คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
แถม ดุลยสุข

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 238 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 311/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางสัญญาหมั้น การผิดสัญญาและค่าทดแทนความเสียหาย
ชายผิดสัญญาหมั้น ฝ่ายชายคือตัวชาย บิดาและมารดาซึ่งไปหมั้นหญิงต้องร่วมกันใช้ค่าทดแทนความเสียหายต่อกาย โดยที่หญิงตกเป็นภริยาชายแม้ด้วยความสมัครใจ ความเสียหายต่อชื่อเสียงและที่ได้เตรียมการสมรส

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 287/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการกันเงินจากทรัพย์สินที่ได้มาจากการอยู่กินฉันสามีภรรยา กรณีลูกหนี้ผิดสัญญา
จำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลที่ทำไว้กับโจทก์ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินหนึ่งแปลงพร้อมเรือนหนึ่งหลังซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าว อ้างว่าเป็นของจำเลย ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลกันเงินที่ขายทอดตลาดที่ดิน และโรงเรือนดังกล่าวไว้จ่ายให้ผู้ร้องครึ่งหนึ่ง เพราะทรัพย์ดังกล่าวเป็นผู้ร้องและจำเลยรวมกันได้มาระหว่างอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยา ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องและจำเลยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยาและต่างก็มีรายได้ ที่ดินและเรือนพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องและจำเลยทำมาหาได้ร่วมกัน หนี้สินระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นเรื่องเฉพาะตัว ดังนี้ การที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยไปยืมเงินโจทก์มาใช้จ่ายในการดำรงชีพและนำมาซื้อที่ดินพร้อมทั้งปลูกเรือนพิพาท และผู้ร้องรู้เห็นในการกู้ยืมด้วย จึงเป็นการฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 6 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 287/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์สินร่วมจากหนี้ส่วนตัว: ศาลไม่รับฎีกาข้อเท็จจริง
จำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลที่ทำไว้กับโจทก์โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินหนึ่งแปลงพร้อมเรือนหนึ่งหลังซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าวอ้างว่าเป็นของจำเลยผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลกันเงินที่ขายทอดตลาดที่ดินและโรงเรือนดังกล่าวไว้จ่ายให้ผู้ร้องครึ่งหนึ่งเพราะทรัพย์ดังกล่าวเป็นของผู้ร้องและจำเลยรวมกันได้มาระหว่างอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยฟังข้อเท็จจริงว่าผู้ร้องและจำเลยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยาและต่างก็มีรายได้ที่ดินและเรือนพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องและจำเลยทำมาหาได้ร่วมกันหนี้สินระหว่างโจทก์จำเลยเป็นเรื่องเฉพาะตัวดังนี้ การที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยไปยืมเงินโจทก์มาใช้จ่ายในการดำรงชีพและนำมาซื้อที่ดินพร้อมทั้งปลูกเรือนพิพาทและผู้ร้องรู้เห็นในการกู้ยืมด้วยจึงเป็นการฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2518 มาตรา 6 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 255/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ, อายุความ, และการชำระหนี้โดยสำคัญผิด: สิทธิไล่เบี้ยตามลาภมิควรได้
คดีก่อนโจทก์ฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยโดยอาศัยเหตุที่โจทก์เป็นผู้ค้ำประกันและได้ใช้หนี้แทนจำเลยไป แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยคืนเงินที่โจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยโดยสำคัญผิดว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระแทนโดยอาศัยหลักลาภมิควรได้ ซึ่งเป็นการอาศัยเหตุต่างกัน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์เพิ่งจะรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกเงินคืนจากจำเลยในฐานลาภมิควรได้ เมื่อศาลพิพากษาในคดีก่อนว่าสัญญาที่โจทก์ค้ำประกันจำเลยนั้นไม่ผูกพันโจทก์ อายุความ 1 ปีจึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ศาลได้มีคำพิพากษาในคดีก่อน(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 466/2492)
การชำระหนี้โดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 407นั้น ต้องถือหลักว่ารู้หรือไม่รู้ตามความรู้เห็นของผู้ชำระเป็นประมาณ ไม่ถือเอาผลในกฎหมายว่ามีความผูกพันกันอยู่จริงหรือไม่เป็นเกณฑ์ เพียงแต่ผู้ชำระสำคัญผิดว่าตนมีความผูกพันที่จะต้องชำระหนี้นั้น แม้ตามกฎหมายผู้ชำระจะไม่ต้องผูกพันก็จะถือว่าผู้ชำระรู้อยู่แล้วไม่ได้เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยไปโดยสำคัญผิด โจทก์ก็ใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 409

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 255/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้โดยสำคัญผิด, ฟ้องซ้ำ, อายุความ และสิทธิไล่เบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
คดีก่อนโจทก์ฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยโดยอาศัยเหตุที่โจทก์เป็นผู้ค้ำประกันและได้ใช้หนี้แทนจำเลยไป แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยคืนเงินที่โจทก์ชำระหนี้แทนจำเลย โดยสำคัญผิดว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระแทน โดยอาศัยหลักลาภมิควรได้ ซึ่งเป็นการอาศัยเหตุต่างกัน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์เพิ่งจะรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกเงินคืนจากจำเลยในฐานลาภมิควรได้ เมื่อศาลพิพากษาในคดีก่อนว่าสัญญาที่โจทก์ค้ำประกันจำเลยนั้นไม่ผูกพันโจทก์ อายุความ 1 ปี จึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ศาลได้มีคำพิพากษาในคดีก่อน (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 466/2492)
การชำระหนี้โดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 407 นั้น ต้องถือหลักว่ารู้หรือไม่รู้ตามความรู้เห็นของผู้ชำระเป็นประมาณ ไม่ถือเอาผลในกฎหมายว่ามีความผูกพันกันอยู่จริงหรือไม่เป็นเกณฑ์ เพียงแต่ผู้ชำระสำคัญผิดว่าตนมีความผูกพันที่จะต้องชำระหนี้นั้น แม้ตามกฎหมายผู้ชำระจะไม่ต้องผูกพันก็จะถือว่าผู้ชำระรู้อยู่แล้วไม่ได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยไปโดยสำคัญผิด โจทก์ก็ใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 409

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 73/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อเนื่องจากรถถูกยึด-ผิดสัญญา แม้เจ้าของรถไม่ได้ประมาทเลินเล่อ สัญญาเป็นโมฆะคืนเงินให้ผู้เช่าซื้อ
โจทก์ไม่ได้ใช้รถยนต์ตามสัญญาเช่าซื้อ เพราะตำรวจยึดไปสอบสวนกรณีรถนั้นถูกลักมา เป็นการผิดวัตถุประสงค์ของการเช่าซื้อ โจทก์บอกเลิกสัญญาได้โดยไม่ต้องคืนรถแก่จำเลยผู้ให้เช่าซื้อ แม้จำเลยมิได้ประมาทเลินเล่อในการที่ถูกตำรวจยึดรถไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 39/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความเสมอภาคในการพิพากษาคดียาเสพติด: การพิจารณาโทษและการรอการลงโทษที่แตกต่างกันในคดีที่เกี่ยวข้อง
คดียาเสพติดคล้ายคลึงกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษารอการลงโทษคดีหนึ่ง ไม่รอการลงโทษในอีกคดีหนึ่ง เป็นปัญหาสำคัญที่ควรสู่ศาลสูงสุดพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2670/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องฐานจำหน่ายยาเสพติด แม้บันทึกจับกุมระบุแค่ครอบครองเพื่อจำหน่าย และการปรับบทลงโทษ
ความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเฮโรอีนเป็นความผิดต่างกัน แต่ก็เป็นความผิดรวมอยู่ในมาตราเดียวกัน แม้ตามบันทึกการจับกุมจะตั้งข้อหาเพียงว่าจำเลยมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่เมื่อสอบสวนแล้วปรากฏว่า จำเลยได้จำหน่ายเฮโรอีนด้วย ก็ถือได้ว่าได้ทำการสอบสวนในความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนด้วยแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยในฐานความผิดดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2670/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องความผิดฐานจำหน่ายยาเสพติด แม้บันทึกจับกุมระบุแค่ครอบครองเพื่อจำหน่าย และการปรับบทลงโทษ
ความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเฮโรอีนเป็นความผิดต่างกัน แต่ก็เป็นความผิดรวมอยู่ในมาตราเดียวกัน แม้ตามบันทึกการจับกุมจะตั้งข้อหาเพียงว่าจำเลยมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่เมื่อสอบสวนแล้วปรากฏหว่า จำเลยได้จำหน่ายเฮโรอีนด้วย ก็ถือได้ว่าได้ทำการสอบสวนในความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนด้วยแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยในฐานความผิดดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2594/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเช่านา: สิทธิผู้เช่าตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา และความรับผิดของผู้รับโอนสิทธิ
โจทก์ทำนาของจำเลย ค่าพันธุ์ข้าวปลูกโจทก์จำเลยออกกันคนละกึ่ง ส่วนค่าใช้จ่ายอย่างอื่นโจทก์เป็นผู้ออก ผลประโยชน์ที่ได้จากการทำนาแบ่งกันคนละครึ่ง โจทก์จะทำนาได้มากน้อยเท่าใดแล้วแต่ความสามารถของโจทก์ จำเลยมิได้กำหนดกฎเกณฑ์หรือสั่งการและควบคุมโจทก์ ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยดังกล่าวไม่อยู่ในฐานะนายจ้างลูกจ้าง
การที่จำเลยยอมให้โจทก์ใช้นาพิพาทของจำเลยเพื่อทำนาโดยจำเลยได้รับผลประโยชน์ตอบแทนเป็นข้าวอันเป็นผลผลิตจากการทำนา เช่นนี้ ย่อมถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้เช่านาพิพาทตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 แล้ว แม้การเช่าจะมิได้กำหนดเวลากันไว้ก็ตาม ก็ถือว่าการเช่านารายนี้มีกำหนดเวลา 6 ปี ตามมาตรา 5 แห่งกฎหมายดังกล่าว จำเลยจึงมีหน้าที่ตามกฎหมายต้องให้โจทก์เช่าจนครบ 6 ปี
แม้ว่าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการควบคุมการเช่านาจะยังไม่ถึงที่สุด เมื่อสัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยยังไม่สิ้นสุด และจำเลยขัดขวางมิให้โจทก์เข้าทำนาตามสิทธิ์ โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์จะอ้างว่าคนเข้าครอบครองนาพิพาทระหว่างรพอคำวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์หาได้ไม่
เดิมโจทก์เช่านาพิพาทกับจำเลยคนหนึ่ง ต่อมาจำเลยคนนั้นโอนนาพิพาทไปให้จำเลยอีกคนหนึ่ง จำเลยผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของจำเลยคนก่อน- ที่มีต่อโจทก์ผู้เช่านา ตามมาตรา 29 แห่งกฎหมายดังกล่าว จำเลยผู้รับโอนจริงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
แม้จำเลยคนหนึ่งจะไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ศาลก็มีอำนาจที่จะสั่งให้รับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมร่วมกับจำเลยอีกคนหนึ่งผู้ซึ่งจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161
of 24