พบผลลัพธ์ทั้งหมด 318 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2460/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนฟ้องคดีความผิดอันยอมความได้ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาเมื่อจำเลยไม่คัดค้าน ทำให้คดีระงับ
คดีความผิดอันยอมความได้เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องขณะคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาและจำเลยไม่คัดค้าน ดังนี้ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ และคดีเป็นระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2423/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจดทะเบียน น.ส.3 ทับที่ดินที่มีสิทธิครอบครองแล้ว เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต
ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน ส.ค.1 ซึ่งจำเลยขายให้โจทก์ได้ครอบครองและมีคำพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองแล้ว โจทก์มีสิทธิที่จะจดทะเบียนเป็นเจ้าของตามคำพิพากษาได้ จำเลยสมยอมกันออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)ทับที่พิพาท เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2339/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การขัดแย้งกันเองและหลักการผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายในคดีเช็ค
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็ค จำเลยให้การรับว่าเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คฉบับพิพาท แต่จำเลยไม่ต้องรับผิดใช้เงิน เพราะโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย ด้วยเหตุผลคือ (ก) โจทก์กับผู้มีชื่อ (ผู้ที่โจทก์อ้างว่าโอนเช็คพิพาทให้โจทก์) ร่วมกันเป็นผู้ขายสินค้าให้จำเลย แต่สินค้าเสื่อมคุณภาพจำเลยไม่ต้องชำระราคา และโดยที่จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระค่าสินค้ารายนี้ จำเลยจึงชอบที่จะสั่งให้ธนาคารระงับการจ่ายได้ (ข)หากคดีฟังไม่ได้ตามข้อ(ก) จำเลยก็ขอต่อสู้ว่า โจทก์กับผู้มีชื่อดังกล่าวได้คบคิดกันโอนเช็คพิพาทให้โจทก์ เพื่อให้มาฟ้องบังคับเอากับจำเลยอันเป็นการฉ้อฉลจำเลย ดังนี้ ตามคำให้การของจำเลยในข้อ (ก) นั้น แม้โจทก์จะมิใช่ผู้รับเช็คไว้จากจำเลย แต่การที่ผู้มีชื่อรับเช็คไว้ก็ถือว่ารับในฐานะร่วมหรือแทนโจทก์นั่นเอง เมื่อโจทก์อยู่ในฐานะผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายร่วมกับผู้มีชื่อเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่มีทางที่โจทก์จะเป็นผู้รับโอนเช็คพิพาทในลักษณะฉ้อฉลจำเลยตามข้อ (ข) ได้ คำให้การของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นคำให้การที่ขัดกันเองและไม่ชอบด้วยเหตุผลไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 2 จึงไม่ชอบที่จะนำสืบตามคำให้การของจำเลยได้เพราะถ้าจะสืบพยานตามคำให้การของจำเลยทั้งสองอย่าง จำเลยก็จะต้องสืบขัดแย้งกันเอง ทำให้รับฟังเป็นความจริงไม่ได้อยู่ในตัว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2339/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การขัดแย้งกันเองของจำเลยทำให้ศาลไม่รับฟัง และโจทก์มีสิทธิเรียกเงินตามเช็คในฐานะผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็ค จำเลยให้การรับว่าเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คฉบับพิพาท แต่จำเลยไม่ต้องรับผิดใช้เงินเพราะโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายด้วยเหตุผลคือ (ก) โจทก์กับผู้มีชื่อ (ผู้ที่โจทก์อ้างว่าโอนเช็คพิพาทให้โจทก์) ร่วมกันเป็นผู้ขายสินค้าให้จำเลย แต่สินค้าเสื่อมคุณภาพจำเลยไม่ต้องชำระราคา และโดยที่จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระค่าสินค้ารายนี้ จำเลยจึงชอบที่จะสั่งให้ธนาคารระงับการจ่ายได้ (ข) หากคดีฟังไม่ได้ตามข้อ (ก) จำเลยก็ขอต่อสู้ว่า โจทก์กับผู้มีชื่อดังกล่าวได้คบคิดกันโอนเช็คพิพาทให้โจทก์ เพื่อให้มาฟ้องบังคับเอากับจำเลยอันเป็นการฉ้อฉลจำเลย ดังนี้ ตามคำให้การของจำเลยในข้อ (ก) นั้น แม้โจทก์จะมิใช่ผู้รับเช็คไว้จากจำเลย แต่การที่ผู้มีชื่อรับเช็คไว้ก็ถือว่ารับในฐานะร่วมหรือแทนโจทก์นั่นเอง เมื่อโจทก์อยู่ในฐานะผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายร่วมกับผู้มีชื่อเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่มีทางที่โจทก์จะเป็นผู้รับโอนเช็คพิพาทในลักษณะฉ้อฉลจำเลยตามข้อ (ข) ได้ คำให้การของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นคำให้การที่ขัดกันเองและไม่ชอบด้วยเหตุผล ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 2 จึงไม่ชอบที่จะนำสืบตามคำให้การของจำเลยได้ เพราะถ้าจะสืบพยานตามคำให้การของจำเลยทั้งสองอย่าง จำเลยก็จะต้องสืบขัดแย้งกันเอง ทำให้รับฟังเป็นความจริงไม่ได้อยู่ในตัว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2307/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเข้าไปในเคหสถานโดยปริยายไม่ถือเป็นการบุกรุก และไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถาน
ผู้เสียหายกับจำเลยเช่าบ้านหลังเดียวกันแต่คนละห้อง มีบันไดขึ้นลงคนละทาง ทั้งสองฝ่ายชอบพอกัน ตามปกติจำเลยมาหาผู้เสียหายเสมอ เคยขึ้นไปห้องรับแขกผู้เสียหายไม่เคยห้ามปราม ถ้าผู้เสียหายไม่อยู่จำเลยก็มาคุยกับน้องสาวผู้เสียหาย วันเกิดเหตุผู้เสียหายไม่อยู่ จำเลยก็มาบ้านผู้เสียหาย เข้าไปในห้องรับแขก นอนบนเก้าอี้นวมอ่านหนังสือพิมพ์ แล้วจำเลยลักนาฬิกาของผู้เสียหายที่วางไว้บนตู้โชว์ติดกับเก้าอี้นวมไป การที่จำเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหายเป็นการได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้โดยปริยาย จำเลยไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานตามมาตรา 335(8)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2307/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์ในเคหสถาน: การได้รับอนุญาตโดยปริยาย และขอบเขตการคุ้มครอง
ผู้เสียหายกับจำเลยเช่าบ้านหลังเดียวกัน แต่อยู่คนละห้อง วันเกิดเหตุผู้เสียหายไม่อยู่ จำเลยเข้าไปในห้องรับแขกนอนอ่านหนังสือพิมพ์บนเก้าอี้นวม น้องผู้เสียหายอยู่บ้านแต่ก็มิได้ห้ามปรามจำเลย จำเลยลักนาฬิกาข้อมือของผู้เสียหายซึ่งวางอยู่บนตู้โชว์ติดกับเก้าอี้นวมไปดังนี้ การที่จำเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหาย ถือได้ว่าเป็นการได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้โดยปริยายการลักทรัพย์มิใช่ลักในเคหสถาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2251-2253/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์ข้อเท็จจริง, วัตถุประสงค์บริษัท, อำนาจฟ้อง, และสัญญาเช่า: ศาลฎีกายกคำอุทธรณ์เรื่องข้อเท็จจริงที่ไม่ชอบ
ที่จำเลยฎีกาว่า การที่บริษัทโจทก์เช่าที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างมาให้เช่าช่วงเป็นการกระทำผิดวัตถุประสงค์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เป็นเรื่องที่มิได้กระทบกระเทือนสิทธิของประชาชน จึงมิใช่ข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ปัญหาที่จำเลยไม่สามารถยกขึ้นอ้างในศาลชั้นต้นเนื่องจากพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท และจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ หรือมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่าหรืออาศัย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา224 บัญญัติห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง จำเลยฎีกาข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ระหว่างจำเลยทั้งสามสำนวนกับโจทก์ไม่มีสัญญาต่างตอบแทนต่อกัน เพราะไม่ปรากฏว่ามีผู้อื่นรู้เห็นการตกลงดังกล่าวเป็นกิจลักษณะหรือมีหลักฐานอย่างหนึ่งอย่างใดไว้ เป็นการกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอย แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในปัญหาข้อนี้มาก็เป็นการวินิจฉัยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้าม และเมื่อเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท และจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ หรือมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่าหรืออาศัย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา224 บัญญัติห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง จำเลยฎีกาข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ระหว่างจำเลยทั้งสามสำนวนกับโจทก์ไม่มีสัญญาต่างตอบแทนต่อกัน เพราะไม่ปรากฏว่ามีผู้อื่นรู้เห็นการตกลงดังกล่าวเป็นกิจลักษณะหรือมีหลักฐานอย่างหนึ่งอย่างใดไว้ เป็นการกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอย แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในปัญหาข้อนี้มาก็เป็นการวินิจฉัยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้าม และเมื่อเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2251-2253/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดอำนาจศาลฎีกา: กรณีข้อเท็จจริงต้องห้าม และการอ้างสัญญาต่างตอบแทนที่มิได้ยกขึ้นในชั้นต้น
ที่จำเลยฎีกาว่า การที่บริษัทโจทก์เช่าที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างมาให้เช่าช่วงเป็นการกระทำผิดวัตถุประสงค์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เป็นเรื่องที่มิได้กระทบกระเทือนสิทธิ์ของประชาชน จึงมิใช่ข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ปัญหาที่จำเลยไม่สามารถยกขึ้นอ้างในศาลชั้นต้นเนื่องจากพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท และจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ หรือมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่าหรืออาศัย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 บัญญัติห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง จำเลยฎีกาข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ระหว่างจำเลยทั้งสามสำนวนกับโจทก์ไม่มีสัญญาต่างตอบแทนต่อกัน เพราะไม่ปรากฏว่ามีผู้อื่นรู้เห็นการตกลงดังกล่าวเป็นกิจลักษณะ หรือมีหลักฐานอย่างหนึ่งอย่างใดไว้ เป็นการกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอย แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในปัญหาข้อนี้มาก็เป็นการวินิจฉัยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้าม และเมื่อเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท และจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ หรือมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่าหรืออาศัย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 บัญญัติห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง จำเลยฎีกาข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ระหว่างจำเลยทั้งสามสำนวนกับโจทก์ไม่มีสัญญาต่างตอบแทนต่อกัน เพราะไม่ปรากฏว่ามีผู้อื่นรู้เห็นการตกลงดังกล่าวเป็นกิจลักษณะ หรือมีหลักฐานอย่างหนึ่งอย่างใดไว้ เป็นการกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอย แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในปัญหาข้อนี้มาก็เป็นการวินิจฉัยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้าม และเมื่อเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2217/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินและการบังคับคดี: กรณีตัวแทนทำสัญญาซื้อขายและหนี้สินสมรส
จำเลยมาศาลโดยไม่ปรากฏว่านอกจากตัวจำเลยแล้วมีพยานจำเลยมาศาลอีก และไม่ปรากฏว่าเมื่อศาลสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดี และถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบกับให้นัดสืบพยานโจทก์ต่อไปแล้วจำเลยได้แถลงขอสืบพยานที่มาศาล ดังนั้น จำเลยจะอ้างว่าการที่ศาลไม่ถามจำเลยเสียก่อนว่า จำเลยจะสืบพยานของจำเลยต่อไปหรือไม่นั้น เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นเพราะเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องแถลงต่อศาลเอง
ศาลพิพากษาให้ อ. ใช้เงินคืนแก่สามีจำเลยตามฟ้องจำเลยมิได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับสามี สามีจำเลยเท่านั้นที่จะบังคับยึดทรัพย์ของ อ. ตามคำพิพากษาได้
เมื่อทรัพย์ที่พิพาทเป็นของโจทก์ แม้ปรากฏว่า อ. ในในฐานะตัวแทนโจทก์มีอำนาจทำสัญญาขายที่พิพาทให้สามีจำเลยได้ แต่โจทก์ก็มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับ อ.และอ. ก็มิได้ถูกฟ้องในฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์ ทั้งจำเลยและสามีจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของ อ.จึงไม่มีสิทธิบังคับคดีเหนือที่พิพาทซึ่งเป็นของโจทก์และเป็นบุคคลนอกคดีได้
ศาลพิพากษาให้ อ. ใช้เงินคืนแก่สามีจำเลยตามฟ้องจำเลยมิได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับสามี สามีจำเลยเท่านั้นที่จะบังคับยึดทรัพย์ของ อ. ตามคำพิพากษาได้
เมื่อทรัพย์ที่พิพาทเป็นของโจทก์ แม้ปรากฏว่า อ. ในในฐานะตัวแทนโจทก์มีอำนาจทำสัญญาขายที่พิพาทให้สามีจำเลยได้ แต่โจทก์ก็มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับ อ.และอ. ก็มิได้ถูกฟ้องในฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์ ทั้งจำเลยและสามีจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของ อ.จึงไม่มีสิทธิบังคับคดีเหนือที่พิพาทซึ่งเป็นของโจทก์และเป็นบุคคลนอกคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2217/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการยึดหน่วงทรัพย์สินของคู่สัญญาเช่าซื้อและการบังคับคดีต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
จำเลยมาศาลโดยไม่ปรากฏว่านอกจากตัวจำเลยแล้วมีพยานจำเลยมาศาลอีก และไม่ปรากฏว่าเมื่อศาลสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดี และถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบกับให้นัดสืบพยานโจทก์ต่อไปแล้วจำเลยได้แถลงขอสืบพยานที่มาศาล ดังนั้น จำเลยจะอ้างว่าการที่ศาลไม่ถามจำเลยเสียก่อนว่า จำเลยจะสืบพยานของจำเลยต่อไปหรือไม่นั้น เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นเพราะเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องแถลงต่อศาลเอง
ศาลพิพากษาให้ อ. ใช้เงินคืนแก่สามีจำเลยตามฟ้อง จำเลยมิได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับสามี สามีจำเลยเท่านั้นที่จะบังคับยึดทรัพย์ของ อ. ตามคำพิพากษาได้
เมื่อทรัพย์ที่พิพาทเป็นของโจทก์ แม้ปรากฏว่า อ. ในฐานะตัวแทนโจทก์มีอำนาจทำสัญญาขายที่พิพาทให้สามีจำเลยได้ แต่โจทก์ก็มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับ อ. และ อ. ก็มิได้ถูกฟ้องในฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์ ทั้งจำเลยและสามีจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของ อ. จึงไม่มีสิทธิ์บังคับคดีเหนือที่พิพาทซึ่งเป็นของโจทก์และเป็นบุคคลนอกคดีได้
ศาลพิพากษาให้ อ. ใช้เงินคืนแก่สามีจำเลยตามฟ้อง จำเลยมิได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับสามี สามีจำเลยเท่านั้นที่จะบังคับยึดทรัพย์ของ อ. ตามคำพิพากษาได้
เมื่อทรัพย์ที่พิพาทเป็นของโจทก์ แม้ปรากฏว่า อ. ในฐานะตัวแทนโจทก์มีอำนาจทำสัญญาขายที่พิพาทให้สามีจำเลยได้ แต่โจทก์ก็มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับ อ. และ อ. ก็มิได้ถูกฟ้องในฐานะเป็นตัวแทนของโจทก์ ทั้งจำเลยและสามีจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของ อ. จึงไม่มีสิทธิ์บังคับคดีเหนือที่พิพาทซึ่งเป็นของโจทก์และเป็นบุคคลนอกคดีได้