คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ขจร หะวานนท์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,047 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 638/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตีความ "อัตราเดิม" ในสัญญาจ้าง: หลักเกณฑ์ปรับค่าจ้างตามอัตราขั้นต่ำ
บันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างโจทก์จำเลยในการปรับค่าจ้างเป็นรายเดือนแก่ลูกจ้างรายวันมีว่า "ลูกจ้างรายวันที่ได้รับค่าจ้างตั้งแต่วันละ 47 บาทขึ้นไปทั้งนี้หากต่อไปมีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่เป็นวันละเกิน 35 บาทแล้ว การพิจารณาปรับค่าจ้างเป็นรายเดือนแก่ลูกจ้างรายวันจะถือเอาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสุดที่บริษัทปรับให้แก่ลูกจ้างเนื่องจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่รวมกับอัตราเดิมเป็นเกณฑ์การพิจารณา" คำว่าอัตราเดิมตามข้อตกลงดังกล่าวหมายถึงอัตราค่าจ้างวันละ47 บาท ที่กำหนดไว้ในตอนต้นนั้นเองไม่ใช่อัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างหรือโจทก์แต่ละคนได้รับขณะทำข้อตกลงเพราะค่าจ้างที่โจทก์แต่ละคนได้รับไม่ได้ถูกนำมาระบุไว้ในบันทึกข้อตกลงอันจะถือให้เห็นว่าเป็นอัตราเดิมเมื่อมีการปรับค่าจ้างใหม่จึงต้องนำค่าจ้างขั้นต่ำที่สุดที่ปรับให้มารวมกับอัตราค่าจ้าง 47 บาทและกลายเป็นอัตราเดิมตามข้อตกลงนี้ต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 608/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้างฐานหย่อนความสามารถ ต้องพิจารณาเหตุผลที่แท้จริง หากเป็นการลงโทษทางวินัย จะไม่เข้าข่ายต้องจ่ายค่าชดเชย
การที่ ท.เป็นลูกจ้างจำเลย.จำเลยให้ท. ออกจากงาน ท.ตาย.โจทก์ซึ่งเป็นภรรยาและบุตรของท. ฟ้อง เรียกค่าชดเชยเมื่อเลิกจ้างจากจำเลยตามกฎหมายแรงงานนั้นจะต้องนำกฎหมายคุ้มครองแรงงานมาใช้บังคับ
การที่จำเลยมีคำสั่งให้ ท. ออกจากงานโดยในข้อความตอนต้นของคำสั่งกล่าวถึงกรณีที่ ท. กระทำผิดวินัยขาดงาน และแจ้งลาป่วยผิดระเบียบ หากอยู่ต่อไปก็จะเกิดการเสียหายแก่งาน จึงให้ออกจากงานฐานหย่อนความสามารถในอันจะปฏิบัติหน้าที่ของตน ดังนี้คำสั่งในตอนต้นเป็นเพียงพฤติการณ์แสดงให้เห็นถึงความประพฤติของ ท. ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้หย่อนความสามารถ คำสั่งให้ออกจากงานของจำเลยดังกล่าว จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการให้ออกเพราะกระทำผิดระเบียบและวินัยโดยฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานตามข้อ 47(3) แห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานลงวันที่ 16 เมษายน 2515 จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 602/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์สินหลังการซื้อขาย: การยึดโดยชอบตามกฎหมายและการโอนสิทธิที่ใช้ยันเจ้าหนี้ไม่ได้
การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดเฉพาะบ้านซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์อื่นอันอยู่ในที่ดิน และได้แจ้งการยึดแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาและนายอำเภอท้องที่ ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 71(2) ด้วย ดังนี้ถือได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งการยึดโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 304 แล้ว หาจำต้อง แจ้งการยึดต่อเจ้าพนักงานที่ดินอีกไม่
การที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ก่อให้เกิดโอนหรือเปลี่ยนแปลง ซึ่งสิทธิในทรัพย์สินที่ถูกยึดภายหลังที่ได้ทำการยึดไว้ แล้ว หาอาจใช้ยันเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 600/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่และความรับผิดของผู้อำนวยการ/ผู้จัดการคณะบุคคลในการยื่นภาษีและเสียภาษีในนามคณะบุคคล รวมถึงความรับผิดร่วมของหุ้นส่วน
โจทก์เป็นผู้อำนวยการหรือผู้จัดการของคณะบุคคลซึ่งมีเงินได้พึงประเมินจึงมีหน้าที่ยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมิน ตลอดทั้งเสียภาษีในชื่อของคณะบุคคลนั้นจากยอดเงินได้พึงประเมินทั้งสิ้น เสมือนเป็นบุคคลธรรมดาคนเดียว โดยไม่มีการแบ่งแยก เมื่อรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินของคณะบุคคลตามแบบที่ยื่นไม่ถูกต้องตามความจริง เจ้าพนักงานประเมินเมื่อได้จัดการตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 แล้ว ย่อมมีอำนาจทำการประเมินแจ้งจำนวนเงินเรียกเก็บภาษีเพิ่มไปยังโจทก์ตามมาตรา 20 แห่งประมวลรัษฎากรทั้งนี้โดยโจทก์มีหน้าที่และความรับผิดชอบตามมาตรา 56 วรรคสอง
การที่ มาตรา 56 วรรคสอง บัญญัติให้หุ้นส่วนหรือบุคคลในคณะบุคคล ร่วมรับผิดในเงินภาษีที่ค้างชำระด้วย ไม่ทำให้หน้าที่และความรับผิดของโจทก์เปลี่ยนแปลงไป เจ้าพนักงานประเมินหาจำต้องเรียกให้หุ้นส่วนหรือบุคคลในคณะบุคคลมาร่วมรับผิดกับโจทก์ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 579/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้าง: การพิสูจน์เจตนาฝ่าฝืนระเบียบ และข้อความในเอกสารที่ไม่เข้าข่ายการปลุกปั่น
ลูกจ้างมีเจตนาฝ่าฝืนระเบียบของนายจ้างหรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ข้อความในใบปลิวเป็นแต่แถลงผลการเจรจา และขอให้ต่อสู้ต่อไปไม่เป็นการผิดระเบียบที่จะเลิกจ้าง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 574/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการเปลี่ยนแปลงฐานะทางกฎหมายของโจทก์ ทำให้เกิดเหตุสมควรงดการบังคับคดีได้
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท ซึ่งโจทก์เช่ามาจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยในระหว่างการบังคับคดีปรากฏว่าสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์บอกเลิกสัญญาเช่าที่พิพาทกับโจทก์ โจทก์จึงไม่อาจอ้างถึงมูลอันชอบด้วยกฎหมายเพื่อให้ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์จากที่พิพาทต่อไป กรณี มีเหตุสมควรงดการบังคับคดีไว้ เพราะจำเลยอาจติดต่อขออยู่ในที่พิพาท ได้ในฐานะเป็นผู้มีสิทธิโดยตรงจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 513/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การย้ายงานข้ามบริษัทในเครือถือเป็นการเลิกจ้าง และสิทธิในการรับค่าชดเชย รวมถึงค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปี
เหตุที่จำเลยย้ายโจทก์ไปทำงานที่บริษัทอื่นก็เนื่องมา จากจำเลยไม่พอใจผลงานของโจทก์ แม้บริษัทนั้นจะอยู่ในเครือเดียวกันกับจำเลยแต่ก็เป็นนิติบุคคลต่างหากจากกันในการเข้าทำงานโจทก์ก็ต้องทำสัญญาเป็นการตกลงจ้างกันใหม่ การย้ายดังกล่าวจึงเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ไม่ประสงค์จะจ้างโจทก์ต่อไปหรือให้โจทก์ออกจากงาน ถึงหากโจทก์จะสมัครใจทำงานใหม่ก็เป็นการสมัครใจหลังจากที่จำเลยไม่ประสงค์จะจ้างโจทก์ต่อไปแล้วและหาได้มีข้อความใดเป็นการตกลงให้นับระยะเวลาทำงานกับจำเลยต่อเนื่องกับระยะเวลาทำงานกับบริษัทใหม่ไม่ จึงมิใช่เป็นการสมัครใจย้ายที่ทำงานของโจทก์ หากเป็นผลจากการเลิกจ้างของจำเลย โจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้รับค่าชดเชยจากจำเลย
เมื่อจำเลยจ่ายค่าพาหนะและค่าคอมมิชชั่นให้โจทก์เป็นประจำทุกเดือน มิใช่เป็นครั้งคราว หรือโดยมีเงื่อนไขว่าถ้าหากโจทก์มิได้ไปติดต่อลูกค้านอกสถานที่ทำงานจะไม่ได้รับค่าพาหนะและค่าคอมมิชชั่น และจำเลยได้จ่ายเช่นนี้มาตั้งแต่โจทก์เข้าทำงานจนเลิกจ้างจึงถือได้ว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์เป็นการตอบแทนการทำงาน อันเป็นค่าจ้างเพียงแต่เรียกชื่อเป็นอย่างอื่นเท่านั้น จึงต้องนำเงินนี้มารวมกับเงินเดือนเป็นฐานคำนวณค่าชดเชยด้วย
ข้อบังคับของจำเลยมีความว่า พนักงานที่ทำงานติดต่อกันเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี มีสิทธิพักผ่อนประจำปี โดยได้รับค่าจ้างเต็มวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่ยังไม่ ได้ใช้จะเก็บสะสมไว้ในปีต่อไปไม่ได้ดังนี้พนักงานที่ทำงานมาเป็นเวลา 1 ปี กับ 1 วัน ก็ย่อมมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ ไม่จำต้องทำงานต่อไปจนครบอีก1 ปี และการที่พนักงานมิได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีนั้นก็เป็นแต่เพียงจะนำไปเก็บสะสม ไว้ใช้ในปีต่อไปไม่ได้เท่านั้นเองหาเสียสิทธิที่จะได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีอีกไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 513/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การย้ายงานข้ามบริษัทในเครือถือเป็นการเลิกจ้าง สิทธิค่าชดเชยและค่าหยุดพักผ่อน
เหตุที่จำเลยย้ายโจทก์ไปทำงานที่บริษัทอื่นก็เนื่องมา จากจำเลยไม่พอใจผลงานของโจทก์ แม้บริษัทนั้นจะอยู่ในเครือเดียวกันกับจำเลยแต่ก็เป็นนิติบุคคลต่างหากจากกันในการเข้าทำงานโจทก์ก็ต้องทำสัญญาเป็นการตกลงจ้างกันใหม่ การย้ายดังกล่าวจึงเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ไม่ประสงค์จะจ้างโจทก์ต่อไปหรือให้โจทก์ออกจากงาน ถึงหากโจทก์จะสมัครใจทำงานใหม่ก็เป็นการสมัครใจหลังจากที่จำเลยไม่ประสงค์จะจ้างโจทก์ต่อไปแล้วและหาได้มีข้อความใดเป็นการตกลงให้นับระยะเวลาทำงานกับจำเลยต่อเนื่องกับระยะเวลาทำงานกับบริษัทใหม่ไม่ จึงมิใช่เป็นการสมัครใจย้ายที่ทำงานของโจทก์ หากเป็นผลจากการเลิกจ้างของจำเลย โจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้รับค่าชดเชยจากจำเลย
เมื่อจำเลยจ่ายค่าพาหนะและค่าคอมมิชชั่นให้โจทก์เป็นประจำทุกเดือน มิใช่เป็นครั้งคราว หรือโดยมีเงื่อนไขว่าถ้าหากโจทก์มิได้ไปติดต่อลูกค้านอกสถานที่ทำงานจะไม่ได้รับค่าพาหนะและค่าคอมมิชชั่น และจำเลยได้จ่ายเช่นนี้มาตั้งแต่โจทก์เข้าทำงานจนเลิกจ้างจึงถือได้ว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์เป็นการตอบแทนการทำงาน อันเป็นค่าจ้างเพียงแต่เรียกชื่อเป็นอย่างอื่นเท่านั้น จึงต้องนำเงินนี้มารวมกับเงินเดือนเป็นฐานคำนวณค่าชดเชยด้วย
ข้อบังคับของจำเลยมีความว่า พนักงานที่ทำงานติดต่อกันเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี มีสิทธิพักผ่อนประจำปี โดยได้รับค่าจ้างเต็ม วันหยุดพักผ่อนประจำปีที่ยังไม่ ได้ใช้จะเก็บสะสมไว้ในปีต่อไปไม่ได้ ดังนี้พนักงานที่ทำงานมาเป็นเวลา 1 ปี กับ 1 วัน ก็ย่อมมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีได้ ไม่จำต้องทำงานต่อไปจนครบอีก 1 ปี และการที่พนักงานมิได้ใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีนั้นก็เป็นแต่เพียงจะนำไปเก็บสะสม ไว้ใช้ในปีต่อไปไม่ได้เท่านั้นเอง หาเสียสิทธิที่จะได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีอีกไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 500/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาออกเช็คชำระหนี้แม้มีเงินไม่พอ การกระทำเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค
ออกเช็คลงวันล่วงหน้าเพื่อชำระหนี้ ถึงกำหนดโจทก์นำเช็คเข้าบัญชี ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เพราะเงินไม่พอจ่ายในวันออกเช็ค เป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้และการบังคับให้โอนที่ดินหลังชำระราคา
เดิมห.ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทจากจำเลย ตามเอกสารหมาย จ.3 ชำระราคาแล้ว ต่อมา ผ. ทำสัญญาจะซื้อขายต่อจากห.ชำระราคาแล้วตามเอกสารหมายจ.2 ต่อมาโจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายต่อจาก ผ. ได้ชำระราคาให้ ผ. แล้ว ตามเอกสารหมาย จ.1ในที่สุดโจทก์กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายกันอีกตามเอกสารหมายจ.4ระบุว่าจำเลยได้รับเงินถูกต้องแล้ว ต่อมาจำเลยไม่ยอมโอนที่ดินให้โจทก์เช่นนี้ การที่จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทให้ ห. และ ห.ทำสัญญาจะขายให้ ผ. กับ ผ. ทำสัญญาจะขายให้โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.3 จ.2 และ จ.1ตามลำดับ เป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้แล้วโดยถือว่าหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินที่ ห.ทำกับ ผ.และที่ ผ. ทำกับโจทก์ เป็นหนังสือที่ทำขึ้นในการแปลงหนี้ใหม่ดังกล่าว โจทก์เป็นเจ้าหนี้คนใหม่แล้ว และที่จำเลยทำหนังสือสัญญาเอกสารหมาย จ.4 ระบุว่าโจทก์ได้ชำระราคาแล้วแต่ไม่ได้ชำระ เพราะความจริงจำเลยได้รับชำระจาก ห. แล้วถือว่าเอกสารหมาย จ.4 เป็นความยินยอมที่ทำเป็นหนังสือในการแปลงหนี้ใหม่ จึงเกิดหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลย โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์ได้
of 205