พบผลลัพธ์ทั้งหมด 402 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 359/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทตั๋วสัญญาใช้เงิน: การฟ้องบังคับชำระหนี้, การรับรองการขาย, และอายุความ
ออกตั๋วสัญญาใช้เงินกำหนดใช้เงิน 1,460 วัน นับแต่วันออกตั๋วไม่มีอัตราดอกเบี้ย แล้วขายตั๋วแก่ธนาคาร โดยทำสัญญาให้ดอกเบี้ยร้อยละ 14 ต่อปี ถ้าผิดนัดธนาคารเรียกเงินจากผู้ออกตั๋วและดอกเบี้ยได้ตามสัญญาขายตั๋วเมื่อผู้ออกตั๋วไม่ใช้เงินตามกำหนดซึ่งเป็นผิดนัดโดยไม่ต้องทวงถาม
อายุความฟ้องผู้รับอาวัลกับผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินมีกำหนด 3 ปีตาม มาตรา940,1001
การมอบอำนาจให้ฟ้องมิใช่เป็นสภาพหรือข้ออ้างที่เป็นหลักแห่งข้อหา โจทก์ไม่บรรยายมติที่ประชุมกรรมการบริษัทที่ให้ประธานกรรมการมอบอำนาจให้ฟ้องก็ไม่เคลือบคลุม
จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์เป็นธนาคารพาณิชย์แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นและจำเลยไม่คัดค้าน ศาลชั้นต้นไม่วินิจฉัยจำเลยฎีกาไม่ได้
อายุความฟ้องผู้รับอาวัลกับผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินมีกำหนด 3 ปีตาม มาตรา940,1001
การมอบอำนาจให้ฟ้องมิใช่เป็นสภาพหรือข้ออ้างที่เป็นหลักแห่งข้อหา โจทก์ไม่บรรยายมติที่ประชุมกรรมการบริษัทที่ให้ประธานกรรมการมอบอำนาจให้ฟ้องก็ไม่เคลือบคลุม
จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์เป็นธนาคารพาณิชย์แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นและจำเลยไม่คัดค้าน ศาลชั้นต้นไม่วินิจฉัยจำเลยฎีกาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 329/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการบังคับคดีและการยึดทรัพย์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ต้องเป็นไปตามขั้นตอนที่ตกลงกัน
คำพิพากษาตามยอมมีความว่า เมื่อโจทก์ไม่สามารถบังคับคดีจากจำเลยที่ 1 ได้ จำเลยที่ 2 ยอมชำระแทนภายใน 6 เดือนดังนี้ หมายความว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์ที่โจทก์จะยึดมาขายทอดตลาดได้โจทก์จึงจะยึดทรัพย์จำเลยที่ 2 ได้ โจทก์จึงยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1,2 พร้อมกันไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อาวุธปืนเถื่อน การพกพาในที่สาธารณะ และขอบเขตของบทบัญญัติมาตรา 8 ทวิ แห่ง พ.ร.บ.อาวุธปืน
อาวุธปืนตามมาตรา 8 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืนนั้นหมายความรวมถึงอาวุธปืนซึ่งมีหมายเลขทะเบียน และได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนให้มีไว้ในความครอบครองและอาวุธปืนซึ่งไม่มีหมายเลขทะเบียน และไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนให้มีไว้ในความครอบครองด้วย เมื่อจำเลยพาอาวุธปืนซึ่งไม่มีหมายเลขทะเบียนและไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนให้มีไว้ในความครอบครองติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว จำเลยจึงต้องมีความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมายมาตรานี้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพกพาอาวุธปืนเถื่อนในที่สาธารณะเข้าข่ายผิดตามกฎหมายอาวุธปืน แม้ไม่มีใบอนุญาต
อาวุธปืนตามมาตรา 8 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืนนั้นหมายความรวมถึงอาวุธปืนมีหมายเลขทะเบียนและได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนให้มีไว้ในความครอบครองและอาวุธปืนซึ่งไม่มีหมายเลขทะเบียน และไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนให้มีไว้ในความครอบครองด้วย เมื่อจำเลยพาอาวุธปืนซึ่งไม่มีหมายเลขทะเบียนและไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนให้มีไว้ในความครอบครองติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว จำเลยจึงต้องมีความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมายมาตรานี้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 259/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์วินิจฉัยข้อตกลงสภาพการจ้างก่อน พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ และค่าชดเชยต่างจากค่าเสียหาย
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง แม้จะได้ทำกันไว้ก่อนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ใช้บังคับ ก็เป็นข้อตกลงที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดได้ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 160 วรรค 2
การที่นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างออกจากงานโดยไม่ได้กระทำความผิด ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 46 นั้น เป็นหน้าที่ตามกฎหมายซึ่งนายจ้างจะต้องปฏิบัติมิใช่เป็นเรื่องตกลงประนีประนอมยอมความ และเป็นคนละกรณีกับกรณีที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชี้ขาดให้นายจ้างจ่ายค่าเสียหายให้แก่ลูกจ้าง ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 41 (4)
การที่นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างออกจากงานโดยไม่ได้กระทำความผิด ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 46 นั้น เป็นหน้าที่ตามกฎหมายซึ่งนายจ้างจะต้องปฏิบัติมิใช่เป็นเรื่องตกลงประนีประนอมยอมความ และเป็นคนละกรณีกับกรณีที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชี้ขาดให้นายจ้างจ่ายค่าเสียหายให้แก่ลูกจ้าง ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 41 (4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 259/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์วินิจฉัยข้อพิพาทแม้ข้อตกลงทำก่อน พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ และค่าชดเชยไม่ตัดค่าเสียหาย
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง แม้จะได้ทำกันไว้ก่อนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 ใช้บังคับก็เป็นข้อตกลงที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดได้ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 160วรรคสอง
การที่นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างออกจากงานโดยไม่ได้กระทำความผิด ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16เมษายน 2515 ข้อ 46 นั้น เป็นหน้าที่ตามกฎหมายซึ่งนายจ้างจะต้องปฏิบัติมิใช่เป็นเรื่องตกลงประนีประนอมยอมความ และเป็นคนละกรณีกับกรณีที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชี้ขาดให้นายจ้างจ่ายค่าเสียหายให้แก่ลูกจ้าง ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518มาตรา41(4)
การที่นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างออกจากงานโดยไม่ได้กระทำความผิด ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16เมษายน 2515 ข้อ 46 นั้น เป็นหน้าที่ตามกฎหมายซึ่งนายจ้างจะต้องปฏิบัติมิใช่เป็นเรื่องตกลงประนีประนอมยอมความ และเป็นคนละกรณีกับกรณีที่คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชี้ขาดให้นายจ้างจ่ายค่าเสียหายให้แก่ลูกจ้าง ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518มาตรา41(4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างก่อสร้าง & การรับมอบงานชำรุด/ล่าช้า: สิทธิเรียกร้องค่าปรับระงับเมื่อเจ้าหนี้รับมอบโดยไม่สงวนสิทธิ
จำเลยจ้างโจทก์สร้างตึกแถว โจทก์ส่งมอบล่าช้าแต่จำเลยรับมอบโดยไม่สงวนสิทธิปรับตามสัญญาจำเลยบังคับเรียกเบี้ยปรับไม่ได้ตาม มาตรา 381 วรรคท้าย
โจทก์โอนสิทธิการเช่าตึกแถวแก่จำเลย แต่โจทก์ใส่กุญแจประตูตึกแถวเสีย จำเลยเข้าครอบครองไม่ได้ ไม่เป็นละเมิด ตามสัญญาสิทธิที่จำเลยได้จากสัญญาคือสิทธิการเช่าตึกเท่านั้น
โจทก์โอนสิทธิการเช่าตึกแถวแก่จำเลย แต่โจทก์ใส่กุญแจประตูตึกแถวเสีย จำเลยเข้าครอบครองไม่ได้ ไม่เป็นละเมิด ตามสัญญาสิทธิที่จำเลยได้จากสัญญาคือสิทธิการเช่าตึกเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 243/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับรองการชำระหนี้ไม่ใช่สัญญาค้ำประกัน แต่มีผลให้เรียกร้องค่าเสียหายจากผู้รับรองได้
ธนาคารโจทก์ได้ทำหนังสือค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อองค์การสะพานปลา ยินยอมใช้เงินให้แก่องค์การสะพานปลาในกรณีที่จำเลยที่ 1 ปฏิบัติผิดสัญญา ในการนี้จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาไว้แก่ธนาคารโจทก์มีข้อความว่าตามที่ธนาคารโจทก์ได้ทำหนังสือค้ำประกันจำเลยที่ 1ไว้กับองค์การสะพานปลานั้น ถ้าองค์การสะพานปลาเรียกร้องให้ธนาคารโจทก์ชำระเงินจำนวนที่ค้ำประกัน จำเลยที่ 2 ยอมรับผิดชอบให้ธนาคารโจทก์ไล่เบี้ยจากจำเลยที่ 2 ได้ในจำนวนเงินที่ชำระไปนั้น เอกสารดังกล่าวมิใช่สัญญาค้ำประกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680 หากแต่เป็นสัญญาชนิดหนึ่งเท่านั้น จึงไม่เป็นตราสารที่ต้องปิดแสตมป์บริบูรณ์ตามมาตรา 104 แห่งประมวลรัษฎากร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 218/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรวมฟ้องแย้งในคดีเช่า: ฟ้องแย้งต้องเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมจึงจะรวมพิจารณาได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากทรัพย์สินที่เช่าและเรียกค่าเสียหายเพราะครบกำหนดการเช่าตามสัญญาและโจทก์บอกกล่าวแก่จำเลยแล้วแต่จำเลยเพิกเฉยเสีย จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน ไม่มีอำนาจฟ้องการบอกเลิกการเช่าไม่ชอบ โจทก์ไม่เสียหาย ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมคำให้การโดยฟ้องแย้งมาในคำร้องว่า เมื่อโจทก์ต้องการให้จำเลยออกจากที่ดิน โจทก์ต้องชดใช้ค่าถมที่ดินให้จำเลยเป็นเงิน 55,000 บาท กับให้โจทก์ใช้เงินที่ยืมจำเลยไปอีก 5,000 บาท ที่จำเลยยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมคำให้การก็เพื่อให้ศาลสั่งรับฟ้องแย้งของจำเลย จำเลยฟ้องแย้งขอให้โจทก์ใช้เงินค่าถมที่ดินให้จำเลย เมื่อจำเลยต้องออกไปจากที่ดินนั้น เป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข ส่วนที่จำเลยฟ้องแย้งขอให้โจทก์ใช้เงินยืมให้จำเลยก็เป็นเรื่องอื่น คำฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวข้องกันกับฟ้องเดิม พอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 218/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย้งต้องเกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม ศาลไม่รับฟ้องแย้งที่ไม่เชื่อมโยงกัน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากทรัพย์สินที่เช่าและเรียกค่าเสียหายเพราะครบกำหนดการเช่าตามสัญญาและโจทก์บอกกล่าวแก่จำเลยแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยเสีย จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน ไม่มีอำนาจฟ้อง. การบอกเลิกการเช่าไม่ชอบโจทก์ไม่เสียหาย ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมคำให้การโดยฟ้องแย้งมาในคำร้องว่า เมื่อโจทก์ต้องการให้จำเลยออกจากที่ดิน โจทก์ต้องชดใช้ค่าถมที่ดินให้จำเลยเป็นเงิน 55,000 บาท กับให้โจทก์ใช้เงินที่ยืมจำเลยไปอีก 5,000 บาท ที่จำเลยยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมคำให้การก็เพื่อให้ศาลสั่งรับฟ้องแย้งของจำเลย จำเลยฟ้องแย้งขอให้โจทก์ใช้เงินค่าถมที่ดินให้จำเลย เมื่อจำเลยต้องออกไปจากที่ดินนั้น เป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข ส่วนที่จำเลยฟ้องแย้งขอให้โจทก์ใช้เงินยืมให้จำเลยก็เป็นเรื่องอื่นคำฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวข้องกันกับฟ้องเดิม พอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้