พบผลลัพธ์ทั้งหมด 567 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 105/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับช่วงสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้รับประกันภัย แม้กรมธรรม์จะไม่มีตราสำคัญ
ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ล. ได้เอาประกันภัยทางทะเลสำหรับความเสียหายอันเกิดแก่สินค้าที่สั่งซื้อจากต่างประเทศไว้ต่อโจทก์ จำเลยเป็นผู้รับทำการขนสินค้าดังกล่าวจากสิงคโปร์มากรุงเทพ ปรากฏว่าสินค้าดังกล่าวได้สูญหายไปบางส่วน โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ล. ไปแล้ว จึงรับช่วงสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยได้ แม้ในกรมธรรม์ประกันภัยระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ล. นั้นจะมิได้ประทับตามสำคัญของบริษัทโจทก์ก็ตาม ก็เป็นเรื่องระหว่างห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ล. กับโจทก์ซึ่งต่างก็ได้ปฏิบัติไปตามกรมธรรม์ประกันภัยที่ได้กันไว้โดยไม่มีข้อคัดค้านโต้เถียงเกี่ยวกับกรมธรรม์ประกันภัยแต่ประการใด จึงหาเป็นเหตุให้จำเลยพ้นความรับผิดไปได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 105/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับช่วงสิทธิฟ้องของบริษัทประกันภัยเมื่อชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว แม้กรมธรรม์จะขาดตราสำคัญ
ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ล. ได้เอาประกันภัยทางทะเลสำหรับความเสียหายอันเกิดแก่สินค้าที่สั่งซื้อจากต่างประเทศไว้ต่อโจทก์ จำเลยเป็นผู้รับทำการขนสินค้าดังกล่าวจากสิงคโปร์มากรุงเทพ ปรากฏว่าสินค้าดังกล่าวได้สูญหายไปบางส่วน โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ล. ไปแล้ว จึงรับช่วงสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยได้ แม้ในกรมธรรม์ประกันภัยระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคลล ล. นั้นจะมิได้ประทับตามสำคัญของบริษัทโจทก์ก็ตาม ก็เป็นเรื่องระหว่างห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลล. กับโจทก์ซึ่งต่างก็ได้ปฏิบัติไปตามกรมธรรม์ประกันภัยที่ได้กันไว้โดยไม่มีข้อคัดค้านโต้เถียงเกี่ยวกับกรมธรรม์ประกันภัยแต่ประการใดจึงหาเป็นเหตุให้จำเลยพ้นความรับผิดไปได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4063/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากเด็กต้องพิจารณาจากสถานการณ์และการดูแลเด็ก หากเป็นการสงเคราะห์ให้ที่อยู่กิน และไม่มีเจตนาพรากเด็กจากผู้ดูแลย่อมไม่ถือว่าเป็นการพรากเด็ก
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพรากเด็กไปจากบิดามารดาและ จ.ผู้ดูแลโดยไม่มีเหตุอันควร เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าเด็กพลัดมารดา การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการพรากเด็กจากบิดามารดา
ส่วน จ. ผู้ดูแลผู้ไปพบเด็ก มีอาชีพขับขี่รถสามล้อรับจ้าง อาศัยอยู่กับอาในกระท่อมหลังจวนผู้ว่าราชการจังหวัดบุตรภริยาอยู่ที่จังหวัดอื่นจ. มิได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือแจ้งให้บิดามารดาของเด็กทราบถึงการที่เด็กอยู่ในความดูแลของตน ทั้งความเป็นอยู่ของ จ.ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะรับเลี้ยงดูเด็กได้ การที่ จ.พาเด็กมาอยู่ด้วยจึงเป็นทำนองสงเคราะห์ให้ที่อยู่กินเท่านั้น ดังนั้น การที่ จ. มอบเด็กให้แก่จำเลยไป ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยพรากเด็กไปจาก จ. ผู้ดูแล
ส่วน จ. ผู้ดูแลผู้ไปพบเด็ก มีอาชีพขับขี่รถสามล้อรับจ้าง อาศัยอยู่กับอาในกระท่อมหลังจวนผู้ว่าราชการจังหวัดบุตรภริยาอยู่ที่จังหวัดอื่นจ. มิได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือแจ้งให้บิดามารดาของเด็กทราบถึงการที่เด็กอยู่ในความดูแลของตน ทั้งความเป็นอยู่ของ จ.ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะรับเลี้ยงดูเด็กได้ การที่ จ.พาเด็กมาอยู่ด้วยจึงเป็นทำนองสงเคราะห์ให้ที่อยู่กินเท่านั้น ดังนั้น การที่ จ. มอบเด็กให้แก่จำเลยไป ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยพรากเด็กไปจาก จ. ผู้ดูแล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3600/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความต้องมีรายละเอียดชัดเจน การตกลงแบบมีเงื่อนไขยังไม่ถือเป็นสัญญา
นายจ้างของคนขับรถที่ขับรถชนรถยนต์ของโจทก์เสียหายมีผู้ได้รับบาดเจ็บทำบันทึกยอมจะซ่อมรถยนต์ของโจทก์ให้ใช้การ ได้ดีอยู่ในสภาพเดิมกับยอมใช้ค่ารักษาพยาบาล ค่าทดแทนให้แก่ ผู้บาดเจ็บเมื่อบริษัทประกันภัยได้พิจารณาแล้ว ไม่มีรายละเอียด หรือ ข้อตกลงที่แน่นอนอันปราศจากการโต้แย้งเป็นต้นว่าซ่อมที่อู่ไหน สภาพอย่างไรที่เรียกว่าใช้การได้ดีอยู่ในสภาพเดิม จำนวนเงินที่ จะต้องชำระ เป็นต้น โดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาลและค่าทดแทนของ ผู้บาดเจ็บเป็นข้อตกลงที่มีเงื่อนไข ต้องให้บริษัทประกันภัยพิจารณาเสียก่อน ซึ่งบริษัทประกันภัยอาจมีความเห็นว่าไม่ต้องรับผิดก็ได้ จึงไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3443/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขข้อบกพร่องความสามารถในการฟ้องคดี ไม่ใช่การแก้ไขคำฟ้อง อยู่ภายใต้มาตรา 56 ป.วิ.พ.
การแก้ไขข้อบกพร่องในเรื่องความสามารถไม่ใช่แก้ไขคำฟ้องจึงไม่อยู่ในบังคับของ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 179,180 แต่อยู่ภายใต้บังคับของ มาตรา 56 คือศาล อาจสั่งให้แก้ไขเสียให้บริบูรณ์ก่อนมีคำพิพากษา สามีโจทก์ยื่นคำแถลงต่อศาลขอให้ความยินยอม และให้สัตยาบันการที่โจทก์ ได้ดำเนินคดีมาแต่ต้น โดยยื่นก่อนเริ่มลงมือสืบพยาน ถือว่า เป็นการแก้ไขข้อบกพร่องในเรื่องความสามารถถูกต้องแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3344/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของบิดามารดาต่อการละเมิดของบุตรผู้เยาว์ และการใช้ข้อเท็จจริงในคดีอาญาในคดีแพ่ง
อัยการได้ฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นคดีอาญา ซึ่งถือว่าฟ้องแทนโจทก์คดีนี้ จึงต้องฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาผูกพันจำเลยที่ 3 ว่าจำเลยที่ 3 ขับขี่รถจักรยานยนต์เข้าทางโค้งโดยไม่ลดความเร็วลงเป็นเหตุให้ชนผู้ตาย ซึ่งเดินอยู่ริมถนนด้านซ้ายมือของจำเลยถึงแก่ความตาย
จำเลยที่ 3 ขับขี่รถจักรยานยนต์เป็นมานานพอสมควรแล้วแต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กลับยืนยันว่าไม่เคยทราบว่าจำเลยที่ 3 ขับขี่รถจักรยานยนต์เป็นมาก่อนเลย แสดงว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้ใช้ความระมัดระวังดูแลจำเลยที่ 3 ตามสมควรแก่หน้าที่ของบิดามารดาพึงดูแลบุตรผู้เยาว์ จึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 3 กระทำไปตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 429
จำเลยที่ 3 ขับขี่รถจักรยานยนต์เป็นมานานพอสมควรแล้วแต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กลับยืนยันว่าไม่เคยทราบว่าจำเลยที่ 3 ขับขี่รถจักรยานยนต์เป็นมาก่อนเลย แสดงว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้ใช้ความระมัดระวังดูแลจำเลยที่ 3 ตามสมควรแก่หน้าที่ของบิดามารดาพึงดูแลบุตรผู้เยาว์ จึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 3 กระทำไปตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 429
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3247/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารขอรังวัดที่ดิน ไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ เหตุไม่ระงับข้อพิพาท
เอกสารมีข้อความว่า โจทก์จำเลยต่างแสดงความประสงค์ จะขอให้ช่างแผนที่ของสำนักงานที่ดินออกไปรังวัดที่ดินของตนเพื่อให้ทราบเขตที่แน่นอนของโจทก์และจำเลยแต่ละฝ่ายดังนี้ ไม่มีลักษณะที่จะระงับข้อพิพาทของคู่กรณีโดยต่างฝ่ายยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3247/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารขอรังวัดที่ดิน ไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ เหตุผลคือไม่มีการยอมผ่อนผันเพื่อระงับข้อพิพาท
เอกสารมีข้อความว่า โจทก์จำเลยต่างแสดงความประสงค์ จะขอให้ช่างแผนที่ของสำนักงานที่ดินออกไปรังวัดที่ดินของตนเพื่อให้ทราบเขตที่แน่นอนของโจทก์และจำเลยแต่ละฝ่ายดังนี้ ไม่มีลักษณะที่จะระงับข้อพิพาทของคู่กรณีโดยต่างฝ่ายยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2971/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเบิกความเท็จต่อศาล: การครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 177 และการไม่ต้องรอคำพิพากษาในคดีที่เบิกความ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเบิกความเท็จในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 58/2521 ของศาลจังหวัดเพชรบุรีว่า ที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ ความจริงจำเลยรู้ว่าที่พิพาทในคดีนั้นไม่ใช่ที่สาธารณะ ซึ่งถ้าศาลเชื่อตามที่จำเลยเบิกความในคดีนั้นแล้ว โจทก์จะเป็นผู้แพ้ ในคดีดังกล่าว ซึ่งเป็นข้อสำคัญในคดีดังกล่าว ดังนี้ พอเข้าใจ ได้ว่าคำเบิกความเท็จของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดีคือทำให้โจทก์แพ้ในคดีนั้นฟ้องโจทก์จึงครบองค์ประกอบความผิด มาตรา 177 แห่งประมวลกฎหมายอาญาแล้ว
การฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยเบิกความเท็จหาจำต้องรอให้ศาลพิพากษาคดีที่จำเลยเบิกความเท็จเสียก่อนไม่ เพราะความผิดเกิดตั้งแต่จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาลในคดีนั้นแล้ว
การฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยเบิกความเท็จหาจำต้องรอให้ศาลพิพากษาคดีที่จำเลยเบิกความเท็จเสียก่อนไม่ เพราะความผิดเกิดตั้งแต่จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาลในคดีนั้นแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2850/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดูแลควบคุมบุตร การใช้รถผิดประเภท และความรับผิดในความเสียหาย
จำเลยที่ 1 อายุ 17 ปี อยู่ในความปกครองของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดา จำเลยที่ 1 ขับรถแทรกเตอร์ของโจทก์เข้าไปดับไฟซึ่งลุกไหม้ที่ไร่อ้อยเป็นเหตุให้รถแทรกเตอร์ของโจทก์ถูกไฟไหม้เสียหาย แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 เคยเห็นจำเลยที่ 1 ขับรถแทรกเตอร์ของโจทก์มาก่อนและมิได้ว่ากล่าวห้ามปรามก็ตามการขับรถแทรกเตอร์ของจำเลยที่ 1 ที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 รู้เห็นและมิได้ห้ามปรามนั้นเป็นการขับรถแทรกเตอร์ตามปกติแต่การกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้เป็นการขับรถแทรกเตอร์ของโจทก์เข้าไปดับไฟ โดยรถแทรกเตอร์ของโจทก์มิได้มีไว้เพื่อใช้ในการดับไฟ เป็นการใช้รถแทรกเตอร์ของโจทก์ผิดจากปกติ หาใช่การขับรถที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 มิได้ว่ากล่าวห้ามปรามไม่ ทั้งขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ที่ 3 อยู่ห่างจากที่เกิดเหตุถึง 1 กิโลเมตรเศษย่อมไม่อาจห้ามปรามมิให้จำเลยที่ 1 ขับรถเข้าไปดับไฟได้ และการที่ไฟไหม้ไร่อ้อยเป็นเหตุเกิดขึ้นโดยปัจจุบัน จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่อาจคาดหมายและกำชับล่วงหน้ามิให้จำเลยที่ 1 ขับรถเข้าไปดับไฟ ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ต้องรับผิดในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1