พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,047 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 172/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องสอดคดี: สิทธิในการต่อสู้คดีเพื่อรักษาสิทธิของตน และการรับคำร้องสอดเมื่อยังไม่มีการสืบพยาน
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การผู้ร้องยื่นคำร้องว่าที่พิพาทและสิ่งปลูกสร้างบนที่พิพาทเป็นของผู้ร้องจึงขอเข้าเป็นจำเลยเพื่อรักษาสงวนสิทธิของผู้ร้องโดยจะยื่นคำให้การภายใน 8 วัน นับแต่ศาลสั่งอนุญาต ดังนี้ เป็นเรื่องที่ผู้ร้องตั้งข้อพิพาทเข้ามาเพื่อต่อสู้คดีกับโจทก์เพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครองสิทธิของตน เป็นการร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) จึงไม่ต้องห้ามตามมาตรา 58 ที่จะใช้สิทธิในทางขัดกับสิทธิของโจทก์หรือจำเลยเดิมดังนั้น แม้จำเลยจะขาดนัดยื่นคำให้การผู้ร้องก็ยังมีสิทธิร้องสอดได้เมื่อคดียังไม่มีการสืบพยานศาลย่อมรับคำร้องไว้พิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 163/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองของรัฐในการเวนคืนที่ดินและการรบกวนการครอบครอง
ที่พิพาทอยู่ในเขตเวนคืนตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลบางหลวงฯ แม้กระทรวงการคลังจะเป็นผู้ซื้อที่ดินที่ถูกเวนคืนรวมทั้งที่พิพาทแล้วมอบให้กรมชลประทานโจทก์สร้างเขื่อนอันเป็นการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฉบับดังกล่าว ก็เป็นการดำเนินการและพิธีการเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินเป็นของรัฐ เมื่อโจทก์ได้เข้าดำเนินการสร้างเขื่อนตามโครงการแล้วจึงเป็นผู้ครอบครองดูแลรักษาที่พิพาท แม้โจทก์จะไม่มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ก็ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารซึ่งเข้าไปตั้งปั๊มน้ำมันเป็นการรบกวนการครอบครองของโจทก์ให้ออกไปจากที่พิพาทได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 163/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินเวนคืน: กรมชลประทานมีสิทธิขับไล่ผู้รบกวนการครอบครอง แม้มิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์
ที่พิพาทอยู่ในเขตเวนคืนตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลบางหลวงฯ แม้กระทรวงการคลังจะเป็นผู้ซื้อที่ดินที่ถูกเวนคืนรวมทั้งที่พิพาทแล้วมอบให้กรมชลประทานโจทก์สร้างเขื่อน อันเป็นการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฉบับดังกล่าว ก็เป็นการดำเนินการและพิธีการเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินเป็นของรัฐ เมื่อโจทก์ได้เข้าดำเนินการสร้างเขื่อนตามโครงการแล้วจึงเป็นผู้ครอบครองดูแลรักษาที่พิพาท แม้โจทก์จะไม่มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ก็ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยและบริวาร ซึ่งเข้าไปตั้งปั๊มน้ำมันเป็นการรบกวนการครอบครองของโจทก์ให้ออกไปจากที่พิพาทได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 129/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโต้แย้งสิทธิในที่ดิน การรับฟ้องคดีที่ดิน และประเด็นการพิสูจน์ว่าเป็นที่สาธารณประโยชน์
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาทจำเลยซึ่งเป็นนายอำเภอสั่งให้โจทก์ออกไปจากที่ดินดังกล่าวอ้างว่าเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์จึงมีประเด็นว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์หรือไม่ ซึ่งจะต้องฟังพยานหลักฐานต่อไป การที่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องว่าโจทก์มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินหรือไม่ ไม่พอให้ถือว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องศาลจึงชอบที่จะรับฟ้องไว้พิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 129/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโต้แย้งสิทธิในที่ดินสาธารณประโยชน์ ศาลรับฟ้องได้ แม้ไม่มีหนังสือสำคัญแสดงสิทธิ
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาท จำเลยซึ่งเป็นนายอำเภอสั่งให้โจทก์ออกไปจากที่ดินดังกล่าวอ้างว่าเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ ถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ จึงมีประเด็นว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์หรือไม่ ซึ่งจะต้องฟังพยานหลักฐานต่อไป การที่โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องว่าโจทก์มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินหรือไม่ ไม่พอให้ถือว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้อง ศาลจึงชอบที่จะรับฟ้องไว้พิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2792/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกที่ดินให้รัฐเพื่อสร้างสถานที่ราชการ และการแย่งการครอบครองที่ดิน การฟ้องเพิกถอน น.ส.3
ทำหนังสือไว้ต่ออำเภอว่า ยินดียกที่ดินมือเปล่าให้แก่ทางราชการ เพื่อใช้เป็นสถานที่ปลูกสร้างสถานที่ราชการต่างๆโดยไม่คิดมูลค่านั้น เป็นการจะยกที่ดินให้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สร้างสถานที่ราชการเท่านั้น เมื่อทางราชการไม่ใช้ที่ดินตามวัตถุประสงค์ของผู้ยกให้และไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องอะไรในที่ดิน ก็ยังถือไม่ได้ว่าที่ดินตกเป็นของทางราชการแล้ว
การนับเวลาฟ้องร้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 1375 ต้องมีพฤติการณ์แสดงออกถึงการแย่งการครอบครองในวันที่จะเริ่มนับเวลาการแย่งการครอบครอง ที่พิพาทโจทก์มีสิทธิครอบครอง การที่เจ้าพนักงานออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) คลุมถึงที่พิพาทให้จำเลยไปโดยโจทก์ไม่ทราบ ไม่ได้มาระวังแนวเขตจำเลยยืนยันให้เจ้าพนักงานทำการรังวัดเอง โดยให้คำรับรองว่าหากเกิดผิดพลาดเสียหายประการใดจำเลยยอมรับผิดชอบเองทั้งสิ้น และไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แสดงการครอบครองที่พิพาทอย่างไร ดังนี้ ฟังไม่ได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครองกำหนดเวลาฟ้องร้องจึงยังไม่เริ่มนับ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 468/2508)
การนับเวลาฟ้องร้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 1375 ต้องมีพฤติการณ์แสดงออกถึงการแย่งการครอบครองในวันที่จะเริ่มนับเวลาการแย่งการครอบครอง ที่พิพาทโจทก์มีสิทธิครอบครอง การที่เจ้าพนักงานออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) คลุมถึงที่พิพาทให้จำเลยไปโดยโจทก์ไม่ทราบ ไม่ได้มาระวังแนวเขตจำเลยยืนยันให้เจ้าพนักงานทำการรังวัดเอง โดยให้คำรับรองว่าหากเกิดผิดพลาดเสียหายประการใดจำเลยยอมรับผิดชอบเองทั้งสิ้น และไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แสดงการครอบครองที่พิพาทอย่างไร ดังนี้ ฟังไม่ได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครองกำหนดเวลาฟ้องร้องจึงยังไม่เริ่มนับ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 468/2508)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2792/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกที่ดินให้ราชการไม่สมบูรณ์หากไม่ใช้ตามวัตถุประสงค์ และการแย่งการครอบครองต้องมีพฤติการณ์ชัดเจน
ทำหนังสือไว้ต่ออำเภอว่า ยินดียกที่ดินมือเปล่าให้แก่ทางราชการ เพื่อใช้เป็นสถานที่ปลูกสร้างสถานที่ราชการต่าง ๆ โดยไม่คิดมูลค่านั้น เป็นการจะยกที่ดินให้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สร้างสถานที่ราชการเท่านั้น เมื่อทางราชการไม่ใช้ที่ดินตามวัตถุประสงค์ของผู้ยกให้และไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องอะไรในที่ดิน ก็ยังถือไม่ได้ว่าที่ดินตกเป็นของทางราชการแล้ว
การนับเวลาฟ้องร้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 1375 ต้องมีพฤติการณ์แสดงออกถึงการแย่งการครอบครองในวันที่จะเริ่มนับเวลาการแย่งการครอบครอง ที่พิพาทโจทก์มีสิทธิ์ครอบครอง การที่เจ้าพนักงานออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) คลุมถึงที่พิพาทให้จำเลยไปโดยโจทก์ไม่ทราบ ไม่ได้มาระวังแนวเขต จำเลยยืนยันให้เจ้าพนักงานทำการรังวัดเอง โดยให้คำรับรองว่าหากเกิดผิดพลาดเสียหายประการใดจำเลยยอมรับผิดชอบเองทั้งสิ้น และไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แสดงการครอบครองที่พิพาทอย่างไร ดังนี้ ฟังไม่ได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครอง กำหนดเวลาฟ้องร้องจึงยังไม่เริ่มนับ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 468/2508)
การนับเวลาฟ้องร้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 1375 ต้องมีพฤติการณ์แสดงออกถึงการแย่งการครอบครองในวันที่จะเริ่มนับเวลาการแย่งการครอบครอง ที่พิพาทโจทก์มีสิทธิ์ครอบครอง การที่เจ้าพนักงานออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) คลุมถึงที่พิพาทให้จำเลยไปโดยโจทก์ไม่ทราบ ไม่ได้มาระวังแนวเขต จำเลยยืนยันให้เจ้าพนักงานทำการรังวัดเอง โดยให้คำรับรองว่าหากเกิดผิดพลาดเสียหายประการใดจำเลยยอมรับผิดชอบเองทั้งสิ้น และไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แสดงการครอบครองที่พิพาทอย่างไร ดังนี้ ฟังไม่ได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครอง กำหนดเวลาฟ้องร้องจึงยังไม่เริ่มนับ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 468/2508)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2663/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างประจำเนื่องจากทุจริตและฝ่าฝืนระเบียบอย่างร้ายแรง นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
พนักงานของธนาคารจำเลย สาขานนทบุรีผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการ ทำหนังสือร้องเรียนว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ทำให้ธนาคารจำเลยเสียหายกรรมการผู้จัดการธนาคารจำเลยสั่งให้เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของธนาคารไปสอบสวนแล้ว ได้ความว่าโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของธนาคาร มีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริตปล่อยเงินให้กู้ยืมไปโดยไม่มีหลักประกันทำให้ธนาคารเสียหาย เจ้าหน้าที่ผู้สอบสวนรายงานว่า โจทก์ปฏิบัติงานส่อไปในทางทุจริต ฝ่าฝืนระเบียบวินัยข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของธนาคารจำเลย ไม่มาทำงานและเลิกงานตามเวลาที่กำหนด รายงานการมาทำงานและเลิกงานเท็จ เสพสุรายาเมาเป็นอาจิณและไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ควรให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้จัดการสาขานนทบุรี จำเลยจึงมีคำสั่งให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งและให้เป็นที่ปรึกษาแทนโจทก์ลาออกตามพฤติการณ์ดังกล่าวมีเหตุทำให้จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่า นอกจากโจทก์จะฝ่าฝืนระเบียบวินัยของจำเลยในกรณีที่ร้ายแรงแล้ว โจทก์ยังทุจริตต่อหน้าที่และจงใจทำให้จำเลยเสียหาย อันจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(1)(2) และ (3) จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 103 เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 2(5) ข้อ 8 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2515 และประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 26 ซึ่งแก้ไขโดยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน(ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 13 มิถุนายน 2517
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2663/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างกรณีทุจริตต่อหน้าที่และฝ่าฝืนระเบียบอย่างร้ายแรง นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
พนักงานของธนาคารจำเลย สาขานนทบุรีผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของโจทก์ ซึ่งเป็นผู้จัดการ ทำหนังสือร้องเรียนว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ทำให้ธนาคารจำเลยเสียหาย กรรมการผู้จัดการธนาคารจำเลยสั่งให้เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของธนาคารไปสอบสวนแล้ว ได้ความว่าโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของธนาคาร มีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริต ปล่อยเงินให้กู้ยืมไปโดยไม่มีหลักประกันทำให้ธนาคารเสียหาย เจ้าหน้าที่ผู้สอบสวนรายงานว่า โจทก์ปฏิบัติงานส่อไปในทางทุจริต ฝ่าฝืนระเบียบวินัยข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของธนาคารจำเลย ไม่มาทำงานและเลิกงานตามเวลาที่กำหนด รายงานการมาทำงานและเลิกงานเท็จ เสพสุรายาเมาเป็นอาจิณ และไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื้อสัตย์สุจริต ควรให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้จัดการสาขานนทบุรี จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งและให้เป็นที่ปรึกษาแทน โจทก์ลาออก ตามพฤติการณ์ดังกล่าวมีเหตุทำให้จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่า นอกจากโจทก์จะฝ่าฝืนระเบียบวินัยของจำเลยในกรณีที่ร้ายแรงแล้ว โจทก์ยังทุจริตต่อหน้าที่และจงใจทำให้จำเลยเสียหาย อันจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อ 47(1) (2) และ (3) จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 103 เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 2(5) ข้อ 8 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2515 และประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ลงวันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 11 ซึ่งแก้ไขโดยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 13 มิถุนายน 2517
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2591-2592/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจกรมทางหลวงในการปกครองและขับไล่ผู้บุกรุกที่ดินหลังสร้างทางเสร็จ แต่ยังบำรุงทาง
ที่ดินซึ่ง รมต. มหาดไทยประกาศหวงห้ามเพื่อก่อสร้างและบำรุงทางหลวงนั้น แม้การก่อสร้างทางเสร็จสิ้นแล้ว แต่ยังระเบิดหินเพื่อบำรุงทางอยู่ยังไม่มีประกาศเพิกถอนการหวงห้ามตาม มาตรา37 พระราชบัญญัติทางหลวง ฉบับที่ 2 พ.ศ.2497มาตรา 8 กรมทางหลวงยังมีอำนาจปกครองและขับไล่ผู้เข้ามาอยู่ในที่ดินนั้นได้