คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พยนต์ ยาวะประภาษ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 564 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2693/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้สิทธิฟ้องล้มละลาย แม้รู้ว่ามีคดีอื่นอยู่แล้ว ไม่ถือเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะเกิดเสียหายแก่บุคคลอื่น เป็นการมิชอบด้วยกฎหมายดังที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 421 นั้น หมายถึงเป็นการแกล้งโดยผู้กระทำมุ่งต่อผล คือความเสียหายแก่ผู้อื่นฝ่ายเดียว (อ้างฎีกาที่ 1618/2512)
การที่จำเลยฟ้องลูกหนี้เป็นคดีล้มละลายตามที่พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 บัญญัติให้สิทธิไว้ แม้จำเลยได้กระทำไปโดยรู้อยู่ว่าโจทก์ได้ยื่นฟ้องไว้ก่อนแล้วก็หาใช่เป็นการกระทำโดยผิดกฎหมายหรือแกล้งใช้สิทธิอันมิชอบด้วยกฎหมายต่อโจทก์อย่างใดไม่การฟ้องคดีล้มละลายก็เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทุกคนไม่ว่าเจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดเป็นโจทก์ผลก็ไม่แตกต่างกัน เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้วเจ้าหนี้ทุกคนต่างก็มีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ตามสิทธิที่ตนมีอยู่อย่างเท่าเทียมกัน หากโจทก์เห็นว่าการโอนทรัพย์สินของลูกหนี้เป็นการกระทำไปโดยไม่สุจริตและอาจขอให้เพิกถอนได้แล้วโจทก์ก็ชอบที่จะขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายมาตรา 113,114 หรือมาตรา 115 ส่วนเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะดำเนินการให้ได้เพียงใดหรือไม่ก็ย่อมแล้วแต่ข้อเท็จจริง หาใช่เกี่ยวกับการที่โจทก์หรือจำเลยฝ่ายใดเป็นฝ่ายฟ้องคดีล้มละลายนั้นไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2693/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้สิทธิฟ้องคดีล้มละลาย แม้รู้อยู่ก่อนว่ามีคดีอื่นอยู่แล้ว ไม่ถือเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะเกิดเสียหายแก่บุคคลอื่น เป็นการมิชอบด้วยกฎหมายดังที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 421 นั้น หมายถึงเป็นการแกล้งโดยผู้กระทำมุ่งต่อผลคือความเสียหายแก่ผู้อื่นฝ่ายเดียว (อ้างฎีกาที่ 1618/2512)
การที่จำเลยฟ้องลูกหนี้เป็นคดีล้มละลายตามที่พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 บัญญัติให้สิทธิไว้ แม้จำเลยได้กระทำไปโดยรู้อยู่ว่าโจทก์ได้ยื่นฟ้องไว้ก่อนแล้วก็หาใช่เป็นการกระทำโดยผิดกฎหมายหรือแกล้งใช้สิทธิอันมิชอบด้วยกฎหมายต่อโจทก์อย่างใดไม่การฟ้องคดีล้มละลายก็เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทุกคนไม่ว่าเจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดเป็นโจทก์ผลก็ไม่แตกต่างกัน เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้วเจ้าหนี้ทุกคนต่างก็มีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ตามสิทธิที่ตนมีอยู่อย่างเท่าเทียมกัน หากโจทก์เห็นว่าการโอนทรัพย์สินของลูกหนี้เป็นการกระทำไปโดยไม่สุจริตและอาจขอให้เพิกถอนได้แล้วโจทก์ก็ชอบที่จะขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายมาตรา 113, 114 หรือมาตรา 115 ส่วนเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะดำเนินการให้ได้เพียงใดหรือไม่ก็ย่อมแล้วแต่ข้อเท็จจริง หาใช่เกี่ยวกับการที่โจทก์หรือจำเลยฝ่ายใดเป็นฝ่ายฟ้องคดีล้มละลายนั้นไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2560/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษี: ผู้ผลิตสบู่และแปรงสีฟัน การหักยอดขายสินค้าคืนจากลูกค้าเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีซ้ำ
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ในข้อ 1 ว่า โจทก์เป็นผู้ผลิตสบู่หอมเชอร์ลักค์หรือไม่ ก่อนสืบพยานจำเลยแถลงยอมรับว่าบริษัท ก. ได้เสียภาษีการค้าในฐานะผู้ผลิตสบู่เชอร์ลักค์ไว้แล้ว คำแถลงดังกล่าวจำเลยหาได้แถลงรับว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ผลิตสบู่หอมเชอร์ลักค์แต่อย่างใดไม่ คดียังคงมีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นผู้ผลิตสบู่หอมเชอร์ลักค์หรือไม่ ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์นำข้อเท็จจริงจากการนำสืบของโจทก์จำเลยขึ้นมาวินิจฉัยจึงหาเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใดไม่
บริษัทผู้ผลิตสินค้าสบู่และแปรงสีฟันขายให้โจทก์ได้เสียภาษีการค้าในฐานะผู้ผลิตให้แก่จำเลยที่ 1 ไว้แล้วการที่โจทก์ให้ผู้ขายประทับตราเครื่องหมายการค้าของโจทก์ก็ดี การที่โจทก์เป็นผู้จัดหากระดาษและกล่องใส่ตัววัตถุสินค้าให้แก่ผู้ขายก็ดี ตลอดจนมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายจะผลิตออกจำหน่ายให้แก่ผู้อื่นไม่ได้ก็ดี เงื่อนไขเหล่านี้คู่สัญญาย่อมอาจจะตกลงกำหนดเป็นข้อสัญญาบังคับกันตามพาณิชโยบายของทั้งสองฝ่ายได้ ทั้งตัววัตถุสินค้าที่ซื้อ โจทก์จะนำมาบรรจุห่อหรือมอบให้ผู้ขายบรรจุห่อก็ย่อมทำได้ ตัววัตถุสินค้าสบู่และแปรงสีฟันที่โจทก์ซื้อก็ยังคงเป็นสบู่และแปรงสีฟันอย่างเดิม มิได้แปรสภาพเป็นสินค้าชนิดใหม่ กรณีเช่นนี้หาเข้าลักษณะเป็นการ"ผลิต" หรือเป็น "ผู้ผลิต" ตามคำนิยามในมาตรา 77 แห่งประมวลรัษฎากรไม่
โจทก์ได้เสียภาษีการค้าในฐานะผู้ผลิตในการขายครั้งแรกแล้ว เมื่อโจทก์รับสินค้าคืนจากลูกค้าแล้วขายสินค้านั้นไปใหม่ โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าในฐานะผู้ผลิตสินค้าที่รับคืนนั้นเป็นการซ้ำอีก การที่โจทก์ขายสินค้าที่รับคืนไปใหม่แล้วนำไปหักออกจากยอดรวมในการจำหน่ายสินค้าทั้งหมดของเดือนนั้น เพื่อแยกเป็นยอดรายรับจากการขายสินค้าเฉพาะที่ได้รับคืนกับยอดรายรับที่ต้องเสียภาษีการค้าของเดือนภาษีนั้น ก็เพื่อไม่ต้องเสียภาษีการค้าในฐานะผู้ผลิตเป็นการซ้ำอีก หาเป็นการไม่ชอบและต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 79 จัตวา (3) ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2560/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตีความ 'ผู้ผลิต' ภายใต้ประมวลรัษฎากร กรณีการประทับตราและการรับคืนสินค้า
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ในข้อ 1 ว่า โจทก์เป็นผู้ผลิตสบู่หอมเชอร์ลักค์หรือไม่ ก่อนสืบพยานจำเลยแถลงยอมรับว่าบริษัท ก. ได้เสียภาษีการค้าในฐานะผู้ผลิตสบู่เชอร์ลักค์ไว้แล้ว คำแถลงดังกล่าวจำเลยหาได้แถลงรับว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ผลิตสบู่หอมเชอร์ลักค์แต่อย่างใดไม่ คดียังคงมีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นผู้ผลิตสบู่หอมเชอร์ลักค์หรือไม่ ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์นำข้อเท็จจริงจากการนำสืบของโจทก์จำเลยขึ้นมาวินิจฉัยจึงหาเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใดไม่
บริษัทผู้ผลิตสินค้าสบู่และแปรงสีฟันขายให้โจทก์ได้เสียภาษีการค้าในฐานะผู้ผลิตให้แก่จำเลยที่ 1 ไว้แล้วการที่โจทก์ให้ผู้ขายประทับตราเครื่องหมายการค้าของโจทก์ก็ดี การที่โจทก์เป็นผู้จัดหากระดาษและกล่องใส่ตัววัตถุสินค้าให้แก่ผู้ขายก็ดี ตลอดจนมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายจะผลิตออกจำหน่ายให้แก่ผู้อื่นไม่ได้ก็ดี เงื่อนไขเหล่านี้คู่สัญญาย่อมอาจจะตกลงกำหนดเป็นข้อสัญญาบังคับกันตามพาณิชโยบายของทั้งสองฝ่ายได้ ทั้งตัววัตถุสินค้าที่ซื้อ โจทก์จะนำมาบรรจุห่อหรือมอบให้ผู้ขายบรรจุห่อก็ย่อมทำได้ ตัววัตถุสินค้าสบู่และแปรงสีฟันที่โจทก์ซื้อก็ยังคงเป็นสบู่และแปรงสีฟันอย่างเดิม มิได้แปรสภาพเป็นสินค้าชนิดใหม่ กรณีเช่นนี้หาเข้าลักษณะเป็นการ'ผลิต' หรือเป็น 'ผู้ผลิต' ตามคำนิยามในมาตรา 77 แห่งประมวลรัษฎากรไม่
โจทก์ได้เสียภาษีการค้าในฐานะผู้ผลิตในการขายครั้งแรกแล้ว เมื่อโจทก์รับสินค้าคืนจากลูกค้าแล้วขายสินค้านั้นไปใหม่ โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าในฐานะผู้ผลิตสินค้าที่รับคืนนั้นเป็นการซ้ำอีก การที่โจทก์ขายสินค้าที่รับคืนไปใหม่แล้วนำไปหักออกจากยอดรวมในการจำหน่ายสินค้าทั้งหมดของเดือนนั้น เพื่อแยกเป็นยอดรายรับจากการขายสินค้าเฉพาะที่ได้รับคืนกับยอดรายรับที่ต้องเสียภาษีการค้าของเดือนภาษีนั้น ก็เพื่อไม่ต้องเสียภาษีการค้าในฐานะผู้ผลิตเป็นการซ้ำอีก หาเป็นการไม่ชอบและต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 79 จัตวา (3) ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2553/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของฟ้อง: รายละเอียดฐานะโจทก์และหลักฐานประกอบไม่จำเป็นต้องระบุในฟ้องทั้งหมด
การบรรยายฟ้องของโจทก์แม้จะไม่มีข้อความที่บรรยายถึงการเป็นนิติบุคคลของโจทก์และไม่ได้แนบหลักฐานใดที่แสดงถึงการเป็นนิติบุคคลของโจทก์และความเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการมาในฟ้องก็ตาม ก็หาทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไม่ เพราะเป็นรายละเอียดที่โจทก์ย่อมนำสืบแสดงฐานะของโจทก์ในชั้นพิจารณาได้ ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อพ.ศ.2521 จำเลยได้ซื้อผ้าไปจากโจทก์ 19 คราวรวมเป็นเงิน 112,714 บาท แต่ทำหลักฐานเป็นใบรับฝากสินค้าไว้และผ้านั้นจำเลยได้ขายไปหมดแล้ว หลักฐานจะได้ส่งศาลในวันพิจารณานั้นเป็นฟ้องที่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว แม้โจทก์มิได้แนบสำเนาใบรับฝากสินค้ามาพร้อมกับคำฟ้องและมิได้บรรยายรายละเอียดว่าที่จำเลยซื้อผ้าจากโจทก์ 19 คราว เป็นการซื้อขายในคราวไหน เดือนใดก็ตามก็หาทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไม่ เพราะเป็นรายละเอียดที่โจทก์ย่อมนำสืบแสดงได้ในชั้นพิจารณา
โจทก์มิได้ส่งสำเนาเอกสารให้จำเลยก่อนวันสืบพยานโจทก์เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 90 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งถ้าศาลเห็นว่าเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจรับฟังเอกสารดังกล่าวนั้นได้ตามบทบัญญัติของมาตรา 87(2) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2552/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระการพิสูจน์เช็คเพื่อชำระหนี้การพนัน ผู้สั่งจ่ายต้องพิสูจน์ หากพิสูจน์ไม่ได้ต้องรับผิดตามเช็ค
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คซึ่งจำเลยสั่งจ่ายให้โจทก์เพื่อชำระหนี้เงินยืม จำเลยรับว่าได้ออกเช็คดังกล่าวจริง ในเบื้องต้นต้องถือว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยย่อมต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คการที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าเช็คที่จำเลยออกให้โจทก์นั้นเพื่อชำระหนี้การพนัน เป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อจะไม่ต้องรับผิดในเช็คดังกล่าว ภาระการพิสูจน์หรือหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นจึงตกอยู่แก่จำเลย เมื่อจำเลยนำสืบรับฟังไม่ได้ว่าเช็คที่จำเลยออกให้โจทก์เป็นการชำระหนี้การพนัน แม้โจทก์จะมิได้สืบพยาน จำเลยก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 และ มาตรา 904
คดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้องเป็นคดีที่จำเลยถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คส่วนคดีแพ่งโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดใช้เงินตามเช็คอันเป็นสิทธิเรียกร้อง โดยไม่ต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค จึงไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าว จะนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 มาใช้ บังคับไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2457/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้แผ่นป้ายทะเบียนปลอมเพื่อหลีกเลี่ยงการยึดรถจากผู้ให้เช่าซื้อ มีความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอม
จำเลยนำแผ่นป้ายทะเบียนรถคันอื่นไปติดไว้ที่รถจักรยานยนต์คันที่จำเลยครอบครอง และใช้ขับขี่แทนแผ่นป้ายทะเบียนรถเดิม อันมีหมายเลขทะเบียนไม่ตรงกัน มีความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2339/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นข้อพิพาทต้องชัดเจน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นใหม่ที่ไม่ได้ยกขึ้นในชั้นชี้สองสถาน แม้ศาลชั้นต้น/อุทธรณ์วินิจฉัย
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ จำเลยให้การว่าโจทก์ได้ทำสัญญาประนอมหนี้โดยยอมยกเลิกหนี้เดิมให้จำเลย คงเหลือเพียงจำนวนน้อยกว่าเดิม. และจำเลยได้ชำระให้โจทก์แล้วในการชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยจะต้องรับผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ เมื่อโจทก์มิได้แถลงให้ศาลจดเป็นประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ถูกเจ้าหน้าที่ก.ต.ป. บังคับขู่เข็ญให้จำต้องทำสัญญาประนอมหนี้ดังกล่าวคดีจึงไม่มีประเด็นในเรื่องนี้ แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยก็เป็นการนอกประเด็นข้อพิพาท ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2339/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นข้อพิพาทต้องกำหนดในชั้นชี้สองสถาน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นนอกเหนือจากที่กำหนด
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ จำเลยให้การว่าโจทก์ได้ทำสัญญาประนอมหนี้โดยยอมยกเลิกหนี้เดิมให้จำเลย คงเหลือเพียงจำนวนน้อยกว่าเดิม. และจำเลยได้ชำระให้โจทก์แล้วในการชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยจะต้องรับผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ เมื่อโจทก์มิได้แถลงให้ศาลจดเป็นประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ถูกเจ้าหน้าที่ก.ต.ป.บังคับขู่เข็ญให้จำต้องทำสัญญาประนอมหนี้ดังกล่าวคดีจึงไม่มีประเด็นในเรื่องนี้ แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยก็เป็นการนอกประเด็นข้อพิพาท ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2272/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดในสัญญาจ้างตัดไม้: การชำระหนี้เป็นพ้นวิสัย และสิทธิในการฟ้องคดีโดยตรง
องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้โจทก์ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ตัดฟันชักลากไม้ออกจากป่า จำเลยที่ 1 จะยกเอาเหตุที่บริษัท ศ. ซึ่งได้รับอนุญาตให้ขยายเขตสัมปทานทับที่ ไม่ยอมให้จำเลยเข้าไปชักลากไม้มาเป็นข้ออ้างว่าการชำระหนี้ตามสัญญาที่มีต่อโจทก์กลายเป็นพ้นวิสัย ซึ่งจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดชอบหาได้ไม่ เป็นหน้าที่จำเลยต้องดำเนินการให้ระงับการกระทำที่ไม่ชอบซึ่งอยู่ในวิสัยจำเลยกระทำได้
เมื่อจำเลยที่ 1 กระทำผิดสัญญาขึ้นแล้ว โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายย่อมมีสิทธิที่จะนำคดีมาฟ้องได้ และตามสัญญาก็มิได้บังคับว่าจะต้องให้ประธานกรรมการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้พิจารณาเสียก่อนจึงจะฟ้องร้องกันได้
of 57