พบผลลัพธ์ทั้งหมด 318 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 346/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีภาษี, อายุความลาภมิควรได้, การประเมินภาษี, และการคืนเงินภาษีที่ชำระเกิน
โจทก์สั่งวัตถุดิบจากต่างประเทศนำเขามาในราชอาณาจักร และได้ชำระราคาการค้าตามที่จำเลยได้เรียกเก็บให้แก่กรมศุลกากร ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลย ดังนี้การกระทำของเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรแม้จะเรียกเก็บภาษีการค้าแทนจำเลยก็ไม่ใช่การประเมินภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 87 จึงไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 30 ที่จะต้องอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เสียก่อนฟ้อง (อ้างฎีกา 869/2520)
โจทก์ฟ้องเรียกคืนเงินภาษีที่ชำระไว้แล้ว จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและต่อสู้ด้วยว่าคดีขาดอายุความ ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้ววินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะไม่ได้ยื่นอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เสียก่อน โจทก์อุทธรณ์ในประเด็นนี้ขึ้นมา ดังนี้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจหยิบยกประเด็นว่าคดีขาดอายุความหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยได้ มิใช่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นในชั้นอุทธรณ์
เงินค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลที่จำเลยรับชำระไปจากโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์ชำระไปตามหลักเกณฑ์ที่จำเลยวางไว้ และจำเลยก็ให้การโต้แย้งว่าโจทก์ต้องเสียภาษีดังกล่าวตามประมวลรัษฎากร ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จำเลยได้ทรัพย์มาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ ฉะนั้นการฟ้องเรียกภาษีดังกล่าวคืน จึงมิใช่ฟ้องเรียกคืนในฐานลาภมิควรได้อันจะอยู่ในบังคับใช้อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 แต่มีอายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164 (อ้างฎีกาที่ 869/2520 และ 1164/2520)
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 โจทก์อุทธรณ์ฎีกาต่อมาตาม มาตรา 227, 247 ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 ข้อ 2 ข คือเรื่องละ 50 บาท แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกาตามจำนวนทุนทรัพย์ซึ่งเกินไป เมื่อศาลฎีกาพิพากษาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ศาลฎีกาจึงให้คืนค่าขึ้นศาลที่เสียเกินมาให้โจทก์ไป
โจทก์ฟ้องเรียกคืนเงินภาษีที่ชำระไว้แล้ว จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและต่อสู้ด้วยว่าคดีขาดอายุความ ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้ววินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะไม่ได้ยื่นอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เสียก่อน โจทก์อุทธรณ์ในประเด็นนี้ขึ้นมา ดังนี้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจหยิบยกประเด็นว่าคดีขาดอายุความหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยได้ มิใช่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นในชั้นอุทธรณ์
เงินค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลที่จำเลยรับชำระไปจากโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์ชำระไปตามหลักเกณฑ์ที่จำเลยวางไว้ และจำเลยก็ให้การโต้แย้งว่าโจทก์ต้องเสียภาษีดังกล่าวตามประมวลรัษฎากร ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จำเลยได้ทรัพย์มาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ ฉะนั้นการฟ้องเรียกภาษีดังกล่าวคืน จึงมิใช่ฟ้องเรียกคืนในฐานลาภมิควรได้อันจะอยู่ในบังคับใช้อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 แต่มีอายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164 (อ้างฎีกาที่ 869/2520 และ 1164/2520)
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 โจทก์อุทธรณ์ฎีกาต่อมาตาม มาตรา 227, 247 ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 ข้อ 2 ข คือเรื่องละ 50 บาท แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกาตามจำนวนทุนทรัพย์ซึ่งเกินไป เมื่อศาลฎีกาพิพากษาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ศาลฎีกาจึงให้คืนค่าขึ้นศาลที่เสียเกินมาให้โจทก์ไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 342/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือมอบอำนาจไม่ติดอากรแสตมป์ ถือเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ ทำให้ขาดอำนาจฟ้อง
หนังสือมอบอำนาจที่โจทก์มอบอำนาจให้บุคคลอื่นฟ้องคดีแทนโจทก์ เมื่อไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ตามนัยประมวลรัษฎากร มาตรา 104 ที่บัญญัติให้ปิดอากรแสตมป์ในตราสารตามบัญชีอากรแสตมป์ ข้อ 7(ก) ย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 หนังสือมอบอำนาจเป็นตราสารอย่างหนึ่งเมื่อจำเลยต่อสู้เรื่องการมอบอำนาจและเมื่อรับฟังเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานมิได้แล้ว ก็ต้องถือว่าบุคคลนั้นไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 342/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือมอบอำนาจไม่ติดอากรแสตมป์เป็นพยานหลักฐานไม่ได้ ทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
หนังสือมอบอำนาจที่โจทก์มอบอำนาจให้บุคคลอื่นฟ้องคดีแทนโจทก์ เมื่อไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ตามนัยประมวลรัษฎากร มาตรา 104 ที่บัญญัติให้ปิดอากรแสตมป์ในตราสารตามบัญชีอากรแสตมป์ ข้อ 7 (ก) ย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 หนังสือมอบอำนาจเป็นตราสารอย่างหนึ่ง เมื่อจำเลยต่อสู้เรื่องการมอบอำนาจ มาตรา 118 หนังสือมอบอำนาจเป็นตราสารอย่างหนึ่ง เมื่อจำเลยต่อสู้เรื่องการมอบอำนาจและเมื่อรับฟังเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานมิได้แล้ว ก็ต้องถือว่าบุคคลนั้นไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 317/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลอมแปลงหมายเลขทะเบียนรถจักรยานยนต์ และใช้เอกสารราชการปลอม ถือเป็นความผิดอาญา
จำเลยเขียนหมายเลขทะเบียนรถจักรยานยนต์ของผู้อื่นลงไว้ที่แผ่นเหล็กท้ายรถจักรยานยนต์คันของกลาง แม้จำเลยจะเขียนหมายเลขดังกล่าวด้วยตนเองโดยมีลักษณะขนาดตัวหนังสือและตัวเลขไม่เหมือนกับป้ายหมายเลขทะเบียนที่แท้จริง ซึ่งทางราชการกรมตำรวจจัดทำขึ้นก็ตาม แต่เมื่อจำเลยกระทำด้วยเจตนาทำเทียมเพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง และโดยลักษณะที่อาจจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารราชการ และเมื่อจำเลยได้ใช้รถจักรยานยนต์ของกลางที่ดินป้ายหมายเลขทะเบียนปลอมที่จำเลยทำขึ้นดังกล่าวขับขี่ไปจนถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมได้ จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 317/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลอมแปลงป้ายทะเบียนรถ และใช้เอกสารราชการปลอม แม้ลักษณะไม่เหมือนของแท้ แต่ทำให้หลงเชื่อได้ ถือเป็นความผิด
จำเลยเขียนหมายเลขทะเบียนรถจักรยานยนต์ของผู้อื่นลงไว้ที่แผ่นเหล็กท้ายรถจักรยานยนต์คันของกลางแม้จำเลยจะเขียนหมายเลขดังกล่าวด้วยตนเองโดยมีลักษณะขนาดตัวหนังสือและตัวเลขไม่เหมือนกับป้ายหมายเลขทะเบียนที่แท้จริง ซึ่งทางราชการกรมตำรวจจัดทำขึ้นก็ตามแต่เมื่อจำเลยกระทำด้วยเจตนาทำเทียมเพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง และโดยลักษณะที่อาจจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนแล้วการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารราชการและเมื่อจำเลยได้ใช้รถจักรยานยนต์ของกลางที่ติดป้ายหมายเลขทะเบียนปลอมที่จำเลยทำขึ้นดังกล่าวขับขี่ไปจนถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมได้ จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 307/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องซ้ำเกี่ยวกับทรัพย์มรดก แม้เป็นทรัพย์เดิมหรือต่างกัน หากเคยมีข้อพิพาทและประนีประนอมยอมความแล้ว ถือเป็นการฟ้องซ้ำ
โจทก์ฟ้องจำเลยขอแบ่งทรัพย์มรดกในฐานะทายาทโดยพินัยกรรมศาลพิพากษาตามยอมแล้ว โจทก์มาฟ้องคดีนี้อีกขอแบ่งเงินฝากธนาคารในฐานะทายาทโดยธรรมและโดยพินัยกรรมเป็นการฟ้องซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์อย่างเดียวหรือคนละอย่างกับทรัพย์ในคดีก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 306/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คดีเด็กและเยาวชน: การเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน ไม่ตัดสิทธิอุทธรณ์ข้อเท็จจริง
คดีที่ศาลคดีเด็กและเยาวชนได้พิพากษาหรือมีคำสั่งแล้วนั้นจะต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชนพ.ศ.2494 มาตรา 27 ตามที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2506 ก็แต่เฉพาะกรณีที่ศาลใช้ดุลพินิจ เปลี่ยนโทษจำคุกหรือวิธีการเพื่อความปลอดภัยเป็นให้ใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนบางประการเท่านั้น มิได้ห้ามคู่ความที่จะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้กระทำการอันกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 306/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงโทษจากจำคุกเป็นสถานพินิจสำหรับเด็กและเยาวชน ไม่ตัดสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
คดีที่ศาลคดีเด็กและเยาวชนได้พิพากษาหรือมีคำสั่งแล้วนั้น จะต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2494 มาตรา 27 ตามที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2506 ก็แต่เฉพาะกรณีที่ศาลใช้ดุลพินิจ เปลี่ยนโทษจำคุกหรือวิธีการเพื่อความปลอดภัย เป็นให้ใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนบางประการเท่านั้น มิได้ห้ามคู่ความที่จะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้กระทำการอันกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 295/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจการอุทธรณ์ของผู้รับมอบฉันทะ: ผู้รับมอบฉันทะยื่นอุทธรณ์แทนผู้มอบฉันทะได้เฉพาะที่ได้รับมอบหมายชัดเจน
ศาลสั่งปรับนายประกันเพราะผู้ต้องหาไม่มาศาลตามนัดผู้รับมอบฉันทะให้นำโฉนดมายื่นต่อศาลและทำสัญญาประกันผู้ต้องหาแทนนายประกันไม่มีสิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลดังกล่าวเพราะไม่ได้รับมอบอำนาจให้ยื่นอุทธรณ์แทนนายประกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 281-282/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตายระหว่างวิวาท ศาลพิจารณาเจตนาของผู้กระทำและเหตุแห่งการกระทำ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83 ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 1 เจตนาฆ่าผู้ตาย ส่วนจำเลยที่ 2 มีเจตนาทำร้ายเท่านั้น พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามมาตรา 288 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามมาตรา 290 โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีความผิด พิพากษายกฟ้อง ดังนี้ ข้อหาฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามมาตรา 288 เฉพาะจำเลยที่ 2 จึงเป็นอันถูกศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงโจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงในข้อหานี้ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2517 มาตรา 8 คงฎีกาได้เฉพาะข้อหาฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาตามมาตรา 290 เท่านั้น
ผู้ตายกับ ส.ขึ้นไปบนเรือนดูดทรายและผู้ตายถือไม้พายติดมือขึ้นไปด้วยโดยมีเจตนาจะก่อการวิวาท เพราะผู้ตายเคยมีสาเหตุกับชาวเรือดูดทรายมาก่อน ทันทีที่ฝ่ายผู้ตายขึ้นไปบนเรือ ฝ่ายจำเลยซึ่งอยู่ในเรือดูดทรายและมีประมาณ 4 คนก็กรูกันเข้ามาหาและเกิดการต่อสู้ชกต่อยกันขึ้น ดังนี้ แสดงว่าทั้งสองฝ่ายสมัครใจวิวาทต่อสู้กัน ฉะนั้นการที่จำเลยใช้เหล็กแหลมแทงผู้ตายถูกที่ราวนม 2 แผล ระหว่างวิวาทต่อสู้กันนั้น จำเลยจะอ้างว่าแทงผู้ตายเพื่อป้องกันสิทธิของตนหาได้ไม่
ผู้ตายกับ ส.ขึ้นไปบนเรือนดูดทรายและผู้ตายถือไม้พายติดมือขึ้นไปด้วยโดยมีเจตนาจะก่อการวิวาท เพราะผู้ตายเคยมีสาเหตุกับชาวเรือดูดทรายมาก่อน ทันทีที่ฝ่ายผู้ตายขึ้นไปบนเรือ ฝ่ายจำเลยซึ่งอยู่ในเรือดูดทรายและมีประมาณ 4 คนก็กรูกันเข้ามาหาและเกิดการต่อสู้ชกต่อยกันขึ้น ดังนี้ แสดงว่าทั้งสองฝ่ายสมัครใจวิวาทต่อสู้กัน ฉะนั้นการที่จำเลยใช้เหล็กแหลมแทงผู้ตายถูกที่ราวนม 2 แผล ระหว่างวิวาทต่อสู้กันนั้น จำเลยจะอ้างว่าแทงผู้ตายเพื่อป้องกันสิทธิของตนหาได้ไม่