พบผลลัพธ์ทั้งหมด 252 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2460-2461/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในเครื่องหมายการค้า: การจดทะเบียนภายใต้เงื่อนไข และการเพิกถอนทะเบียนเมื่อมีสิทธิที่ดีกว่า
ในกรณีที่มีผู้ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าอันเดียวกันหรือเกือบเหมือนกันหลายราย และนายทะเบียนได้มีหนังสือแจ้งให้ทำความตกลงกันเองหรือนำคดีไปสู่ศาลแล้ว ไม่ได้รับแจ้งภายในกำหนดว่าผู้ขอได้ตกลงกันหรือได้นำคดีไปสู่ศาล มาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าพ.ศ.2474 บัญญัติให้นายทะเบียนจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าแก่ผู้ที่ขอขึ้นมาก่อนผู้อื่น บทบัญญัติดังกล่าวมิได้บัญญัติว่าสิทธิที่จะนำคดีไปสู่ศาลเป็นอันระงับสิ้นไป เจตนารมย์ของกฎหมายเพียงเพื่อให้การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดำเนินไปโดยรวดเร็วเท่านั้น แม้นายทะเบียนจะได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าให้แล้ว ซึ่งทำให้บุคคลผู้ได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นมีสิทธิใช้เครื่องหมายการค้าแต่ผู้เดียวตามมาตรา 27 ก็ตาม หากมีผู้มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนไว้ดีกว่า ผู้มีสิทธิดีกว่าก็อาจขอให้ศาลเพิกถอนทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนไว้ได้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 41(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2451/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินมีผลต่อความผิดฐานชิงทรัพย์ แม้มีพฤติการณ์ข่มขู่
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ท.ซึ่งผู้เสียหายอ้างว่าเป็นผู้ยกเครื่องเลื่อยพิพาทให้ผู้เสียหายเพื่อตีใช้หนี้นั้นยังโต้เถียงกรรมสิทธิ์กับจำเลย และ ท.หาได้ยกเครื่องเลื่อยให้เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เสียหายไม่ ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายจึงไม่ใช่เจ้าของหรือเจ้าของรวมในเครื่องเลื่อยรายพิพาท แต่กลับฟังได้ว่าเป็นของจำเลย ฉะนั้นแม้ข้อเท็จจริงจะเป็นเช่นที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยยกปืนจ้องไปทาง ป.ซึ่งครอบครองเลื่อยของจำเลยเป็นทำนองมิให้ขัดขวาง เพราะ ป.ไม่ยอมให้แล้วจำเลยเอาเครื่องเลื่อยไปเช่นนี้ หาเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ดังโจทก์ฟ้องไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2451/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินและการชิงทรัพย์: ผู้ครอบครองไม่ใช่เจ้าของจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ท.ซึ่งผู้เสียหายอ้างว่าเป็นผู้ยกเครื่องเลื่อยพิพาทให้ผู้เสียหายเพื่อตีใช้หนี้นั้นยังโต้เถียงกรรมสิทธิ์กับจำเลย และท.หาได้ยกเครื่องเลื่อยให้เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เสียหายไม่ ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายจึงไม่ใช่เจ้าของหรือเจ้าของรวมในเครื่องเลื่อยรายพิพาท แต่กลับฟังได้ว่าเป็นของจำเลย ฉะนั้นแม้ข้อเท็จจริงจะเป็นเช่นที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยยกปืนจ้องไปทาง ป.ซึ่งครอบครองเครื่องเลื่อยของจำเลย เป็นทำนองมิให้ขัดขวางเพราะป.ไม่ยอมให้แล้วจำเลยเอาเครื่องเลื่อยไปเช่นนี้ หาเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ดังโจทก์ฟ้องไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2405/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานการกู้ยืมเงินจากเช็คและจดหมายรับสภาพหนี้ เพียงพอตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา ๖๕๓
จำเลยยืมเงินของโจทก์แล้วออกเช็คสั่งจ่ายเงินเท่าจำนวนที่จำเลยยืมไปให้โจทก์ไว้ เมื่อโจทก์นำเช็คไปรับเงินจากธนาคารไม่ได้และทวงถามให้จำเลยชำระหนี้จำเลยได้มีจดหมายถึงโจทก์ขอความเห็นใจมิให้โจทก์นำเช็คไปแจ้งความและรับรองว่าจะชำระเงินที่จำเลยยืมไปจนครบ ดังนี้ ข้อความตามเอกสารเหล่านั้นเมื่อประกอบเข้าด้วยกันย่อมถือได้ว่าการกู้ยืมเงินรายนี้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยผู้ยืมเป็นสำคัญ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2405/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานการกู้ยืมเงิน: เช็ค + จดหมายรับสภาพหนี้ ถือเป็นหลักฐานหนังสือลงลายมือชื่อตามกฎหมาย
จำเลยยืมเงินของโจทก์แล้วออกเช็คสั่งจ่ายเงินเท่าจำนวนที่จำเลยยืมไปให้โจทก์ไว้ เมื่อโจทก์นำเช็คไปรับเงินจากธนาคารไม่ได้ และทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ จำเลยได้มีจดหมายถึงโจทก์ขอความเห็นใจ มิให้โจทก์นำเช็คไปแจ้งความและรับรองว่าจะชำระเงินที่จำเลยยืมไปจนครบ ดังนี้ข้อความตามเอกสารเหล่านั้นเมื่อประกอบเข้าด้วยกันย่อมถือได้ว่าการกู้ยืมเงินรายนี้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยผู้ยืมเป็นสำคัญ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2337/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทครอบครองที่ดิน: การฟ้องเพื่อพิสูจน์สิทธิในที่ดินและห้ามโต้แย้ง
ฟ้องจำเลย 16 คนว่าคัดค้านการที่โจทก์ขอ น.ส.3 สำหรับที่ดินเนื้อที่ 20 ไร่ของโจทก์ อ้างว่าเป็นของจำเลย ขอให้แสดงว่าที่ดินเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยโต้แย้ง จำเลยให้การว่าได้ครอบครองที่ดินมาเป็นส่วนสัดดังนี้ เป็นคดีมีข้อหาเดียว จะสั่งแยกคดีให้ฟ้องจำเลยแต่ละคนไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2324/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินระบุเนื้อที่เกินจริง ผู้ขายต้องรับผิดชดใช้ราคาส่วนที่ขาด
ขายที่ดินระบุเลขโฉนดและเนื้อที่ในโฉนด 99 ตารางวา แต่ที่ดินตามโฉนดมีเนื้อที่จริง 84 ตารางวา เป็นการขายโดยระบุเนื้อที่ต้องรับผิดในจำนวนที่ขาด ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 466 ผู้ซื้อยอมรับที่ดินผู้ขายต้องใช้ราคาส่วนที่ขาดคืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2323/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์สินสมรสและการติดตามทรัพย์คืน ความแตกต่างระหว่างละเมิดกับสัญญา
ฟ้องว่าจำเลยแกล้งยึดทรัพย์ละเมิดสิทธิของโจทก์ แต่โจทก์ขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์กับดอกเบี้ย เป็นเรื่องติดตามเอาทรัพย์คืน ไม่ใช่ละเมิดที่ใช้อายุความ 1 ปี
ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรสรวมทั้งหุ้นในบริษัทจำกัดหรือสิทธิการเช่า สิ่งที่ซื้อมาด้วยสินส่วนตัวหรือดอกผลของสินส่วนตัวไม่เข้า มาตรา 1465 เป็นสินสมรส สิ่งที่ได้มาโดยหนังสือยกให้ไม่มีระบุว่าเป็นสินส่วนตัว ก็เป็นสินสมรส ดอกผลของสินเดิมเป็นสินสมรส เครื่องใช้ส่วนตัวตามฐานะเป็นสินส่วนตัว
ทรัพย์ซึ่งอยู่ที่คนภายนอก ผู้ว่าราชการจังหวัดยึดตามประมวลรัษฎากร ไม่ได้ใช้คำว่าอายัด ผลก็คือต้องส่งมอบแก่ผู้ว่าราชการจังหวัด จึงไม่แตกต่างกัน
ฟ้องเรียกสินเดิมและสินส่วนตัวคืน แต่ไม่ระบุว่าเครื่องประดับและรถยนต์ที่เรียกคืนมีอะไรบ้าง รถคันไหนเป็นฟ้องเคลือบคลุม
ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรสรวมทั้งหุ้นในบริษัทจำกัดหรือสิทธิการเช่า สิ่งที่ซื้อมาด้วยสินส่วนตัวหรือดอกผลของสินส่วนตัวไม่เข้า มาตรา 1465 เป็นสินสมรส สิ่งที่ได้มาโดยหนังสือยกให้ไม่มีระบุว่าเป็นสินส่วนตัว ก็เป็นสินสมรส ดอกผลของสินเดิมเป็นสินสมรส เครื่องใช้ส่วนตัวตามฐานะเป็นสินส่วนตัว
ทรัพย์ซึ่งอยู่ที่คนภายนอก ผู้ว่าราชการจังหวัดยึดตามประมวลรัษฎากร ไม่ได้ใช้คำว่าอายัด ผลก็คือต้องส่งมอบแก่ผู้ว่าราชการจังหวัด จึงไม่แตกต่างกัน
ฟ้องเรียกสินเดิมและสินส่วนตัวคืน แต่ไม่ระบุว่าเครื่องประดับและรถยนต์ที่เรียกคืนมีอะไรบ้าง รถคันไหนเป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2249/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาพาผู้เสียหายไปกระทำอนาจารและข่มขืนต่อเนื่องกัน ถือเป็นกรรมเดียว
จำเลยมีเจตนาพาผู้เสียหายไปเพื่อกระทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเรา จำเลยกระทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเราทั้งในคืนแรกและคืนที่สอง เป็นการกระทำต่อเนื่องกันจากเจตนาเดิมนั้นเองแยกออกจากกันมิได้ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2249/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาต่อเนื่องในการกระทำอนาจารและข่มขืน: ถือเป็นกรรมเดียว
จำเลยมีเจตนาพาผู้เสียหายไปเพื่อกระทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเรา จำเลยกระทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเราทั้งในคืนแรกและคืนที่สอง เป็นการกระทำต่อเนื่องกันจากเจตนาเดิมนั่นเองแยกออกจากกันมิได้ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท