทั้งหมด 493 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1617/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทะเบียนยานพาหนะไม่ใช่หนังสือสำคัญทางกฎหมายอาญา การปลอมแปลงจึงไม่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 225
ในทะเบียนยานพาหนะล้อเลื่อนเป็นเพียงหนังสือราชการเท่านั้นมีไว้เพื่อความสะดวกในการควบคุมของเจ้าพนักงานและพนักงานเจ้าหน้าที่ หาได้มุ่งหมายให้เป็นสำคัญแก่การตั้งเปลี่ยนแก้ หรือเลิกล้างโอนกรรมสิทธิหรือหนี้สินแต่ประการใดไม่ จึงไม่ใช่หนังสือสำคัญตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 6(20)
เมื่อจำเลยปลอมใบทะเบียนยานพาหนะล้อเลื่อนจะลงโทษตาม มาตรา 225 ไม่ได้
ปัญหาเรื่องการรอการลงโทษจำเลยหรือไม่นี้เกี่ยวกับดุลพินิจของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง คู่ความจะฎีกาไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
เมื่อจำเลยปลอมใบทะเบียนยานพาหนะล้อเลื่อนจะลงโทษตาม มาตรา 225 ไม่ได้
ปัญหาเรื่องการรอการลงโทษจำเลยหรือไม่นี้เกี่ยวกับดุลพินิจของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง คู่ความจะฎีกาไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1675/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงโทษจำคุกโดยศาลอุทธรณ์และการฎีกาเพื่อขอให้รอการลงโทษ ซึ่งศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาเดิม
คดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยตาม ม. 321 คนละ 4 ปี และปราณีตาม ม.59 กึ่งหนึ่งคงให้จำคุกไว้ 2 ปี แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้คนละ 5 ปีนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำคุกจำเลยไว้คนละ 2 ปี ปราณีตาม ม.59 กึ่งหนึ่งคงจำคุกไว้คนละ 1 ปีแต่ให้ลงโทษไปทีเดียวเช่นนี้ถือว่าแก้มาก คู่ความฎีกาได้ไม่ฟ้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา ม.218,220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1675/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำพิพากษาเกินสมควรและการรับฟังเหตุรอการลงโทษที่ไม่ปรากฏในสำนวน
คดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยตาม มาตรา 321 คนละ4 ปีและปราณีตาม มาตรา 59 กึ่งหนึ่งคงให้จำคุกไว้ 2 ปีแต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้คนละ 5 ปีนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำคุกจำเลยไว้คนละ 2 ปี ปราณีตาม มาตรา 59 กึ่งหนึ่งคงจำคุกไว้คนละ 1 ปีแต่ให้ลงโทษไปที่เดียวเช่นนี้ถือว่าแก้มาก คู่ความฎีกาได้ไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218,220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1675/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่เกินกรอบและเหตุผลในการรอการลงโทษที่ไม่สมเหตุสมผล
คดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยตาม มาตรา 321 คนละ4 ปีและปราณีตาม มาตรา 59 กึ่งหนึ่งคงให้จำคุกไว้ 2 ปีแต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้คนละ 5 ปีนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำคุกจำเลยไว้คนละ 2 ปี ปราณีตาม มาตรา 59 กึ่งหนึ่งคงจำคุกไว้คนละ 1 ปีแต่ให้ลงโทษไปที่เดียวเช่นนี้ถือว่าแก้มาก คู่ความฎีกาได้ไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218,220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 543/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความคำหมิ่นประมาท: ข้อเท็จจริงสำคัญในการพิจารณาความหมายของถ้อยคำ
ศาลล่างฟังว่าถ้อยคำที่โจทก์กล่าวอ้างว่าเป็นคำหมิ่นประมาทโจทก์นั้น ไม่มีความหมายเป็นถ้อยคำที่ใส่ความโจทก์ โจทก์ฎีกาว่า ถ้อยคำนั้นมีความหมายเป็นอีกอย่างซึ่งเป็นความหมาย+เป็นคำหมิ่นประมาทโจทก์เช่นนี้ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 543/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความคำหมิ่นประมาท: ความหมายพิเศษ vs. ความหมายธรรมดา และอายุความ
ศาลล่างฟังว่าถ้อยคำที่โจทก์กล่าวอ้างว่าเป็นคำหมิ่นประมาทโจทก์นั้น ไม่มีความหมายเป็นถ้อยคำที่ใส่ความโจทก์ โจทก์ฎีกาว่า ถ้อยคำนั้นมีความหมายเป็นอีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นความหมายพิเศษเป็นคำหมิ่นประมาทโจทก์เช่นนี้เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 409/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดโทษอาญาฐานยั่วโทสะในคดีทำร้ายร่างกายถึงแก่ความตาย ศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี ตาม มาตรา 25159 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะให้ลดโทษจำเลยฐานยั่วโทสะตามมาตรา 55 ด้วยคงจำคุก 1 ปี 6 เดือน ดังนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้มากคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
การที่ฝ่ายหนึ่งยั่วโทสะอีกฝ่ายหนึ่งให้เข้าต่อสู้ทำร้ายกันก็อาจลดโทษฐานยั่วโทสะตามมาตรา 55 ได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 10/2498)
การที่ฝ่ายหนึ่งยั่วโทสะอีกฝ่ายหนึ่งให้เข้าต่อสู้ทำร้ายกันก็อาจลดโทษฐานยั่วโทสะตามมาตรา 55 ได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 10/2498)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 327/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม เหตุมิได้แสดงข้อกฎหมายชัดเจน แม้มีเหตุผลด้านการบาดเจ็บและสถานะจำเลย
ข้อ ก.ม.ทั้งปวงอันคู่ความฎีการ้องอ้างอิงให้แสดงไว้โดยชัดเจนในฎีกา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 2 3 อีกฝ่ายหนึ่งวิวาทกันถึงบาดเจ็บขอให้ลงโทษตามม.254,338 จำเลยรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ม. 254 + และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยทั้ง3 มีบาดเจ็บดังนี้จำเลยจะฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อก.ม.
จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลย ม. 338 บทเดียวโดยกล่าวอ้างถึงตัวจำเลยว่าแพทย์ออกความเห็นว่ารักษาไม่เกิน 1 วัน หาย ไม่ใช่หมายถึงผู้ถูกทำร้าย (ตาม ม.338)และอ้างว่าจำเลยเป็นนักศึกษา ดังนี้เป็นฎีกาที่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา ม.195 เพราะไม่ชัดเจนว่าฎีกาในข้อ ก.ม.ข้อไหนอย่างไร (จะค้านว่าบาดแผลอีกฝ่ายคือจำเลย 2,3 ไม่ถึงบาดเจ็บก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม จะค้านว่า ที่ศาลล่างฟังว่าบาดแผลอีกฝ่ายบาดเจ็บนั้น โดยข้อ ก.ม.แล้วถือว่าไม่ถึงบาดเจ็บอาศัย ก.ม.ข้อใด อย่างใด จำเลยไม่ได้กล่าว)
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 2 3 อีกฝ่ายหนึ่งวิวาทกันถึงบาดเจ็บขอให้ลงโทษตามม.254,338 จำเลยรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ม. 254 + และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยทั้ง3 มีบาดเจ็บดังนี้จำเลยจะฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อก.ม.
จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลย ม. 338 บทเดียวโดยกล่าวอ้างถึงตัวจำเลยว่าแพทย์ออกความเห็นว่ารักษาไม่เกิน 1 วัน หาย ไม่ใช่หมายถึงผู้ถูกทำร้าย (ตาม ม.338)และอ้างว่าจำเลยเป็นนักศึกษา ดังนี้เป็นฎีกาที่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา ม.195 เพราะไม่ชัดเจนว่าฎีกาในข้อ ก.ม.ข้อไหนอย่างไร (จะค้านว่าบาดแผลอีกฝ่ายคือจำเลย 2,3 ไม่ถึงบาดเจ็บก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม จะค้านว่า ที่ศาลล่างฟังว่าบาดแผลอีกฝ่ายบาดเจ็บนั้น โดยข้อ ก.ม.แล้วถือว่าไม่ถึงบาดเจ็บอาศัย ก.ม.ข้อใด อย่างใด จำเลยไม่ได้กล่าว)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 327/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: การฎีกาที่ไม่ชัดเจนประเด็นข้อกฎหมาย แม้รับสารภาพผิด
ข้อกฎหมายทั้งปวงอันคู่ความฎีการ้องอ้างอิงให้แสดงไว้โดยชัดเจนในฎีกา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 2,3 อีกฝ่ายหนึ่งวิวาทกันถึงบาดเจ็บขอให้ลงโทษตาม มาตรา 254,338 จำเลยรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม มาตรา 254ปรับ 80 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยทั้ง 3 มีบาดเจ็บ ดังนี้จำเลยจะฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย
จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตาม มาตรา 338 บทเดียวโดยกล่าวอ้างถึงตัวจำเลยว่าแพทย์ออกความเห็นว่ารักษาไม่เกิน 1 วันหาย ไม่ใช่หมายถึงผู้ถูกทำร้าย (ตามมาตรา338) และอ้างว่าจำเลยเป็นนักศึกษา ดังนี้เป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 เพราะไม่ชัดเจนว่าฎีกาในข้อกฎหมายข้อไหนอย่างไร (จะค้านว่าบาดแผลอีกฝ่ายคือจำเลย 2,3 ไม่ถึงบาดเจ็บก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามจะค้านว่าที่ศาลล่างฟังว่าบาดแผลอีกฝ่ายบาดเจ็บนั้นโดยข้อกฎหมายแล้วถือว่าไม่ถึงบาดเจ็บอาศัย กฎหมายข้อใด อย่างใดจำเลยไม่ได้กล่าว)
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 2,3 อีกฝ่ายหนึ่งวิวาทกันถึงบาดเจ็บขอให้ลงโทษตาม มาตรา 254,338 จำเลยรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม มาตรา 254ปรับ 80 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยทั้ง 3 มีบาดเจ็บ ดังนี้จำเลยจะฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย
จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตาม มาตรา 338 บทเดียวโดยกล่าวอ้างถึงตัวจำเลยว่าแพทย์ออกความเห็นว่ารักษาไม่เกิน 1 วันหาย ไม่ใช่หมายถึงผู้ถูกทำร้าย (ตามมาตรา338) และอ้างว่าจำเลยเป็นนักศึกษา ดังนี้เป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 เพราะไม่ชัดเจนว่าฎีกาในข้อกฎหมายข้อไหนอย่างไร (จะค้านว่าบาดแผลอีกฝ่ายคือจำเลย 2,3 ไม่ถึงบาดเจ็บก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามจะค้านว่าที่ศาลล่างฟังว่าบาดแผลอีกฝ่ายบาดเจ็บนั้นโดยข้อกฎหมายแล้วถือว่าไม่ถึงบาดเจ็บอาศัย กฎหมายข้อใด อย่างใดจำเลยไม่ได้กล่าว)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 120/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษและการงดกักกันในคดีลักทรัพย์: ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขโทษกักกันได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี ฐานลักทรัพย์ตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 294 เพิ่มโทษและลดโทษ มีส่วนเท่ากันให้หักกลบลบกันไปคงจำคุก 1 ปี พ้นโทษแล้วให้ส่งตัวจำเลยไปกักกันมีกำหนด 3 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ดังนี้ แม้คู่ความจะฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ ก็ดี แต่เมื่อจำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อ ก.ม.ขึ้นมาศาลฎีกาแล้ว และศาลฎีกาเห็นในข้อ ก.ม.ตามศาลอุทธรณ์ก็ตาม ศาลฎีกาก็ย่อมมีอำนาจพิพากษาให้งดส่งตัวจำเลยไปกักกันเสียได้