คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 220

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 493 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 120/2497

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มโทษและงดกักกันในคดีลักทรัพย์: ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขโทษกักกันโดยคำนึงถึงปัจจัยจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี ฐานลักทรัพย์ตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 294. เพิ่มโทษและลดโทษ มีส่วนเท่ากันให้หักกลบลบกันไปคงจำคุก 1 ปี พ้นโทษแล้วให้ส่งตัวจำเลยไปกักกันมีกำหนด 3 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนดังนี้ แม้คู่ความจะฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ ก็ดีแต่เมื่อจำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายขึ้นมาศาลฎีกาแล้วและศาลฎีกาเห็นในข้อกฎหมายตามศาลอุทธรณ์ก็ตามศาลฎีกาก็ย่อมมีอำนาจพิพากษาให้งดส่งตัวจำเลยไปกักกันเสียได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1455/2496

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์โทษจำคุกและผลของการไม่รอการลงอาญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน ให้รอการลงอาญาไว้ภายใน 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำคุก 1 ปี 6 เดือนโดยไม่รอการลงอาญา ดังนี้ เป็นการแก้มากคู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1455/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขโทษจำคุกจากรอการลงอาญาเป็นไม่รอการลงอาญาโดยศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก จำเลยไว้มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน ในรอการลงอาญาไว้ภายใน 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน โดยไม่รอการลงอาญา ดังนี้ เป็นการแก้มากคู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1001/2496

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงโทษจากทำร้ายร่างกายและการพิจารณาแก้ไขโทษของศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 256 จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี เพิ่มโทษ 1 ใน 3 เป็นโทษจำคุก 2 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 2 จำคุก 2 ปี 6 เดือน ลดฐานเป็นเด็ก 1 ใน 3 คงจำคุก 1 ปี 8 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 1 ผิดตามมาตรา 254จำคุก 15 วัน ปรับ 120 บาท เพิ่มโทษ 1 ใน 3 เป็นจำคุก 20 วัน ปรับ 160 บาทโทษจำให้ยกเสีย ส่วนจำเลยที่ 2 ผิดตามมาตรา 256 จำคุก 2 ปี ลดฐานเป็นเด็กกึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปี และให้รอการลงอาญาไว้ดังนี้ คดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์แก้ทั้งบทและทั้งกำหนดโทษ ถือว่าเป็นการแก้ไขมาก โจทก์ย่อมฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ และคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 แม้ศาลอุทธรณ์เพียงแต่แก้ไขกำหนดโทษเท่านั้น แต่ก็ให้รอการลงอาญาแก่จำเลยไว้ จึงเป็นการแก้ไขมาก ฎีกาในข้อเท็จจริงได้เช่นเดียวกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 571/2496

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขโทษอาญาโดยศาลอุทธรณ์และการฎีกาของโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปีตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 142-268,270 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า ผิดแต่เพียงมาตรา 268-270 เท่านั้นไม่ผิดมาตรา 142ด้วยและแก้โทษมาเป็นจำคุก 1 ปี และให้รอการลงอาญาไว้ ดังนี้ ถือว่าเป็นการแก้มาก ฎีกาข้อเท็จจริงได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2496

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์โทษจำคุกจากข้อหาเล่นการพนัน: ข้อจำกัดในการฎีกาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลย 150 บาทฐานเล่นการพนันป๊อกศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยเป็นเจ้ามือพิพากษาแก้ ให้จำคุก 2 เดือนปรับ 400 บาทดังนี้แม้จะเป็นการแก้ไขมาก โทษจำคุกจำเลยก็ยังไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกินพันบาทจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 472/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลสั่งห้ามประกอบการค้าตาม พ.ร.บ.สาธารณสุข: การวินิจฉัยข้อเท็จจริงและขอบเขตการฎีกา
พระราชบัญญัติสาธารณะสุขพ.ศ.2484 มาตรา 68 ให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งห้ามจำเลยมิให้ประกอบการค้านั้นต่อไป ซึ่งเป็นการให้อำนาจศาลใช้ดุลยพินิจวินิจฉัยตามเหตุการณ์แห่งคดี ถือว่าเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดตาม พระราชบัญญัติสาธารณะสุข พ.ศ.2484 มาตรา 7,8,68 ปรับ 100 บาท ส่วนคำขอให้ห้ามจำเลยประกอบการค้าทำเต้าหู้ต่อไปนั้น ไม่บังคับให้แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ห้ามจำเลยทำการค้าเต้าหู้ต่อไป ดังนี้ จำเลยจะฎีกาในข้อห้ามทำการค้าทำเต้าหู้ไม่ได้เพราะเป็นฎีกาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1907/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์: แผ่นดินเป็นผู้เสียหาย อัยการฟ้องได้และมีอำนาจเรียกคืนทรัพย์
ปลัดอำเภอรับมอบเงินในนามคณะกรมการอำเภอ จากจังหวัดแล้วยักยอกเสียนั้น ย่อมถือว่าแผ่นดินเป็นผู้เสียหายไม่จำเป็นต้องมีการร้องทุกข์ อัยการก็ฟ้องได้
ความผิดตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 131 นั้น เป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ อัยการโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 1 ปี 6 เดือนตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 131 แต่ให้ยกคำขอที่ขอให้คืนราคาทรัพย์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะให้คืนราคาทรัพย์ ดังนี้ จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
การที่พยานโจทก์บางคนยังไม่ได้ให้การชั้นสอบสวนแต่ได้มีการสอบสวนจำเลยและพยานอื่นแล้วนั้น เรียกไม่ได้ ว่ามิได้ มีการสอบสวนตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1907/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์: อัยการมีอำนาจฟ้องขอคืนทรัพย์ได้ แม้ไม่มีผู้ร้องทุกข์
ปลัดอำเภอรับมอบเงินในนามคณะกรรมการอำเภอ จากจังหวัดแล้วยักยอกเสียนั้น ย่อมถือว่าแผ่นดินเป็นผู้เสียหาย ไม่จำเป็นต้องมีการร้องทุกข์อัยการก็ฟ้องได้
ความผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 131 นั้น เป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ อัยการโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ได้ตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 43
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 1 ปี 6 เดือนตาม ก.ม. ลักษณะอาญามาตรา 131 แต่ให้ยกคำขอที่ขอให้คืนราคาทรัพย์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะให้คืนราคาทรัพย์ ดังนี้ จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
การที่พยานโจทก์บางคนยังไม่ได้ให้การชั้นสอบสวนจำเลยและพยานอื่นแล้วนั้น เรียกไม่ได้ว่ามิได้มีการสอบสวนตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 120

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1227/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจดุลยพินิจศาลในการริบของกลางคดีการพนัน: การพิจารณาตามข้อเท็จจริงและข้อจำกัดในการฎีกา
เครื่องมือที่ใช้ในการเล่นการพนันอันขัดต่อบทแห่ง พ.ร.บ.การพนันเป็นเพียงสิ่งที่ศาลจะใช้ดุลยพินิจให้ริบก็ได้ ไม่ริบก็ได้ ตามพ.ร.บ.การพนัน 2478 มาตรา 10 วรรค 2 และ ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 27 (2)
เมื่อศาลอุทธรณ์ได้ใช้ดุลยพินิจว่าไม่ควรริบปัญหาที่ว่าจะควรริบของกลางดังกล่าวหรือไม่ จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อคดีต้องห้ามไม่ให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแล้ว โจทก์จะฎีกาขอให้ริบไม่ได้
of 50