พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,047 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1274/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างคู่สมรสมีผลผูกพันและสิทธิในทรัพย์สินย่อมตกเป็นไปตามสัญญา
โจทก์เคยฟ้องหย่าจำเลย ในที่สุดได้ทำสัญญาไว้ต่อกันเป็นข้อสารสำคัญว่า โจทก์จำเลยยอมคืนดีเป็นสามีภริยากันดังเดิม และข้อความในหนังสือสัญญานั้นได้กล่าวไว้ชัดว่าเป็นสัญญาที่ทำขึ้นเพื่อระงับการฟ้องหย่าระหว่างโจทก์จำเลย ไม่ต้องเป็นความกันต่อไป โจทก์จำเลยจึงได้ตกลงแบ่งปันทรัพย์สินกันเป็นสัดส่วน กล่าวคือให้โจทก์ได้วัวที่มีตัวพิมพ์รูปพรรณ 16 ตัว ฯลฯ นอกจากทรัพย์ดังกล่าวนี้แล้ว โจทก์ไม่ขอเอาอีกต่อไป หนังสือสัญญานี้จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850
ข้อความในสัญญาที่ว่าจำเลยและโจทก์ได้ตกลงพร้อมใจกันทำหนังสือยกทรัพย์สินสมรสและสินเดิมให้แก่โจทก์ ฯลฯ นอกจากทรัพย์ที่โจทก์ได้รับไปนี้แล้ว ไม่ขอเอาอีกต่อไป เห็นว่าเมื่อข้อสัญาระบุชัดว่าโจทก์จะไม่เอาทรัพย์อื่นนอกจากที่โจทก์ได้รับตามสัญญานี้ ก็เท่ากับยอมให้ทรัพย์พิพาทอันเป็นทรัพย์ที่มีอยู่แล้วในขณะที่ทำสัญญานั้น ตกเป็นสิทธิของจำเลยฝ่ายเดียว โจทก์จะมาฟ้องขอแบ่งทรัพย์พิพาทอีกไม่ได้
สัญญาที่ทำไว้ต่อกันระหว่างที่โจทก์จำเลยยังเป็นสามีภริยากันอยู่ เมื่อไม่บอกล้างภายในกำหนดหนึ่งปี นับแต่วันขาดจากการสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461 ก็ต้องถือว่ายังคงบังคับได้อยู่เสมอ (ข้อกฎหมายตามวรรค 2 และ 3 วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 10/2521)
ข้อความในสัญญาที่ว่าจำเลยและโจทก์ได้ตกลงพร้อมใจกันทำหนังสือยกทรัพย์สินสมรสและสินเดิมให้แก่โจทก์ ฯลฯ นอกจากทรัพย์ที่โจทก์ได้รับไปนี้แล้ว ไม่ขอเอาอีกต่อไป เห็นว่าเมื่อข้อสัญาระบุชัดว่าโจทก์จะไม่เอาทรัพย์อื่นนอกจากที่โจทก์ได้รับตามสัญญานี้ ก็เท่ากับยอมให้ทรัพย์พิพาทอันเป็นทรัพย์ที่มีอยู่แล้วในขณะที่ทำสัญญานั้น ตกเป็นสิทธิของจำเลยฝ่ายเดียว โจทก์จะมาฟ้องขอแบ่งทรัพย์พิพาทอีกไม่ได้
สัญญาที่ทำไว้ต่อกันระหว่างที่โจทก์จำเลยยังเป็นสามีภริยากันอยู่ เมื่อไม่บอกล้างภายในกำหนดหนึ่งปี นับแต่วันขาดจากการสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461 ก็ต้องถือว่ายังคงบังคับได้อยู่เสมอ (ข้อกฎหมายตามวรรค 2 และ 3 วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 10/2521)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1274/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความและผลผูกพันหลังหย่า: ทรัพย์สินที่ตกลงยกให้ย่อมตกเป็นสิทธิของอีกฝ่าย
โจทก์เคยฟ้องหย่าจำเลย ในที่สุดได้ทำสัญญาไว้ต่อกันเป็นข้อสารสำคัญว่า โจทก์จำเลยยอมคืนดีเป็นสามีภริยากันดังเดิม และข้อความในหนังสือสัญญานั้นได้กล่าวไว้ชัดว่าเป็นสัญญาที่ทำขึ้นเพื่อระงับการฟ้องหย่าระหว่างโจทก์จำเลยไม่ต้องเป็นความกันต่อไป โจทก์จำเลยจึงได้ตกลงแบ่งปันทรัพย์สินกันเป็นสัดส่วน กล่าวคือให้โจทก์ได้วัวที่มีตั๋วพิมพ์รูปพรรณ 16 ตัว ฯลฯ นอกจากทรัพย์ดังกล่าวนี้แล้วโจทก์ไม่ขอเอาอีกต่อไป หนังสือสัญญานี้จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850
ข้อความในสัญญาที่ว่าจำเลยและโจทก์ได้ตกลงพร้อมใจกันทำหนังสือยกทรัพย์สินสมรสและสินเดิมให้แก่โจทก์ ฯลฯ นอกจากทรัพย์ที่โจทก์ได้รับไปนี้แล้ว ไม่ขอเอาอีกต่อไปเห็นว่าเมื่อข้อสัญญาระบุชัดว่าโจทก์จะไม่เอาทรัพย์อื่นนอกจากที่โจทก์ได้รับตามสัญญานี้ ก็เท่ากับยอมให้ทรัพย์พิพาทอันเป็นทรัพย์ที่มีอยู่แล้วในขณะที่ทำสัญญานั้น ตกเป็นสิทธิของจำเลยฝ่ายเดียว โจทก์จะมาฟ้องขอแบ่งทรัพย์พิพาทอีกไม่ได้
สัญญาที่ทำไว้ต่อกัน ระหว่างที่โจทก์จำเลยยังเป็นสามีภริยากันอยู่ เมื่อไม่บอกล้างภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันขาดจากการสมรส ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461 ก็ต้องถือว่ายังคงบังคับได้อยู่เสมอ (ข้อกฎหมายตามวรรค 2 และ 3 วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 10/2521)
ข้อความในสัญญาที่ว่าจำเลยและโจทก์ได้ตกลงพร้อมใจกันทำหนังสือยกทรัพย์สินสมรสและสินเดิมให้แก่โจทก์ ฯลฯ นอกจากทรัพย์ที่โจทก์ได้รับไปนี้แล้ว ไม่ขอเอาอีกต่อไปเห็นว่าเมื่อข้อสัญญาระบุชัดว่าโจทก์จะไม่เอาทรัพย์อื่นนอกจากที่โจทก์ได้รับตามสัญญานี้ ก็เท่ากับยอมให้ทรัพย์พิพาทอันเป็นทรัพย์ที่มีอยู่แล้วในขณะที่ทำสัญญานั้น ตกเป็นสิทธิของจำเลยฝ่ายเดียว โจทก์จะมาฟ้องขอแบ่งทรัพย์พิพาทอีกไม่ได้
สัญญาที่ทำไว้ต่อกัน ระหว่างที่โจทก์จำเลยยังเป็นสามีภริยากันอยู่ เมื่อไม่บอกล้างภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันขาดจากการสมรส ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461 ก็ต้องถือว่ายังคงบังคับได้อยู่เสมอ (ข้อกฎหมายตามวรรค 2 และ 3 วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 10/2521)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1256/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่มาศาลของโจทก์ในการสืบพยานจำเลย ไม่ถือเป็นเหตุยกฟ้อง
โจทก์ไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานจำเลย โจทก์ไม่มีหน้าที่ปฏิบัติต่อศาล โจทก์เสียสิทธิซักค้านพยานจำเลย แต่ไม่ยกฟ้องเพราะเหตุนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1133/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับมรดกโดยไม่ชอบ โจทก์มีสิทธิขอเพิกถอนการจดทะเบียนได้
การที่จำลยยื่นเรื่องราวขอรับมรดกของเจ้ามรดกในที่ดินพิพาทและจดทะเบียนโอนรับมรดกที่ดินพิพาทมา ตลอดจนการยอมรับว่าบิดาจำเลยเป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่แทนในนามของเจ้ามรดกตลอดมา เท่ากับเป็นการยอมรับความเป็นเจ้าของของเจ้ามรดก มิใช่เป็นการครอบครองในลักษณะเป็นปรปักษ์ต่อเจ้ามรดก จำเลยจึงไม่อาจอ้างการได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
หลังจากเจ้ามรดกตายมีทายาทอื่นที่มิใช่โจทก์จำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่อมา โฉนดที่ดินพิพาทยังคงมีชื่อเจ้ามรดกถือกรรมสิทธิ์ และจำเลยเพิ่งจะยื่นขอโอนรับมรดก แสดงว่าที่ดินพิพาทยังเป็นของเจ้ามรดกอันจะพึงตกได้แก่บรรดาทายาทซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าของร่วมกันมา ในเบื้องต้นต้องถือว่าได้ครอบครองไว้แทนกัน
การที่จำเลยซึ่งมิใช่ทายาทของเจ้ามรดก เอาที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนโอนรับมรดกโดยปราศจากความรู้เห็นยินยอมของทายาทที่แท้จริง แล้วจดทะเบียนโอนยกให้แก่ ข. โจทก์ซึ่งเป็นทายาทของเจ้ามรดกชอบที่จะขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนรับมรดก และการจดทะเบียนการให้นั้นเสียได้ เพราะจำเลยได้สิทธิมาโดยไม่ชอบ ข.ผู้รับโอนที่ดินจากจำเลยย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน
หลังจากเจ้ามรดกตายมีทายาทอื่นที่มิใช่โจทก์จำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่อมา โฉนดที่ดินพิพาทยังคงมีชื่อเจ้ามรดกถือกรรมสิทธิ์ และจำเลยเพิ่งจะยื่นขอโอนรับมรดก แสดงว่าที่ดินพิพาทยังเป็นของเจ้ามรดกอันจะพึงตกได้แก่บรรดาทายาทซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าของร่วมกันมา ในเบื้องต้นต้องถือว่าได้ครอบครองไว้แทนกัน
การที่จำเลยซึ่งมิใช่ทายาทของเจ้ามรดก เอาที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนโอนรับมรดกโดยปราศจากความรู้เห็นยินยอมของทายาทที่แท้จริง แล้วจดทะเบียนโอนยกให้แก่ ข. โจทก์ซึ่งเป็นทายาทของเจ้ามรดกชอบที่จะขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนรับมรดก และการจดทะเบียนการให้นั้นเสียได้ เพราะจำเลยได้สิทธิมาโดยไม่ชอบ ข.ผู้รับโอนที่ดินจากจำเลยย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1133/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับมรดกโดยไม่ชอบและสิทธิของทายาทที่แท้จริง ศาลมีอำนาจเพิกถอนการจดทะเบียน
การที่จำเลยยื่นเรื่องราวขอรับมรดกของเจ้ามรดกในที่ดินพิพาทและจดทะเบียนโอนรับมรดกที่ดินพิพาทมา ตลอดจนการยอมรับว่าบิดาจำเลยเป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่แทนในนามของเจ้ามรดกตลอดมา เท่ากับเป็นการยอมรับความเป็นเจ้าของของเจ้ามรดก มิใช่เป็นการครอบครองในลักษณะเป็นปรปักษ์ต่อเจ้ามรดก จำเลยจึงไม่อาจอ้างการได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
หลังจากเจ้ามรดกตาย มีทายาทอื่นที่มิใช่โจทก์จำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่อมา โฉนดที่ดินพิพาทยังคงมีชื่อเจ้ามรดกถือกรรมสิทธิ์ และจำเลยเพิ่งจะยื่นขอโอนรับมรดก แสดงว่าที่ดินพิพาทยังเป็นของเจ้ามรดกอันจะพึงตกได้แก่บรรดาทายาทซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าของร่วมกันมา ในเบื้องต้นต้องถือว่าได้ครอบครองไว้แทนกัน
การที่จำเลยซึ่งมิใช่ทายาทของเจ้ามรดก เอาที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนโอนรับมรดกโดยปราศจากความรู้เห็นยินยอมของทายาทที่แท้จริง แล้วจดทะเบียนโอนยกให้แก่ ข. โจทก์ซึ่งเป็นทายาทของเจ้ามรดกชอบที่จะขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนรับมรดกและการจดทะเบียนการให้นั้นเสียได้ เพราะจำเลยได้สิทธิมาโดยไม่ชอบ ข. ผู้รับโอนที่ดินจากจำเลยย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน
หลังจากเจ้ามรดกตาย มีทายาทอื่นที่มิใช่โจทก์จำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่อมา โฉนดที่ดินพิพาทยังคงมีชื่อเจ้ามรดกถือกรรมสิทธิ์ และจำเลยเพิ่งจะยื่นขอโอนรับมรดก แสดงว่าที่ดินพิพาทยังเป็นของเจ้ามรดกอันจะพึงตกได้แก่บรรดาทายาทซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าของร่วมกันมา ในเบื้องต้นต้องถือว่าได้ครอบครองไว้แทนกัน
การที่จำเลยซึ่งมิใช่ทายาทของเจ้ามรดก เอาที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนโอนรับมรดกโดยปราศจากความรู้เห็นยินยอมของทายาทที่แท้จริง แล้วจดทะเบียนโอนยกให้แก่ ข. โจทก์ซึ่งเป็นทายาทของเจ้ามรดกชอบที่จะขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนรับมรดกและการจดทะเบียนการให้นั้นเสียได้ เพราะจำเลยได้สิทธิมาโดยไม่ชอบ ข. ผู้รับโอนที่ดินจากจำเลยย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 859/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกเคหสถานและการทำร้ายร่างกาย แม้ฟ้องไม่ตรงมาตรา ศาลลงโทษได้ตามบทที่บรรยายฟ้อง
จำเลยมีปืนเข้าไปในห้องนอนผู้เสียหายเวลา 2 น.ขู่ไม่ให้ร้องจำเลยใช้กระบอกไฟฉายตีผู้เสียหายบาดเจ็บ ดังนี้ไม่เป็นการรบกวนการครอบครอง แต่เป็นการเข้าไปในเคหสถานโดยไม่มีเหตุอันควร เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา364,365 แม้ไม่อ้าง มาตรา364 แต่บรรยายข้อเท็จจริงในฟ้องเข้า มาตรา364 ศาลลงโทษตาม มาตรา364, 365 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา192วรรค 4เป็นกรรมเดียวกับ ม.295 ลงโทษตาม ม.365 ซึ่งเป็นบทหนัก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 848/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขนส่งหลายทอดในกรณีสินค้าสูญหายระหว่างการขนส่ง
เมื่อบริษัทเรือเดินทะเลผู้รับจ้างขนส่งนำสินค้ามาถึงประเทศไทยแล้ว บริษัทจำเลยเป็นผู้ขนส่งสินค้าจากเรือเดินทะเลยไปส่งมอบให้กับผู้รับตราส่ง โดยวิธีแจ้งการมาถึงของสินค้าให้ผู้รับตราส่งทราบ กับจัดการขนสินค้าจากเรือไปเก็บไว้ที่คลังสินค้าของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ต่อเมื่อผู้รับตราส่งนำใบตราส่งมามอบให้บริษัทจำเลย จะออกใบรับของ (DELIVERY ORDER) ให้ไปรับสินค้าได้ การส่งสินค้าดังกล่าวจึงเป็นการขนส่งหลายทอด ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 618 บัญญัติว่า "ถ้าของนั้นได้ส่งไปโดยมีผู้ขนส่งหลายคนหลายทอด ผู้ขนส่งนั้นจะต้องรับผิดร่วมกันในการสูญหาญ บุบสลาย หรือส่งชักช้า" ฉะนั้น เมื่อมีการสูญหายในสินค้าดังกล่าว บริษัทจำเลยจึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในการสูญหายของสินค้ารายพิพาทให้บริษัทโจทก์ ซึ่งเป็นผู้รับช่วงสิทธิมาจากผู้รับตราส่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 848/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขนส่งในกรณีขนส่งหลายทอดและการสูญหายของสินค้า
เมื่อบริษัทเรือเดินทะเลผู้รับจ้างขนส่งนำสินค้ามาถึงประเทศไทยแล้วบริษัทจำเลยเป็นผู้ขนส่งสินค้าจากเรือเดินทะเลไปส่งมอบให้กับผู้รับตราส่ง โดยวิธีแจ้งการมาถึงของสินค้าให้ผู้รับตราส่งทราบ กับจัดการขนสินค้าจากเรือไปเก็บไว้ที่คลังสินค้าของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ต่อเมื่อผู้รับตราส่งนำใบตราส่งมามอบให้บริษัทจำเลยจะออกใบรับของ (DELIVERYORDER) ให้ไปรับสินค้าได้ การส่งสินค้าดังกล่าวจึงเป็นการขนส่งหลายทอด ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 618 บัญญัติว่า"ถ้าของนั้นได้ส่งไปโดยมีผู้ขนส่งหลายคนหลายทอด ผู้ขนส่งนั้นจะต้องรับผิดร่วมกันในการสูญหาย บุบสลาย หรือส่งชักช้า" ฉะนั้น เมื่อมีการสูญหายในสินค้าดังกล่าว บริษัทจำเลยจึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในการสูญหายของสินค้ารายพิพาทให้บริษัทโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับช่วงสิทธิมาจากผู้รับตราส่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 788/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงให้เจ้าพนักงานรังวัดเป็นข้อวินิจฉัยเด็ดขาด: การยอมรับผลการรังวัดที่ดินเพื่อใช้เป็นข้อพิสูจน์ในคดี
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้รื้อร้านค้าออกจากที่ดินของโจทก์ ฝ่ายจำเลยให้การว่าที่ดินไม่ใช่ของโจทก์ เมื่อคู่ความตกลงท้ากันให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดและเจ้าพนักงานสรรพากรจังหวัดไปตรวจสอบว่าร้านค้าของจำเลยอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์ตามโฉนดที่ 47 หรือไม่ ถ้าอยู่ในเขตโฉนด โฉนดส่วนนี้รุกล้ำที่ดินราชพัสดุหรือไม่ หากปรากฏว่าร้านค้าของจำเลยอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์และไม่ได้รุกล้ำที่ดินราชพัสดุ จำเลยยอมแพ้คดีดังนี้ ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยรับข้อเท็จจริงกันในศาลโดยถือเอาการรังวัดตรวจสอบของเจ้าพนักงานที่ดินและเจ้าพนักงานสรรพากรเป็นข้อแพ้ชนะระหว่างกันฉะนั้น เมื่อเจ้าพนักงานดังกล่าวทำการรังวัดตรวจสอบแล้ว ปรากฏว่าร้านค้าของจำเลยปลูกในที่ดินเขตโฉนดของโจทก์และไม่ได้รุกล้ำที่ดินราชพัสดุ จำเลยก็ต้องแพ้คดี จะอ้างว่าเจ้าพนักงานสรรพากรจังหวัดไม่มีอำนาจชี้ขาดเขตที่ดินหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 788/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงให้เจ้าพนักงานรังวัดเป็นข้อแพ้ชนะ: ศาลยึดผลรังวัดเป็นเหตุตัดสินคดีขับไล่
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้รื้อร้านค้าออกจากที่ดินของโจทก์ ฝ่ายจำเลยให้การว่าที่ดินไม่ใช่ของโจทก์ เมื่อคู่ความตกลงท้ากันให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดและเจ้าพนักงานสรรพากรจังหวัดไปตรวจสอบว่าร้านค้าของจำเลยอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์ตาโฉนดที่ 47 หรือไม่ ถ้าอยู่ในเขตโฉนด โฉนดส่วนนี้รุกกล้าที่ดินราชพัสดุหรือไม่ หากปรากฏว่าร้านค้าของจำเลยอยู่ในเขตโฉนดของโจกท์และไม่ได้รุกล้ำที่ดินราชพัสดุ จำเลยยอมแพ้คดีดังนี้ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยรับข้อเท็จจริงกันในศาลโดยถือเอาการรังวัดตรวจสอบของเจ้าพนักงานที่ดินและเจ้าพนักงานสรรพากรเป็นข้อแพ้ชนะระหว่างกัน ฉะนั้น เมื่อเจ้าพนักงานดังกล่าวการรังวัดตรวจสอบแล้ว ปรากฏว่าร้านค้าของจำเลยปลูกในที่ดินเขตโฉนดของโจทก์และไม่ได้รุกล้ำที่ดินราชพัสดุ จำเลยก็ต้องแพ้คดี จะอ้างว่าเจ้าพนักงานสรรพากรจังหวัดไม่มีอำนาจชี้ขาดเขตที่ดินหาได้ไม่