พบผลลัพธ์ทั้งหมด 401 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 887/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้าง และการคำนวณค่าขาดไร้อุปการะที่เหมาะสม
จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของรถบรรทุกนำมาร่วมกิจการขนส่งกับห้างจำเลยที่ 4 ลูกจ้างผู้ขับรถคันนี้ย่อมถือได้ว่าเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 และที่ 4
เมื่อได้ความว่าห้างจำเลยที่ 4 ยังประกอบการขนส่งสาธารณะอยู่ แม้ใบอนุญาตขนส่งจะหมดอายุแล้ว ห้างจำเลยที่ 4 ก็ยังไม่พ้นความรับผิดในผลแห่งการละเมิดที่ลูกจ้างกระทำลงในการขนส่งนั้น
แม้ผู้ตายจะมีอายุ 64 ปี แต่ร่างกายยังแข็งแรงไม่เจ็บป่วยยังสามารถประกอบอาชีพได้ ถ้าหากผู้ตายไม่ประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตายเสียก่อนย่อมเป็นที่คาดหมายได้ว่าผู้ตายจะมีชีวิตต่อไปอีกมากกว่า 2 ปี โจทก์ซึ่งเป็นภริยาไม่มีรายได้อย่างอื่นนอกจากเงินเดือนที่ผู้ตายมอบให้เดือนละ 5,000 บาทตามพฤติการณ์ดังกล่าวที่ศาลล่างกำหนดค่าขาดไร้อุปการะเดือนละ 2,000 บาทเป็นเวลา 4 ปี เป็นเงิน 96,000 บาท จึงเป็นการเหมาะสมแล้ว
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ว่าทำละเมิดและฟ้องจำเลยที่ 3 ที่ 4 ในฐานะนายจ้างให้ร่วมรับผิดด้วยกรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรลดค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยที่ 3 ที่ 4 จะพึงชดใช้แก่โจทก์ลง แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ฎีกาศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วย
เมื่อได้ความว่าห้างจำเลยที่ 4 ยังประกอบการขนส่งสาธารณะอยู่ แม้ใบอนุญาตขนส่งจะหมดอายุแล้ว ห้างจำเลยที่ 4 ก็ยังไม่พ้นความรับผิดในผลแห่งการละเมิดที่ลูกจ้างกระทำลงในการขนส่งนั้น
แม้ผู้ตายจะมีอายุ 64 ปี แต่ร่างกายยังแข็งแรงไม่เจ็บป่วยยังสามารถประกอบอาชีพได้ ถ้าหากผู้ตายไม่ประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตายเสียก่อนย่อมเป็นที่คาดหมายได้ว่าผู้ตายจะมีชีวิตต่อไปอีกมากกว่า 2 ปี โจทก์ซึ่งเป็นภริยาไม่มีรายได้อย่างอื่นนอกจากเงินเดือนที่ผู้ตายมอบให้เดือนละ 5,000 บาทตามพฤติการณ์ดังกล่าวที่ศาลล่างกำหนดค่าขาดไร้อุปการะเดือนละ 2,000 บาทเป็นเวลา 4 ปี เป็นเงิน 96,000 บาท จึงเป็นการเหมาะสมแล้ว
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ว่าทำละเมิดและฟ้องจำเลยที่ 3 ที่ 4 ในฐานะนายจ้างให้ร่วมรับผิดด้วยกรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรลดค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยที่ 3 ที่ 4 จะพึงชดใช้แก่โจทก์ลง แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ฎีกาศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 887/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้างต่อลูกจ้างและค่าขาดไร้อุปการะจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของรถบรรทุกนำมาร่วมกิจการขนส่งกับจำเลยที่ 4 ลูกจ้างผู้ขับรถคันนี้ย่อมถือได้ว่าเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 และที่ 4
เมื่อได้ความว่าห้างจำเลยที่ 4 ยังประกอบการขนส่งสาธารณะอยู่ แม้ใบอนุญาตขนส่งจะหมดอายุแล้ว ห้างจำเลยที่ 4 ก็ยังไม่พ้นความรับผิดในผลแห่งการละเมิดที่ลูกจ้างกระทำลงในการขนส่งนั้น
แม้ผู้ตายจะมีอายุ 64 ปี แต่ร่างกายยังแข็งแรงไม่เจ็บป่วยยังสามารถประกอบอาชีพได้ ถ้าหากผู้ตายไม่ประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตายเสียก่อนย่อมเป็นที่คาดหมายได้ว่าผู้ตายจะมีชีวิตต่อไปอีกมากกว่า 2 ปี โจทก์ซึ่งเป็นภริยาไม่มีรายได้อย่างอื่นนอกจากเงินเดือนที่ผู้ตายมอบให้เดือนละ 5,000 บาท ตามพฤติการณ์ดังกล่าวที่ศาลล่างกำหนดค่าขาดไร้อุปการะเดือนละ 2,000 บาท เป็นเวลา 4 ปี เป็นเงิน 96,000 บาท จึงเป็นการเหมาะสมแล้ว
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ว่าทำละเมิดและฟ้องจำเลยที่ 3 ที่ 4 ในฐานะนายจ้างให้ร่วมรับผิดด้วย กรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรลดค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยที่ 3 ที่ 4 จะพึงชดใช้แก่โจทก์ แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วย
เมื่อได้ความว่าห้างจำเลยที่ 4 ยังประกอบการขนส่งสาธารณะอยู่ แม้ใบอนุญาตขนส่งจะหมดอายุแล้ว ห้างจำเลยที่ 4 ก็ยังไม่พ้นความรับผิดในผลแห่งการละเมิดที่ลูกจ้างกระทำลงในการขนส่งนั้น
แม้ผู้ตายจะมีอายุ 64 ปี แต่ร่างกายยังแข็งแรงไม่เจ็บป่วยยังสามารถประกอบอาชีพได้ ถ้าหากผู้ตายไม่ประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตายเสียก่อนย่อมเป็นที่คาดหมายได้ว่าผู้ตายจะมีชีวิตต่อไปอีกมากกว่า 2 ปี โจทก์ซึ่งเป็นภริยาไม่มีรายได้อย่างอื่นนอกจากเงินเดือนที่ผู้ตายมอบให้เดือนละ 5,000 บาท ตามพฤติการณ์ดังกล่าวที่ศาลล่างกำหนดค่าขาดไร้อุปการะเดือนละ 2,000 บาท เป็นเวลา 4 ปี เป็นเงิน 96,000 บาท จึงเป็นการเหมาะสมแล้ว
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ว่าทำละเมิดและฟ้องจำเลยที่ 3 ที่ 4 ในฐานะนายจ้างให้ร่วมรับผิดด้วย กรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรลดค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยที่ 3 ที่ 4 จะพึงชดใช้แก่โจทก์ แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 852/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กำหนดเวลาขายฝาก: หลักฐานการจดทะเบียนสำคัญกว่าสัญญา หากระบุเวลาในเอกสารจดทะเบียน แม้สัญญายังไม่ได้ระบุ
หลักฐานการจดทะเบียนเป็นหลักฐานสำคัญเพราะสัญญาขายฝากจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว เมื่อปรากฏตามเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและหน้าโฉนดว่า การขายฝากมีกำหนดเวลา 4 เดือน แม้ตัวสัญญาขายฝากจะมิได้กรอกกำหนดเวลาลงไป ก็ฟังได้ว่าการขายฝากมีกำหนดเวลา โจทก์ขอไถ่เมื่อพ้นกำหนดแล้วจึงไถ่ไม่ได้
เมื่อศาลรับฟังพยานเอกสารที่จำเลยอ้าง คือเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม โฉนดที่ดิน เชื่อว่าคู่สัญญากำหนดเวลาขายฝากไว้มีกำหนดเวลา 4 เดือน จึงมิใช่เป็นการนำพยานบุคคลมาสืบเพิ่มเติมข้อความในเอกสารสัญญาขายฝาก และไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
เมื่อศาลรับฟังพยานเอกสารที่จำเลยอ้าง คือเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม โฉนดที่ดิน เชื่อว่าคู่สัญญากำหนดเวลาขายฝากไว้มีกำหนดเวลา 4 เดือน จึงมิใช่เป็นการนำพยานบุคคลมาสืบเพิ่มเติมข้อความในเอกสารสัญญาขายฝาก และไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 852/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาขายฝาก: หลักฐานการจดทะเบียนสำคัญกว่าสัญญา หากระบุระยะเวลาไม่ตรงกัน ให้ใช้ตามที่จดทะเบียน
หลักฐานการจดทะเบียนเป็นหลักฐานสำคัญเพราะสัญญาขายฝากจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วเมื่อปรากฏตามเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและหน้าโฉนดว่า การขายฝากมีกำหนดเวลา 4 เดือน แม้ตัวสัญญาขายฝากจะมิได้กรอกกำหนดเวลาลงไป ก็ฟังได้ว่าการขายฝากมีกำหนดเวลา โจทก์ขอไถ่เมื่อพ้นกำหนดแล้วจึงไถ่ไม่ได้
เมื่อศาลรับฟังพยานเอกสารที่จำเลยอ้างคือเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโฉนดที่ดิน เชื่อว่าคู่สัญญากำหนดเวลาขายฝากไว้มีกำหนดเวลา 4 เดือน จึงมิใช่เป็นการนำพยานบุคคลมาสืบเพิ่มเติมข้อความในเอกสารสัญญาขายฝาก และไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
เมื่อศาลรับฟังพยานเอกสารที่จำเลยอ้างคือเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโฉนดที่ดิน เชื่อว่าคู่สัญญากำหนดเวลาขายฝากไว้มีกำหนดเวลา 4 เดือน จึงมิใช่เป็นการนำพยานบุคคลมาสืบเพิ่มเติมข้อความในเอกสารสัญญาขายฝาก และไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 800/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องค่าอุปการะกรณีเสียชีวิต: มารดาและบุตรผู้เยาว์
จำเลยทำละเมิดเป็นเหตุให้ ท. ตายมารดาของ ท. กับบุตรผู้เยาว์ของ ท. ซึ่งมิใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดามีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนเพราะขาดอุปการะตามกฎหมายมารดา ท. เรียกค่าเสียหายโดยคำนวณเป็นระยะเวลา 10 ปี ไม่เป็นระยะเวลาที่นานเกินไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 591/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดสัญญาเช่านาและการพิสูจน์สถานะผู้เช่าตามกฎหมายควบคุมการเช่านา
ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 46 ที่บัญญัติไว้ว่า การเช่านารายใดซึ่งทำไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ถ้าไม่มีกำหนดเวลาหรือมีกำหนดเวลาต่ำกว่าหกปี ให้การเช่านารายนั้นมีกำหนดหกปีนับตั้งแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เว้นแต่ผู้เช่าไม่ประสงค์จะเช่านาต่อไป ย่อมหมายความว่าพระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับแก่การเช่าที่ยังคงมีอยู่ในวันที่ 18 ธันวาคม 2517 ซึ่งเป็นวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเท่านั้น ที่จะมีการยืดการเช่าออกไปได้ แต่ถ้าหากการเช่านาระหว่างผู้เช่าและผู้ให้เช่าสิ้นสุดลงแล้วก่อนวันที่ 18 ธันวาคม 2517 ก็จะนำมาตรา 46 นี้มาใช้บังคับไม่ได้ เพราะในขณะที่พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านามีผลใช้บังคับนั้น ไม่มีกำหนดระยะเวลาการเช่านาเหลืออยู่ที่จะยืดออกไปอีกได้
เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้กระทำผิดโดยเข้าไปไถทำนาในที่นาที่ผู้เสียหายเช่าจากจำเลย จำเลยให้การปฏิเสธ โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบให้ฟังได้ว่าในวันเวลาที่โจทก์กล่าวหา ผู้เสียหายยังเป็นผู้เช่าทำนาจากจำเลยอยู่ แต่เมื่อจำเลยได้ต่อสู้มาแต่ชั้นสอบสวนว่า สัญญาระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยสิ้นสุดโดยความตกลงของคู่สัญญา มิได้รับในประเด็นข้อนี้ เมื่อโจทก์ไม่ติดใจสืบพยานเสียแล้วเช่นนี้ คดีก็ยังไม่พอที่จะรับฟังว่าจำเลยได้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่ามา พ.ศ. 2517 มาตรา 28 (4), 45
เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้กระทำผิดโดยเข้าไปไถทำนาในที่นาที่ผู้เสียหายเช่าจากจำเลย จำเลยให้การปฏิเสธ โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบให้ฟังได้ว่าในวันเวลาที่โจทก์กล่าวหา ผู้เสียหายยังเป็นผู้เช่าทำนาจากจำเลยอยู่ แต่เมื่อจำเลยได้ต่อสู้มาแต่ชั้นสอบสวนว่า สัญญาระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยสิ้นสุดโดยความตกลงของคู่สัญญา มิได้รับในประเด็นข้อนี้ เมื่อโจทก์ไม่ติดใจสืบพยานเสียแล้วเช่นนี้ คดีก็ยังไม่พอที่จะรับฟังว่าจำเลยได้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่ามา พ.ศ. 2517 มาตรา 28 (4), 45
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 591/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดสัญญาเช่านาและการบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 การพิสูจน์สถานะผู้เช่า
ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 46 ที่บัญญัติไว้ว่า การเช่านารายใดซึ่งทำไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ถ้าไม่มีกำหนดเวลาหรือมีกำหนดเวลาต่ำกว่าหกปี ให้การเช่านารายนั้นมีกำหนดหกปีนับตั้งแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเว้นแต่ผู้เช่าไม่ประสงค์จะเช่านาต่อไป ย่อมหมายความว่าพระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับแก่การเช่าที่ยังคงมีอยู่ในวันที่ 18 ธันวาคม 2517 ซึ่งเป็นวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเท่านั้น ที่จะมีการยืดการเช่าออกไปได้แต่ถ้าหากการเช่านาระหว่างผู้เช่าและผู้ให้เช่าสิ้นสุดลงแล้วก่อนวันที่ 18 ธันวาคม 2517 ก็จะนำมาตรา 46 นี้มาใช้บังคับไม่ได้เพราะในขณะที่พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านามีผลใช้บังคับนั้น ไม่มีกำหนดระยะเวลาการเช่านาเหลืออยู่ที่จะยืดออกไปอีกได้
เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้กระทำผิดโดยเข้าไปไถทำนาในที่นาที่ผู้เสียหายเช่าจากจำเลย จำเลยให้การปฏิเสธ โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบให้ฟังได้ว่าในวันเวลาที่โจทก์กล่าวหา ผู้เสียหายยังเป็นผู้เช่าทำนาจากจำเลยอยู่ แต่เมื่อจำเลยได้ต่อสู้มาแต่ชั้นสอบสวนว่า สัญญาระหว่าง ผู้เสียหายกับจำเลยสิ้นสุดโดยความตกลงของคู่สัญญา มิได้รับในประเด็นข้อนี้ เมื่อโจทก์ไม่ติดใจสืบพยานเสียแล้วเช่นนี้ คดีก็ยังไม่พอที่จะรับฟังว่าจำเลยได้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 28(4), 45
เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้กระทำผิดโดยเข้าไปไถทำนาในที่นาที่ผู้เสียหายเช่าจากจำเลย จำเลยให้การปฏิเสธ โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบให้ฟังได้ว่าในวันเวลาที่โจทก์กล่าวหา ผู้เสียหายยังเป็นผู้เช่าทำนาจากจำเลยอยู่ แต่เมื่อจำเลยได้ต่อสู้มาแต่ชั้นสอบสวนว่า สัญญาระหว่าง ผู้เสียหายกับจำเลยสิ้นสุดโดยความตกลงของคู่สัญญา มิได้รับในประเด็นข้อนี้ เมื่อโจทก์ไม่ติดใจสืบพยานเสียแล้วเช่นนี้ คดีก็ยังไม่พอที่จะรับฟังว่าจำเลยได้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 28(4), 45
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 546/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายทรัพย์หลุดจำนำโดยสุจริต และสิทธิในการรับคืนทรัพย์ของเจ้าของเดิม
ห้างหุ้นส่วนจำกัดได้รับอนุญาตให้ค้ของเก่าที่หลุดจากโรงรับจำนำของที่หลุดจากโรงรับจำนำได้ทุกอย่าง ไม่จำต้องขายของอย่างเดียว เมื่อเครื่องถ่ายเอกสารเป็นของที่หลุดจากโรงจำนำและเป็นสินค้าอย่างหนึ่งที่ห้างทำการค้าอยู่เป็นปกติห้างจึงเป็นพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้นตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 แล้ว
เครื่องถ่ายเอกสารของจำเลยหายไป ผู้จัดการห้างค้าของเก่าประมูลมาได้จากโรงรับจำนำ ลงบัญชีสำหรับผู้ค้าของเก่าไว้ตามระเบียบของกองทะเบียน กรมตำรวจแล้วนำเครื่องถ่ายเอกสารนั้นไปเสนอขายให้โจทก์ โจทก์ทดลองใช้อยู่ 2 สัปดาห์ จึงตกลงซื้อ เมื่อขายได้แล้วก็ลงบัญชีไว้เป็นหลักฐานว่าขายให้แก่ผู้ใด การเสนอขายมิได้มีพฤติการณ์ส่อไปในทางปกปิดซื้อขายกัน แม้เครื่องถ่ายเอกสารจะมีป้ายติดอยู่ข้อความว่าเป็นของบริษัทจำเลย ก็ยังไม่พอฟังว่าโจทก์รับซื้อไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ของจำเลย ทรัพย์หลุดจากโรงรับจำนำผู้ซื้ออาจเข้าใจว่าเป็นทรัพย์ที่ซื้อขายกันต่อๆ ไปได้ ถือว่าโจทก์รับซื้อทรัพย์ไว้โดยสุจริต เมื่อมีผู้นำเครื่องถ่ายเอกสารนี้ไปมอบให้จำเลย จำเลยจึงจะยึดไว้ไม่ได้ ต้องส่งคืนให้โจทก์
โจทก์ไม่ได้จ้างจำเลยซ่อมเครื่องถ่ายเอกสาร แต่จำเลยยึดเอาไปซ่อมโดยพลการ จำเลยจึงหามีสิทธิยึดหน่วงเครื่องถ่ายเอกสารเพราะโจทก์ไม่ชำระค่าซ่อมไม่
เครื่องถ่ายเอกสารของจำเลยหายไป ผู้จัดการห้างค้าของเก่าประมูลมาได้จากโรงรับจำนำ ลงบัญชีสำหรับผู้ค้าของเก่าไว้ตามระเบียบของกองทะเบียน กรมตำรวจแล้วนำเครื่องถ่ายเอกสารนั้นไปเสนอขายให้โจทก์ โจทก์ทดลองใช้อยู่ 2 สัปดาห์ จึงตกลงซื้อ เมื่อขายได้แล้วก็ลงบัญชีไว้เป็นหลักฐานว่าขายให้แก่ผู้ใด การเสนอขายมิได้มีพฤติการณ์ส่อไปในทางปกปิดซื้อขายกัน แม้เครื่องถ่ายเอกสารจะมีป้ายติดอยู่ข้อความว่าเป็นของบริษัทจำเลย ก็ยังไม่พอฟังว่าโจทก์รับซื้อไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ของจำเลย ทรัพย์หลุดจากโรงรับจำนำผู้ซื้ออาจเข้าใจว่าเป็นทรัพย์ที่ซื้อขายกันต่อๆ ไปได้ ถือว่าโจทก์รับซื้อทรัพย์ไว้โดยสุจริต เมื่อมีผู้นำเครื่องถ่ายเอกสารนี้ไปมอบให้จำเลย จำเลยจึงจะยึดไว้ไม่ได้ ต้องส่งคืนให้โจทก์
โจทก์ไม่ได้จ้างจำเลยซ่อมเครื่องถ่ายเอกสาร แต่จำเลยยึดเอาไปซ่อมโดยพลการ จำเลยจึงหามีสิทธิยึดหน่วงเครื่องถ่ายเอกสารเพราะโจทก์ไม่ชำระค่าซ่อมไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 546/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายทรัพย์สินหลุดจำนำโดยสุจริต และสิทธิของเจ้าของทรัพย์ในการติดตามคืน
ห้างหุ้นส่วนจำกัดได้รับอนุญาตให้ค้าของเก่าที่หลุดจากโรงรับจำนำ ย่อมขายของที่หลุดจากโรงรับจำนำได้ทุกอย่าง ไม่จำต้องขายของอย่างเดียวเมื่อเครื่องถ่ายเอกสารเป็นของที่หลุดจากโรงรับจำนำและเป็นสินค้าอย่างหนึ่งที่ห้างทำการค้าอยู่เป็นปกติ ห้างจึงเป็นพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้นตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 แล้ว
เครื่องถ่ายเอกสารของจำเลยหายไป ผู้จัดการห้างค้าของเก่าประมูลมาได้จากโรงรับจำนำ ลงบัญชีสำหรับผู้ค้าของเก่าไว้ตามระเบียบของกองทะเบียน กรมตำรวจ แล้วนำเครื่องถ่ายเอกสารนั้นไปเสนอขายให้โจทก์ โจทก์ทดลองใช้อยู่ 2 สัปดาห์ จึงตกลงซื้อ เมื่อขายได้แล้วก็ลงบัญชีไว้เป็นหลักฐานว่าขายให้แก่ผู้ใด การเสนอขายมิได้มีพฤติการณ์ส่อไปในทางปกปิดซื้อขายกัน แม้เครื่องถ่ายเอกสารจะมีป้ายติดอยู่ข้อความว่าเป็นของบริษัทจำเลย ก็ยังไม่พอฟังว่าโจทก์รับซื้อไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ของจำเลย ทรัพย์หลุดจากโรงรับจำนำผู้ซื้ออาจเข้าใจว่าเป็นทรัพย์ที่ซื้อขายกันต่อๆ ไปได้ ถือว่าโจทก์รับซื้อทรัพย์ไว้โดยสุจริต เมื่อมีผู้นำเครื่องถ่ายเอกสารนี้ไปมอบให้จำเลย จำเลยจึงจะยึดไว้ไม่ได้ต้องส่งคืนให้โจทก์
โจทก์ไม่ได้จ้างจำเลยซ่อมเครื่องถ่ายเอกสาร แต่จำเลยยึดเอาไป ซ่อมโดยพลการ จำเลยจึงหามีสิทธิยึดหน่วงเครื่องถ่ายเอกสารเพราะโจทก์ ไม่ชำระค่าซ่อมไม่
เครื่องถ่ายเอกสารของจำเลยหายไป ผู้จัดการห้างค้าของเก่าประมูลมาได้จากโรงรับจำนำ ลงบัญชีสำหรับผู้ค้าของเก่าไว้ตามระเบียบของกองทะเบียน กรมตำรวจ แล้วนำเครื่องถ่ายเอกสารนั้นไปเสนอขายให้โจทก์ โจทก์ทดลองใช้อยู่ 2 สัปดาห์ จึงตกลงซื้อ เมื่อขายได้แล้วก็ลงบัญชีไว้เป็นหลักฐานว่าขายให้แก่ผู้ใด การเสนอขายมิได้มีพฤติการณ์ส่อไปในทางปกปิดซื้อขายกัน แม้เครื่องถ่ายเอกสารจะมีป้ายติดอยู่ข้อความว่าเป็นของบริษัทจำเลย ก็ยังไม่พอฟังว่าโจทก์รับซื้อไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ของจำเลย ทรัพย์หลุดจากโรงรับจำนำผู้ซื้ออาจเข้าใจว่าเป็นทรัพย์ที่ซื้อขายกันต่อๆ ไปได้ ถือว่าโจทก์รับซื้อทรัพย์ไว้โดยสุจริต เมื่อมีผู้นำเครื่องถ่ายเอกสารนี้ไปมอบให้จำเลย จำเลยจึงจะยึดไว้ไม่ได้ต้องส่งคืนให้โจทก์
โจทก์ไม่ได้จ้างจำเลยซ่อมเครื่องถ่ายเอกสาร แต่จำเลยยึดเอาไป ซ่อมโดยพลการ จำเลยจึงหามีสิทธิยึดหน่วงเครื่องถ่ายเอกสารเพราะโจทก์ ไม่ชำระค่าซ่อมไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 544/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างล้มละลายตกเป็นของกองทรัพย์สิน แม้เจ้าหนี้ไม่ทราบสถานะลูกหนี้
จำเลยได้ซื้อที่ดินในระหว่างล้มละลาย จึงเป็นทรัพย์ที่จะต้องนำเข้ากองทรัพย์สินของจำเลยตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 109(2) พระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2511 มาตรา 7ทั้งนี้ ไม่ว่าโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จะได้ทราบว่าจำเลยเป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่ โจทก์จะอ้างถึงความสุจริตของโจทก์บังคับชำระหนี้เอาจากที่ดินนั้นหาได้ไม่