พบผลลัพธ์ทั้งหมด 914 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ไม่เป็นการป้องกันตัว เพราะจำเลยกลับไปหาผู้ตายอีกครั้ง
จำเลยโต้เถียงกับผู้ตายแล้วกลับบ้านไปนำปืนติดตัวมาหาผู้ตายอีก แสดงว่าจำเลยสมัครใจที่จะกลับไปวิวาทกับผู้ตาย เพราะจำเลยมีทางหลีกเลี่ยงไม่กลับไปพบผู้ตายได้แต่ก็ไม่กระทำ เมื่อผู้ตายเตะจำเลย จำเลยก็ยิงผู้ตายทันที การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันตัว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานสนับสนุนข่มขืนฯ และการพิพากษาลงโทษนอกเหนือคำฟ้อง
ผู้เสียหายกับเพื่อนนั่งรอเรืออยู่ที่ท่าน้ำ จำเลยกับ ส. เข้ามาทักทายผู้เสียหายแล้วจำเลยอุ้มผู้เสียหายไป ส. พูดขู่ห้ามไม่ให้เพื่อนผู้เสียหายช่วยแล้ววิ่งตามจำเลยไป จำเลยอุ้มผู้เสียหายไปประมาณ 10 วาก็วางผู้เสียหายลงแล้วกลับบ้านโดยไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องอีก ส่วน ส.ฉุดผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเรา ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการร่วมกับ ส. พาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร และเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา การที่จำเลยวางผู้เสียหายแล้วกลับบ้าน มิใช่เป็นการยับยั้งเสียเองไม่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ผู้เสียหายต่อไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 82
การกระทำของจำเลยและ ส. ดังกล่าว เป็นการกระทำด้วยความอุกอาจไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง ไม่มีเหตุสมควรจะรอการลงโทษให้และแม้ จำเลยจะให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนแต่ในชั้นศาลจำเลยให้การปฏิเสธ คดีรับฟังลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องอาศัยคำรับสารภาพชั้นสอบสวน จึงไม่มีเหตุที่จะลดโทษให้จำเลย
ฟ้องว่าจำเลยกับพวกหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้หลังจากที่ได้ข่มขืนกระทำชำเราแล้ว เมื่อฟังได้ดังกล่าวข้างต้นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับที่กล่าวในฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานทำให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย โดยไม่จำต้องมีการหน่วงเหนี่ยวกักขัง ณ ที่ใดอีก จึงเป็นการลงโทษจำเลยนอกเหนือไปจากคำฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 และปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยจะมิได้ฎีกาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม มาตรา 185
การกระทำของจำเลยและ ส. ดังกล่าว เป็นการกระทำด้วยความอุกอาจไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง ไม่มีเหตุสมควรจะรอการลงโทษให้และแม้ จำเลยจะให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนแต่ในชั้นศาลจำเลยให้การปฏิเสธ คดีรับฟังลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องอาศัยคำรับสารภาพชั้นสอบสวน จึงไม่มีเหตุที่จะลดโทษให้จำเลย
ฟ้องว่าจำเลยกับพวกหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้หลังจากที่ได้ข่มขืนกระทำชำเราแล้ว เมื่อฟังได้ดังกล่าวข้างต้นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับที่กล่าวในฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานทำให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย โดยไม่จำต้องมีการหน่วงเหนี่ยวกักขัง ณ ที่ใดอีก จึงเป็นการลงโทษจำเลยนอกเหนือไปจากคำฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 และปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยจะมิได้ฎีกาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม มาตรา 185
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดสนับสนุนข่มขืน-หน่วงเหนี่ยวฯ ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษนอกฟ้องมิชอบ
ผู้เสียหายกับเพื่อนนั่งรอเรืออยู่ที่ท่าน้ำ จำเลยกับ ส. เข้ามาทักทายผู้เสียหายแล้วจำเลยอุ้มผู้เสียหายไป ส. พูดขู่ห้ามไม่ให้เพื่อนผู้เสียหายช่วยแล้ววิ่งตามจำเลยไป จำเลยอุ้มผู้เสียหายไปประมาณ 10 วาก็วางผู้เสียหายลงแล้วกลับบ้านโดยไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องอีก ส่วน ส.ฉุดผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเรา ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการร่วมกับ ส. พาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร และเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา การที่จำเลยวางผู้เสียหายแล้วกลับบ้าน มิใช่เป็นการยับยั้งเสียเองไม่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ผู้เสียหายต่อไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 82
การกระทำของจำเลยและ ส. ดังกล่าว เป็นการกระทำด้วยความอุกอาจไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง ไม่มีเหตุสมควรจะรอการลงโทษให้และแม้ จำเลยจะให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนแต่ในชั้นศาลจำเลยให้การปฏิเสธคดีรับฟังลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องอาศัยคำรับสารภาพชั้นสอบสวน จึงไม่มีเหตุที่จะลดโทษให้จำเลย
ฟ้องว่าจำเลยกับพวกหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้หลังจากที่ได้ข่มขืนกระทำชำเราแล้ว เมื่อฟังได้ดังกล่าวข้างต้นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับที่กล่าวในฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานทำให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย โดยไม่จำต้องมีการหน่วงเหนี่ยวกักขัง ณ ที่ใดอีกจึงเป็นการลงโทษจำเลยนอกเหนือไปจากคำฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 และปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยจะมิได้ฎีกาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม มาตรา 185
การกระทำของจำเลยและ ส. ดังกล่าว เป็นการกระทำด้วยความอุกอาจไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง ไม่มีเหตุสมควรจะรอการลงโทษให้และแม้ จำเลยจะให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนแต่ในชั้นศาลจำเลยให้การปฏิเสธคดีรับฟังลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องอาศัยคำรับสารภาพชั้นสอบสวน จึงไม่มีเหตุที่จะลดโทษให้จำเลย
ฟ้องว่าจำเลยกับพวกหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้หลังจากที่ได้ข่มขืนกระทำชำเราแล้ว เมื่อฟังได้ดังกล่าวข้างต้นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับที่กล่าวในฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานทำให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย โดยไม่จำต้องมีการหน่วงเหนี่ยวกักขัง ณ ที่ใดอีกจึงเป็นการลงโทษจำเลยนอกเหนือไปจากคำฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 และปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยจะมิได้ฎีกาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม มาตรา 185
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3710/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระค่าจ้างขนส่ง แม้มีข้ออ้างเรื่องผิดสัญญา ก็ต้องชำระหนี้เดิมก่อน การหักกลบลบหนี้ต้องทำได้โดยชอบ
จำเลยค้างชำระค่าจ้างขนส่งแก่โจทก์ โดยอ้างว่าโจทก์ผิดสัญญาไม่นำรถออกวิ่งต้องถูกปรับ จำเลยขอหักกลบลบหนี้กับหนี้ตามฟ้องโจทก์ จำเลยจะต้องฟ้องแย้งเข้ามา เมื่อจำเลยมิได้ฟ้องแย้ง ศาลไม่วินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3682/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง กรณีความสัมพันธ์ฉันสามีภริยาและไม่ได้ซ่อนเร้น
กรณีจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 64 จะต้องได้ความว่า ผู้ที่จำเลยให้ที่พักอาศัย ซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ เป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่รับอนุญาต และจำเลยก็ทราบแล้ว ทั้งต้องเป็นการให้เข้าพักอาศัยซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม
เมื่อปรากฏว่าจำเลยกับ ท. ซึ่งโจทก์ว่าเป็นคนต่างด้าวได้แต่งงานกันตามประเพณี และได้อยู่กินด้วยกันโดยเปิดเผยประกอบอาชีพทำสวนทำไร่และค้าขายจนมีบุตรด้วยกัน 3 คนจำเลยนำชื่อบุตรไปลงไว้ในทะเบียนบ้านว่าเป็นบุตรที่เกิดจาก ท. และให้ใช้นามสกุลของ ท. บ้านที่ ท.ถูกจับก็เป็นบ้านที่จำเลยกับ ท. ร่วมกันสร้างระหว่างอยู่กินเป็นสามีภริยากัน ในวันที่ตำรวจไปค้นบ้านจำเลยก็พบ ท. นอนเล่นอยู่หลังบ้านมิได้ซ่อนเร้นแต่อย่างใดจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยให้ ท. เข้าพักอาศัยหรือซ่อนเร้นเพื่อให้ ท. พ้นจากการจับกุม การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิด
เมื่อปรากฏว่าจำเลยกับ ท. ซึ่งโจทก์ว่าเป็นคนต่างด้าวได้แต่งงานกันตามประเพณี และได้อยู่กินด้วยกันโดยเปิดเผยประกอบอาชีพทำสวนทำไร่และค้าขายจนมีบุตรด้วยกัน 3 คนจำเลยนำชื่อบุตรไปลงไว้ในทะเบียนบ้านว่าเป็นบุตรที่เกิดจาก ท. และให้ใช้นามสกุลของ ท. บ้านที่ ท.ถูกจับก็เป็นบ้านที่จำเลยกับ ท. ร่วมกันสร้างระหว่างอยู่กินเป็นสามีภริยากัน ในวันที่ตำรวจไปค้นบ้านจำเลยก็พบ ท. นอนเล่นอยู่หลังบ้านมิได้ซ่อนเร้นแต่อย่างใดจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยให้ ท. เข้าพักอาศัยหรือซ่อนเร้นเพื่อให้ ท. พ้นจากการจับกุม การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3682/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การช่วยเหลือคนต่างด้าว: การอยู่กินฉันสามีภริยา ไม่ถือว่าเป็นการซ่อนเร้นเพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุม
กรณีจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 64 จะต้องได้ความว่า ผู้ที่จำเลยให้ที่พักอาศัย ซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ เป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่รับอนุญาต และจำเลยก็ทราบแล้ว ทั้งต้องเป็นการให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม
เมื่อปรากฏว่าจำเลยกับ ท. ซึ่งโจทก์ว่าเป็นคนต่างด้าวได้แต่งงานกันตามประเพณี และได้อยู่กินด้วยกันโดยเปิดเผย ประกอบอาชีพทำสวนทำไร่และค้าขายจนมีบุตรด้วยกัน 3 คน จำเลยนำชื่อบุตรไปลงไว้ในทะเบียนบ้านว่าเป็นบุตรที่เกิดจาก ท.และให้ใช้นามสกุลของท.บ้านที่ท.ถูกจับก็เป็นบ้านที่จำเลยกับ ท. ร่วมกันสร้างระหว่างอยู่กินเป็นสามีภริยากัน ในวันที่ตำรวจไปค้นบ้านจำเลยก็พบ ท. นอนเล่นอยู่หลังบ้านมิได้ซ่อนเร้นแต่อย่างใดจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยให้ ท. เข้าพักอาศัยหรือซ่อนเร้นเพื่อให้ ท. พ้นจากการจับกุม การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิด
เมื่อปรากฏว่าจำเลยกับ ท. ซึ่งโจทก์ว่าเป็นคนต่างด้าวได้แต่งงานกันตามประเพณี และได้อยู่กินด้วยกันโดยเปิดเผย ประกอบอาชีพทำสวนทำไร่และค้าขายจนมีบุตรด้วยกัน 3 คน จำเลยนำชื่อบุตรไปลงไว้ในทะเบียนบ้านว่าเป็นบุตรที่เกิดจาก ท.และให้ใช้นามสกุลของท.บ้านที่ท.ถูกจับก็เป็นบ้านที่จำเลยกับ ท. ร่วมกันสร้างระหว่างอยู่กินเป็นสามีภริยากัน ในวันที่ตำรวจไปค้นบ้านจำเลยก็พบ ท. นอนเล่นอยู่หลังบ้านมิได้ซ่อนเร้นแต่อย่างใดจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยให้ ท. เข้าพักอาศัยหรือซ่อนเร้นเพื่อให้ ท. พ้นจากการจับกุม การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3679/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย: การพิจารณาคำขอรับชำระหนี้โดยไม่ต้องรอคดีอื่นถึงที่สุดเพื่อคุ้มครองประโยชน์เจ้าหนี้
พระราชบัญญัติล้มละลายมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของเจ้าหนี้ทั้งหลายให้ได้รับชำระหนี้โดยเป็นธรรม ตามส่วนเฉลี่ยแห่งหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ป้องกันมิให้ลูกหนี้ยักย้ายถ่ายเททรัพย์ของตน.มิให้ถูกบังคับชำระหนี้และให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้โดยรวดเร็ว ที่ลูกหนี้ถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับบริษัท อ. ในคดีล้มละลายเมื่อลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ศาลก็ได้จำหน่ายคดีเฉพาะลูกหนี้แล้วลูกหนี้และบริษัท อ. มิได้มีเจ้าหนี้แต่เฉพาะเจ้าหนี้ในคดีนี้ แต่อาจมีเจ้าหนี้หลายรายแตกต่างกันไป ถ้าศาลจะรอมีคำสั่งเกี่ยวกับคำขอรับชำระหนี้รายนี้ไว้จนกว่าคดีล้มละลายถึงที่สุด ก็ย่อมจะเสียหายแก่เจ้าหนี้รายอื่น จึงไม่มีเหตุที่จะรอมีคำสั่งเกี่ยวกับคำขอรับชำระหนี้รายนี้ไว้
การสอบสวน เรื่องหนี้สินเกี่ยวกับคำขอรับชำระหนี้นั้นเมื่อ จ.พ.ท. เห็นว่าพยานหลักฐานเท่าที่ได้สอบสวนมาแล้วเพียงพอที่จะทำความเห็นส่งสำนวนเรื่องหนี้สินที่ขอรับชำระหนี้นั้นต่อศาล หรือพยานที่เจ้าหนี้ หรือลูกหนี้อ้างมาให้การฟุ่มเฟือยเกินสมควรหรือประวิงให้ชักช้าหรือไม่เกี่ยวแก่ประเด็น จ.พ.ท. ย่อมมีอำนาจที่จะงดการสอบสวนได้
การสอบสวน เรื่องหนี้สินเกี่ยวกับคำขอรับชำระหนี้นั้นเมื่อ จ.พ.ท. เห็นว่าพยานหลักฐานเท่าที่ได้สอบสวนมาแล้วเพียงพอที่จะทำความเห็นส่งสำนวนเรื่องหนี้สินที่ขอรับชำระหนี้นั้นต่อศาล หรือพยานที่เจ้าหนี้ หรือลูกหนี้อ้างมาให้การฟุ่มเฟือยเกินสมควรหรือประวิงให้ชักช้าหรือไม่เกี่ยวแก่ประเด็น จ.พ.ท. ย่อมมีอำนาจที่จะงดการสอบสวนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3679/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย: หลักการคุ้มครองเจ้าหนี้และอำนาจงดการสอบสวน
พระราชบัญญัติล้มละลายมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของเจ้าหนี้ทั้งหลายให้ได้รับชำระหนี้โดยเป็นธรรม ตามส่วนเฉลี่ยแห่งหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ป้องกันมิให้ลูกหนี้ยักย้ายถ่ายเททรัพย์ของตน.มิให้ถูกบังคับชำระหนี้และให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้โดยรวดเร็ว ที่ลูกหนี้ถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับบริษัท อ. ในคดีล้มละลายเมื่อลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ศาลก็ได้จำหน่ายคดีเฉพาะลูกหนี้แล้วลูกหนี้และบริษัท อ. มิได้มีเจ้าหนี้แต่เฉพาะเจ้าหนี้ในคดีนี้ แต่อาจมีเจ้าหนี้หลายรายแตกต่างกันไป ถ้าศาลจะรอมีคำสั่งเกี่ยวกับคำขอรับชำระหนี้รายนี้ไว้จนกว่าคดีล้มละลายถึงที่สุด ก็ย่อมจะเสียหายแก่เจ้าหนี้รายอื่น จึงไม่มีเหตุที่จะรอมีคำสั่งเกี่ยวกับคำขอรับชำระหนี้รายนี้ไว้
การสอบสวน เรื่องหนี้สินเกี่ยวกับคำขอรับชำระหนี้นั้นเมื่อ จ.พ.ท. เห็นว่าพยานหลักฐานเท่าที่ได้สอบสวนมาแล้วเพียงพอที่จะทำความเห็นส่งสำนวนเรื่องหนี้สินที่ขอรับชำระหนี้นั้นต่อศาล หรือพยานที่เจ้าหนี้ หรือลูกหนี้อ้างมาให้การฟุ่มเฟือยเกินสมควรหรือประวิงให้ชักช้าหรือไม่เกี่ยวแก่ประเด็น จ.พ.ท.ย่อมมีอำนาจที่จะงดการสอบสวนได้
การสอบสวน เรื่องหนี้สินเกี่ยวกับคำขอรับชำระหนี้นั้นเมื่อ จ.พ.ท. เห็นว่าพยานหลักฐานเท่าที่ได้สอบสวนมาแล้วเพียงพอที่จะทำความเห็นส่งสำนวนเรื่องหนี้สินที่ขอรับชำระหนี้นั้นต่อศาล หรือพยานที่เจ้าหนี้ หรือลูกหนี้อ้างมาให้การฟุ่มเฟือยเกินสมควรหรือประวิงให้ชักช้าหรือไม่เกี่ยวแก่ประเด็น จ.พ.ท.ย่อมมีอำนาจที่จะงดการสอบสวนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3677/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการพิจารณาคำขอรับชำระหนี้ก่อนพิพากษาล้มละลาย และการงดสอบสวนลูกหนี้ที่มีพฤติหลบหนี้
ไม่มีบทบัญญัติใดในพระราชบัญญัติล้มละลายที่ให้ศาลรอมีคำสั่งเกี่ยวกับคำขอรับชำระหนี้ไว้ภายหลังที่พิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายแล้ว ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นได้รับสำนวนคำขอรับชำระหนี้จากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้ว ก็ชอบที่จะพิจารณาแล้วมีคำสั่งไปได้เลย ไม่ต้องรอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายเสียก่อน
ม. พยานลูกหนี้เป็นหนี้รวม 80-90 ล้านบาทเศษ ถูกฟ้องต่อศาลหลายคดีเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดสอบสวน ม. ถึง 4 ครั้ง ครั้งแรกลูกหนี้แถลงว่าหาตัว ม. ไม่พบคดีที่ ม. ถูกฟ้องโจทก์ก็ไม่สามารถส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องได้ ศาลต้องประกาศทางหนังสือพิมพ์ ครั้งที่สองลูกหนี้ว่า ม. ไปต่างประเทศ ครั้งที่สามลูกหนี้ว่า ม. ไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศ ครั้งที่สี่ลูกหนี้ว่า ม. ยังไม่เดินทางกลับประเทศไทย ม. จึงเป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัว ได้ไปเสียจากเคหสถานเพื่อหลบหนี้ ยากที่จะได้ตัวมาสอบสวน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ชอบที่จะงดสอบสวน ม. ได้
ม. พยานลูกหนี้เป็นหนี้รวม 80-90 ล้านบาทเศษ ถูกฟ้องต่อศาลหลายคดีเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดสอบสวน ม. ถึง 4 ครั้ง ครั้งแรกลูกหนี้แถลงว่าหาตัว ม. ไม่พบคดีที่ ม. ถูกฟ้องโจทก์ก็ไม่สามารถส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องได้ ศาลต้องประกาศทางหนังสือพิมพ์ ครั้งที่สองลูกหนี้ว่า ม. ไปต่างประเทศ ครั้งที่สามลูกหนี้ว่า ม. ไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศ ครั้งที่สี่ลูกหนี้ว่า ม. ยังไม่เดินทางกลับประเทศไทย ม. จึงเป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัว ได้ไปเสียจากเคหสถานเพื่อหลบหนี้ ยากที่จะได้ตัวมาสอบสวน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ชอบที่จะงดสอบสวน ม. ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3631/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกทรัพย์สินโดยมีค่าตอบแทน ไม่ถือเป็นการให้โดยเสน่หา สิทธิในการฟ้องถอนคืนไม่มี
โจทก์ยกที่พิพาทให้จำเลยโดยมีค่าตอบแทน โดยจำเลยต้องหาเงินมาให้โจทก์เพื่อใช้หนี้แก่เจ้าหนี้ของโจทก์ จึงมิใช่เป็นการให้โดยเสน่หา โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณ