พบผลลัพธ์ทั้งหมด 238 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2707/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานลักทรัพย์ รับของโจร และปลอมแปลงเอกสารสิทธิ์ ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานรับของโจร มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานลักทรัพย์ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 จำคุก 1 ปี คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2517 มาตรา 6 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่เก็บเงินและได้ออกจากงานไปแล้วก่อนเกิดเหตุ ได้ไปเรียกเก็บเงินค่าหนังสือพิมพ์จากลูกค้าของผู้เสียหายโดยจำเลยที่ 1 กรอกข้อความในใบเสร็จรับเงิน และลงชื่อเป็นผู้รับเงิน ลูกค้าของผู้เสียหายหลงเชื่อจึงมอบเงินให้ไป เป็นการกระทำที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ลูกค้าและผู้เสียหาย เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ์ เพราะใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐานแห่งการระงับซึ่งสิทธิ์ และเมื่อจำเลยที่ 1 ใช้เอกสารสิทธิ์ปลอมดังกล่าวโดยมอบให้แก่ลูกค้าของผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิ์ปลอมด้วย
จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่เก็บเงินและได้ออกจากงานไปแล้วก่อนเกิดเหตุ ได้ไปเรียกเก็บเงินค่าหนังสือพิมพ์จากลูกค้าของผู้เสียหายโดยจำเลยที่ 1 กรอกข้อความในใบเสร็จรับเงิน และลงชื่อเป็นผู้รับเงิน ลูกค้าของผู้เสียหายหลงเชื่อจึงมอบเงินให้ไป เป็นการกระทำที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ลูกค้าและผู้เสียหาย เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ์ เพราะใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐานแห่งการระงับซึ่งสิทธิ์ และเมื่อจำเลยที่ 1 ใช้เอกสารสิทธิ์ปลอมดังกล่าวโดยมอบให้แก่ลูกค้าของผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิ์ปลอมด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2627/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโต้แย้งกรรมสิทธิ์ที่ดินสาธารณประโยชน์และการห้ามฎีกาข้อเท็จจริงในคดีที่มีทุนทรัพย์น้อย
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์ที่จำเลยเช่าและให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างกับค่าเสียหายรวมเป็นเงิน19,200 บาท จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะโจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง จำเลยครอบครองที่พิพาทมาเกิน 1 ปี โจทก์เรียกค่าเสียหายมากเกินไป ดังนี้ จำเลยมิได้ให้การกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ และมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาที่ก่อให้เกิดสิทธิบนอสังหาริมทรัพย์นั้น ศาลชั้นต้นฟังว่าที่พิพาทไม่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พิพากษาขับไล่จำเลยและให้ชำระค่าเช่าที่ค้าง 2,000 บาท กับค่าเสียหาย 13,342.90 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะค่าเช่าที่ค้างกับค่าเสียหายให้จำเลยชำระรวมเป็นเงิน 8,522.21 บาทเป็นการแก้ไขเล็กน้อย คดีนี้ทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท และที่พิพาทในขณะยื่นคำฟ้องมีอัตราค่าเช่าไม่เกินเดือนละห้าพันบาท ต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 6) พ.ศ.2518 มาตรา 6
จำเลยฎีกาว่า ได้มีการแจ้งการครอบครองที่พิพาทเมื่อพ.ศ.2498 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังประกาศใช้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินอำเภอเมืองสมุทรปราการและอำเภอเมืองสมุทรสาครฯ พุทธศักราช 2481 ที่พิพาทเดิมจึงเป็นที่รกร้างว่างเปล่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามพระราชกฤษฎีกาการแจ้งการครอบครอง ไม่มีผลทำให้ที่พิพาทเป็นที่มีเจ้าของ และจำเลยนำสืบฟังได้ว่าที่พิพาทน้ำทะเลท่วมถึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ดังนี้ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงว่า ตามที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่มีการครอบครองมาก่อนพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับหากแต่ฟังได้ว่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังจำเลยนำสืบจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาว่า ได้มีการแจ้งการครอบครองที่พิพาทเมื่อพ.ศ.2498 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังประกาศใช้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินอำเภอเมืองสมุทรปราการและอำเภอเมืองสมุทรสาครฯ พุทธศักราช 2481 ที่พิพาทเดิมจึงเป็นที่รกร้างว่างเปล่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามพระราชกฤษฎีกาการแจ้งการครอบครอง ไม่มีผลทำให้ที่พิพาทเป็นที่มีเจ้าของ และจำเลยนำสืบฟังได้ว่าที่พิพาทน้ำทะเลท่วมถึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ดังนี้ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงว่า ตามที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่มีการครอบครองมาก่อนพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับหากแต่ฟังได้ว่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังจำเลยนำสืบจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2494-2495/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการขอแก้ไขคำสั่งศาล: ผู้ไม่เป็นคู่ความในคดี ไม่มีสิทธิขอแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อย
ช. กับพวกร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าการเลือกตั้งได้กระทำไปโดยชอบแล้ว เว้นแต่ผู้สมัครซึ่งได้รับเลือกตั้งอันดับที่ 18 นั้นได้รับเลือกตั้งโดยมิชอบ คดีถึงที่สุด อ. ยื่นคำร้องว่าตนเองเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งด้วย ขอให้แก้ไขคำสั่งที่ผิดพลาดเล็กน้อยในคดีนี้ และสั่งเลื่อนอันดับของ อ.ผู้ร้องเป็นอันดับที่18ดังนี้เมื่ออ. ผู้ร้องมิได้เป็นผู้ยื่นคำร้องคัดค้านหรือถูกคัดค้านการเลือกตั้ง จึงมิใช่คู่ความในคดี ไม่มีสิทธิที่จะร้องขอให้แก้ไขข้อผิดพลาดหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยในคำสั่งของศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2464/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
มรดกตกทอดและการครอบครองร่วมกัน ศาลฎีกาพิพากษาให้แบ่งทรัพย์สินมรดกเป็นส่วน ๆ
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินเป็นของโจทก์โดยได้รับยกให้และครอบครองมาขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองและขับไล่จำเลย ทางพิจารณาฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นมรดกตกได้แก่โจทก์และจำเลยซึ่งเป็นทายาทและได้ครอบครองร่วมกันมา ศาลย่อมพิพากษาให้แบ่งที่พิพาทให้โจทก์และจำเลยตามส่วนที่มีสิทธิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2464/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
มรดกตกทอดและการครอบครองร่วมกัน ศาลฎีกาพิพากษาให้แบ่งมรดกเป็นส่วน ๆ
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินเป็นของโจทก์โดยได้รับยกให้และครอบครองมา ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิ์ครอบครองและขับไล่จำเลย ทางพิจารณาฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นมรดกตกได้แก่โจทก์และจำเลยซึ่งเป็นทายาทและได้ครอบครองร่วมกันมา ศาลย่อมพิพากษาให้แบ่งที่พิพาทให้โจทก์และจำเลยตามส่วนที่มีสิทธิ์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2305/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทุจริตและความรับผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 158
แม้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 158 จะไม่ได้บัญญัติว่ามีเจตนาทุจริตจึงจะเป็นความผิด แต่ผู้กระทำจะมีความผิดตามมาตรานี้ได้ต่อเมื่อมีเจตนากระทำ
จำเลยเป็นพนักงานสอบสวนผู้เก็บรักษาเช็คและใบคืนเช็คซึ่งจะต้องคืนให้โจทก์ เช็คและใบคืนเช็คนั้นสูญหายไปโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยมีเจตนาทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้นเอาไปเสีย หรือทำให้สูญหาย หรือยอมให้ผู้อื่นกระทำเช่นนั้น ดังนี้ จะลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 158 ไม่ได้
จำเลยเป็นพนักงานสอบสวนผู้เก็บรักษาเช็คและใบคืนเช็คซึ่งจะต้องคืนให้โจทก์ เช็คและใบคืนเช็คนั้นสูญหายไปโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยมีเจตนาทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้นเอาไปเสีย หรือทำให้สูญหาย หรือยอมให้ผู้อื่นกระทำเช่นนั้น ดังนี้ จะลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 158 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2257/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนผู้จัดการมรดกจากความไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย แม้ศาลขยายเวลาให้แล้ว
ผู้จัดการมรดกแถลงรับว่าไม่ได้จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกภายในกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1728,1729แต่อ้างว่าเป็นคนจีนต้องให้ทนายความทำแทนซึ่งไม่เป็นเหตุผลอันสมควรเพราะล่วงเลยเวลามาถึง 8 เดือนแล้วและเมื่อศาลขยายเวลาให้อีก 1 เดือน ผู้จัดการมรดกก็ยังละเลยไม่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกเช่นเดิมโดยอ้างว่าผู้คัดค้านไปร้องคัดค้านในการที่ผู้จัดการมรดกจะขายที่ดินมรดก ซึ่งก็ไม่เป็นเหตุที่ทำให้ผู้จัดการมรดกไม่สามารถยื่นบัญชีทรัพย์ได้พฤติการณ์ที่ปรากฏจากคำแถลงรับของผู้จัดการมรดกดังกล่าวข้างต้นเป็นการแสดงออกถึงความไม่สามารถอันเห็นประจักษ์ศาลมีอำนาจถอนผู้จัดการมรดกเสียได้โดยไม่ต้องทำการไต่สวนสืบพยานอื่นอีกต่อไป
บัญชีทรัพย์มรดกที่ได้ยื่นไว้แล้วในวันยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกไม่ใช่บัญชีทรัพย์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1731 เพราะบัญชีทรัพย์มรดกตามมาตราดังกล่าว หมายถึงบัญชีทรัพย์มรดกซึ่งได้จัดทำขึ้นโดยผู้จัดการมรดกภายหลังที่ได้รับแต่งตั้งจากศาลแล้ว
การที่ผู้จัดการมรดกดำเนินการโอนขายที่ดินมรดกโดยยังไม่ได้ทำบัญชีทรัพย์มรดกไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1730, 1563 เพราะมิใช่เป็นการเร่งร้อนและจำเป็น
บัญชีทรัพย์มรดกที่ได้ยื่นไว้แล้วในวันยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกไม่ใช่บัญชีทรัพย์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1731 เพราะบัญชีทรัพย์มรดกตามมาตราดังกล่าว หมายถึงบัญชีทรัพย์มรดกซึ่งได้จัดทำขึ้นโดยผู้จัดการมรดกภายหลังที่ได้รับแต่งตั้งจากศาลแล้ว
การที่ผู้จัดการมรดกดำเนินการโอนขายที่ดินมรดกโดยยังไม่ได้ทำบัญชีทรัพย์มรดกไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1730, 1563 เพราะมิใช่เป็นการเร่งร้อนและจำเป็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2257/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนผู้จัดการมรดกจากกรณีละเลยหน้าที่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดก และการโอนขายทรัพย์สินโดยไม่ชอบ
ผู้จัดการมรดกแถลงรับว่าไม่ได้จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกภายในกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1728, 1729 แต่อ้างว่าเป็นคนจีนต้องให้ทนายความทำแทน ซึ่งไม่เป็นเหตุผลอันสมควรเพราะล่วงเลยเวลามาถึง 8 เดือนแล้ว และเมื่อศาลขยายเวลาให้อีก 1 เดือน ผู้จัดการมรดกก็ยังละเลยไม่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกเช่นเดิม โดยอ้างว่าผู้คัดค้านไปร้องคัดค้านในการที่ผู้จัดการมรดกจะขายที่ดินมรดก ซึ่งก็ไม่เป็นเหตุที่ทำให้ผู้จัดการมรดกไม่สามารถยื่นบัญชีทรัพย์ได้ พฤติการณ์ที่ปรากฏจากคำแถลงรับของผู้จัดการมรดกดังกล่าวข้างต้น เป็นการแสดงออกถึงความไม่สามารถอันเห็นประจักษ์ ศาลมีอำนาจถอนผู้จัดการมรดกเสียได้โดยไม่ต้องทำการไต่สวนสืบพยานอื่นอีกต่อไป
บัญชีทรัพย์มรดกที่ได้ยื่นไว้แล้วในวันยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกไม่ใช่บัญชีทรัพย์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1731 เพราะบัญชีทรัพย์มรดกตามมาตราดังกล่าว หมายถึงบัญชีทรัพย์มรดกซึ่งได้จัดทำขึ้นโดยผู้จัดการมรดกภายหลังที่ได้รับแต่งตั้งจากศาลแล้ว
การที่ผู้จัดการมรดกดำเนินการโอนขายที่ดินมรดกโดยยังไม่ได้ทำบัญชีทรัพย์มรดกไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1730, 1563 เพราะมิใช่เป็นการเร่งร้อนและจำเป็น
บัญชีทรัพย์มรดกที่ได้ยื่นไว้แล้วในวันยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกไม่ใช่บัญชีทรัพย์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1731 เพราะบัญชีทรัพย์มรดกตามมาตราดังกล่าว หมายถึงบัญชีทรัพย์มรดกซึ่งได้จัดทำขึ้นโดยผู้จัดการมรดกภายหลังที่ได้รับแต่งตั้งจากศาลแล้ว
การที่ผู้จัดการมรดกดำเนินการโอนขายที่ดินมรดกโดยยังไม่ได้ทำบัญชีทรัพย์มรดกไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1730, 1563 เพราะมิใช่เป็นการเร่งร้อนและจำเป็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2015/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพชั้นสอบสวนใช้ประกอบพยานแวดล้อมได้ แม้ไม่มีพยานเบิกความต่อศาลโดยตรง
คำให้การชั้นสอบสวนเป็นพยานบอกเล่า จะรับฟังดังคำพยานที่เบิกความต่อศาลไม่ได้ แต่อาจฟังว่าเคยให้การไว้เช่นนั้นเพื่อพิเคราะห์สอดส่องถึงข้อเท็จจริงอย่างเช่นเอกสารทางราชการที่ได้ทำขึ้นจากถ้อยคำของบุคคล(อ้างฎีกาที่ 51/2498)
คดีอาญาเรื่องปล้นทรัพย์ จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธชั้นศาล โจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายซึ่งเป็นประจักษ์พยานและพยานรายทางอื่นมาสืบ คงมีคำให้การชั้นสอบสวนที่จำเลยให้การรับสารภาพไว้โดยสมัครใจและนำชี้ที่เกิดเหตุให้ถ่ายภาพไว้กับมีตำรวจผู้จับและพนักงานสอบสวนมาสืบประกอบว่าได้จับกุมจำเลยทั้งสามได้ในที่แห่งเดียวกันและได้สร้อยคอของผู้เสียหายจากจำเลยที่ 2 ทั้งในชั้นสอบสวนผู้เสียหายได้ชี้ตัวจำเลยทั้งสามได้ถูกต้อง ดังนี้ ศาลรับฟังคำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสามประกอบพยานแวดล้อมดังกล่าวลงโทษจำเลยทั้งสามได้
คดีอาญาเรื่องปล้นทรัพย์ จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธชั้นศาล โจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายซึ่งเป็นประจักษ์พยานและพยานรายทางอื่นมาสืบ คงมีคำให้การชั้นสอบสวนที่จำเลยให้การรับสารภาพไว้โดยสมัครใจและนำชี้ที่เกิดเหตุให้ถ่ายภาพไว้กับมีตำรวจผู้จับและพนักงานสอบสวนมาสืบประกอบว่าได้จับกุมจำเลยทั้งสามได้ในที่แห่งเดียวกันและได้สร้อยคอของผู้เสียหายจากจำเลยที่ 2 ทั้งในชั้นสอบสวนผู้เสียหายได้ชี้ตัวจำเลยทั้งสามได้ถูกต้อง ดังนี้ ศาลรับฟังคำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสามประกอบพยานแวดล้อมดังกล่าวลงโทษจำเลยทั้งสามได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1995/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำโดยประมาทและชดใช้ค่าเสียหาย ไม่เพียงพอต่อการรอการลงโทษ
การที่จำเลยกระทำโดยมิได้คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตของผู้อื่นและต่อสู้คดีด้วยนั้น แม้จำเลยจะได้ชดใช้ค่าเสียหายให้ฝ่ายผู้ตายซึ่งจำเลยต้องรับผิดทางแพ่งอยู่แล้วและจำเลยไปมอบตัวต่อเจ้าพนักงานก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นก็ได้พิจารณาถึงเรื่องที่จำเลยชดใช้ค่าเสียหายประกอบในการกำหนดโทษโดยลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี ในสถานเบาอยู่แล้วศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้รอการลงโทษ ศาลฎีกาไม่รอ