คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ขจร หะวานนท์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,047 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3284/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเบิกจ่ายเงินค่าเบี้ยเลี้ยงเพื่อซ่อมรถยนต์ของธนาคาร ไม่ถือเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ หากไม่มีเจตนาส่วนตัว
โจทก์เป็นลูกจ้างประจำของธนาคารออมสิน จำเลย ตำแหน่งผู้จัดการธนาคารออมสิน สาขาพล จังหวัดขอนแก่น ได้ทำใบเบิกจ่ายเงินค่าเบี้ยเลี้ยงตำรวจรักษาการณ์ธนาคารออมสินสาขาพลโดยกรอกรายการเองและสั่งอนุญาตให้จ่ายเงินเบี้ยเลี้ยงแต่เมื่อได้ความว่า โจทก์นำเงินค่าเบี้ยเลี้ยงไปซ่อมรถยนต์ของธนาคารจำเลยโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาการณ์ยอมมอบเงินให้และมีการซ่อมรถยนต์จริง จึงเป็นการขาดเจตนาทุจริต ถือไม่ได้ว่าการกระทำของโจทก์เป็นการทุจริตต่อหน้าที่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3284/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเบิกจ่ายเงินค่าเบี้ยเลี้ยงเพื่อซ่อมรถยนต์ของธนาคาร ไม่ถือเป็นทุจริตต่อหน้าที่หากไม่มีเจตนาส่วนตัว
โจทก์เป็นลูกจ้างประจำของธนาคารออมสิน จำเลย ตำแหน่งผู้จัดการธนาคารออมสิน สาขาพล จังหวัดขอนแก่น ได้ทำใบเบิกจ่ายเงินค่าเบี้ยเลี้ยงตำรวจรักษาการณ์ธนาคารออมสินสาขาพลโดยกรอกรายการเองและสั่งอนุญาตให้จ่ายเงินเบี้ยเลี้ยงแต่เมื่อได้ความว่า โจทก์นำเงินค่าเบี้ยเลี้ยงไปซ่อมรถยนต์ของธนาคารจำเลยโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาการณ์ ยอมมอบเงินให้และมีการซ่อมรถยนต์จริง จึงเป็นการขาดเจตนาทุจริต ถือไม่ได้ว่าการกระทำของโจทก์เป็นการทุจริตต่อหน้าที่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3253/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายน้ำมันให้เรือต่างชาติโดยเติมลงถังเชื้อเพลิง ถือเป็นการขายภายในประเทศ ต้องเสียภาษีการค้า
วิธีการที่โจทก์ขายน้ำมันซึ่งโจทก์ผลิตในราชอาณาจักรให้แก่เรือซึ่งเดินระหว่างประเทศผู้สั่งซื้อ โดยเมื่อเรือเดินระหว่างประเทศของผู้ซื้อเข้ามาในราชอาณาจักร โจทก์ก็บรรทุกน้ำมันลงเรือลำเลียงนำไปสูบขึ้นเรือนั้น โดยเติมลงในถังบรรจุน้ำมันเชื้อเพลิงประจำเรือเพื่อใช้น้ำมันนั้นเป็นเชื้อเพลิงของเรือที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรและเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรเท่านั้น จึงหาใช่เป็นการขายและส่งมอบน้ำมันโดยวิธีบรรทุกลงในระวางเรือของผู้ซื้อ และนำน้ำมันทั้งหมดออกนอกประเทศไม่ หากแต่เป็นการขายภายในประเทศ แม้เจ้าของเรือซึ่งเป็นผู้ซื้อและชำระราคาจะอยู่ในต่างประเทศก็ตาม โจทก์มิได้รับยกเว้นไม่ต้องนำรายได้มาคำนวณภาษีการค้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3253/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายน้ำมันให้เรือต่างชาติเติมเชื้อเพลิงในถัง ไม่ถือเป็นการส่งออก ต้องเสียภาษีการค้า
วิธีการที่โจทก์ขายน้ำมันซึ่งโจทก์ผลิตในราชอาณาจักรให้แก่เรือซึ่งเดินระหว่างประเทศผู้สั่งซื้อ โดยเมื่อเรือเดินระหว่างประเทศของผู้ซื้อเข้ามาในราชอาณาจักร โจทก์ก็บรรทุกน้ำมันลงเรือลำเลียงนำไปสูบขึ้นเรือนั้น โดยเติมลงในถังบรรจุน้ำมันเชื้อเพลิงประจำเรือเพื่อใช้น้ำมันนั้นเป็นเชื้อเพลิงของเรือที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรและเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรเท่านั้น จึงหาใช่เป็นการขายและส่งมอบน้ำมันโดยวิธีบรรทุกลงในระวางเรือของผู้ซื้อ และนำน้ำมันทั้งหมดออกนอกประเทศไม่ หากแต่เป็นการขายภายในประเทศแม้เจ้าของเรือซึ่งเป็นผู้ซื้อและชำระราคาจะอยู่ในต่างประเทศก็ตามโจทก์มิได้รับยกเว้นไม่ต้องนำรายได้มาคำนวณภาษีการค้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3251/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของหน่วยงานรัฐ, การแปลงหนี้, และข้อจำกัดในการฎีกาเรื่องใหม่ที่ไม่เคยยกขึ้นในศาลล่าง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นกรมในรัฐบาล สังกัดกระทรวงการคลังเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย จำเลยให้การว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลหรือไม่ จำเลยไม่รับรอง ถือไม่ได้ว่าเป็นคำให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้ง จึงรับฟังได้ว่าโจทก์เป็นกรมในรัฐบาล สังกัดกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นทบวงการเมือง อันเป็นนิติบุคคล ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
การที่จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ด้วยเช็ค เป็นการแปลงหนี้ใหม่หรือไม่มิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเมื่อมิได้ยกขึ้นว่ามาแล้วในศาลชั้นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225
จำเลยเพิ่งกล่าวอ้างในชั้นฎีกาว่า โจทก์กระทำการเป็นพ่อค้าขายทรัพย์สินให้จำเลยและฟ้องเรียกเอาค่าที่ได้ส่งมอบของ จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 165(1) โดยมิได้มีการยกขึ้นว่ากันมาในศาลล่างเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3251/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของนิติบุคคลภาครัฐ, การแปลงหนี้, และอายุความ - ข้อจำกัดในการยกประเด็นใหม่ในชั้นฎีกา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นกรมในรัฐบาล สังกัดกระทรวงการคลังเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย จำเลยให้การว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลหรือไม่ จำเลยไม่รับรอง ถือไม่ได้ว่าเป็นคำให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้ง จึงรับฟังได้ว่าโจทก์เป็นกรมในรัฐบาล สังกัดกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นทบวงการเมือง อันเป็นนิติบุคคล ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
การที่จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ด้วยเช็ค เป็นการแปลงหนี้ใหม่หรือไม่มิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเมื่อมิได้ยกขึ้นว่ามาแล้วในศาลชั้นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225
จำเลยเพิ่งกล่าวอ้างในชั้นฎีกาว่า โจทก์กระทำการเป็นพ่อค้าขายทรัพย์สินให้จำเลยและฟ้องเรียกเอาค่าที่ได้ส่งมอบของ จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 165(1) โดยมิได้มีการยกขึ้นว่ากันมาในศาลล่างเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3248/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องกรณีถูกเพิกถอนสัญชาติ: โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหากจำเลยไม่ได้เพิกถอนสัญชาติเอง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นผู้รักษาการตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2525ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยทราบถึงบุคคลที่ถูกเพิกถอนสัญชาติ รวมทั้งโจทก์ด้วยตามข้อ 4 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าวดังนี้ จำเลยมิได้เป็นผู้เพิกถอนสัญชาติของโจทก์ จำเลยจึงมิได้ โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยขอให้ศาล พิพากษาว่าโจทก์มีสัญชาติไทย และโดยที่โจทก์ยังคงเป็นผู้ถูกเพิกถอนสัญชาติไทยอยู่ตามที่จำเลยได้รับแจ้งจาก กระทรวงมหาดไทยดังกล่าวข้างต้น ฉะนั้น การที่จำเลยมีคำสั่งให้นายทะเบียนท้องถิ่นจำหน่ายโจทก์ออกจากทะเบียนบ้านให้หัวหน้าสำนักงานกิจการญวนอุดรธานีมีคำสั่งให้โจทก์มาทำบัตรประจำตัวคนญวนอพยพ และให้พนักงานที่ดินจังหวัดอุดรธานี ทำการบังคับจำหน่ายที่ดินของโจทก์ อันเป็นการกระทำภายในขอบเขตของหนังสือกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว จึงถือไม่ได้ว่าเป็นคำสั่งหรือการปฏิบัติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์หามีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยและขอให้ห้ามจำเลยและบริวารปฏิบัติการตามหน้าที่ได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3248/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องกรณีถูกเพิกถอนสัญชาติ: จำเลยไม่ได้เพิกถอนสัญชาติเอง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นผู้รักษาการตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม2525 ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยทราบถึงบุคคลที่ถูกเพิกถอนสัญชาติ รวมทั้งโจทก์ด้วยตามข้อ 4 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าว ดังนี้ จำเลยมิได้เป็นผู้เพิกถอนสัญชาติของโจทก์ จำเลยจึงมิได้ โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยขอให้ศาล พิพากษาว่าโจทก์มีสัญชาติไทย และโดยที่โจทก์ยังคงเป็นผู้ถูกเพิกถอนสัญชาติไทยอยู่ตามที่จำเลยได้รับแจ้งจาก กระทรวงมหาดไทยดังกล่าวข้างต้น ฉะนั้น การที่จำเลยมีคำสั่งให้นายทะเบียนท้องถิ่นจำหน่ายโจทก์ออกจากทะเบียนบ้านให้หัวหน้าสำนักงานกิจการญวนอุดรธานีมีคำสั่งให้โจทก์มาทำบัตรประจำตัวคนญวนอพยพ และให้พนักงานที่ดินจังหวัดอุดรธานี ทำการบังคับจำหน่ายที่ดินของโจทก์ อันเป็นการกระทำภายในขอบเขตของหนังสือกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว จึงถือไม่ได้ว่าเป็นคำสั่งหรือการปฏิบัติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์หามีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยและขอให้ห้ามจำเลยและบริวารปฏิบัติการตามหน้าที่ได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3246/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องรวมในหนังสือมอบอำนาจ: ไม่จำกัดเฉพาะคู่ความที่ระบุ
ช.ผู้รับมอบอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ย่อมมีความหมายรวมอยู่ในอำนาจที่โจทก์มอบให้ ช.ดำเนินคดีแพ่งทั้งปวงเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินตามฟ้อง ดังที่ระบุไว้ในหนังสือมอบอำนาจ ไม่จำเป็นต้องระบุไว้ในหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องใครโดยชัดแจ้งทุกรายไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3206/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้เช็คปลอมโดยผู้ปลอมเอง ศาลฎีกาแก้ไขโทษเนื่องจากศาลอุทธรณ์ลงโทษเกินกว่าที่โจทก์อุทธรณ์
จำเลยทำตรายางปลอมชื่อร้านของโจทก์ ประทับตรายางปลอม และลงลายมือชื่อโจทก์ปลอมที่ด้านหลังเช็คของจำเลยสองฉบับแล้วจำเลยนำเช็คดังกล่าวไปชำระหนี้แก่ผู้มีชื่อสองรายซึ่งจำเลย มีเจตนาให้มีการใช้เงินตามเช็คทั้งสองฉบับแตกต่างจากกัน จำเลยจึงมีความผิดฐานใช้ เอกสารปลอมโดยจำเลยเป็นผู้ปลอมเอกสารนั้นเอง อันจะ ต้องรับโทษในความผิดฐานใช้เอกสารปลอมสำหรับ เช็คแต่ละฉบับรวมสองกระทง แต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 6 เดือน ฐานปลอมเอกสาร โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้ ลงโทษสำหรับความผิดเกี่ยวกับเช็คสองฉบับนี้เป็นสองกระทง การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุก จำเลยเป็น สองกระทงกระทงละ 6 เดือน จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ศาลฎีกาพิพากษาแก้เฉพาะกำหนดโทษ
of 205