คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชลูตม์ สวัสดิทัต

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 914 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2379/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คค้ำประกันเงินกู้: จำเลยไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค เมื่อเจตนาเป็นการค้ำประกัน ไม่ใช่การชำระหนี้
จำเลยออกเช็คให้ผู้เสียหายเพื่อเป็นการค้ำประกันการที่ผู้เสียหายนำที่ดินไปจำนองประกันเงินกู้ที่จำเลยกับภริยากู้ไปจากธนาคาร จำเลยย่อมไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497 มาตรา 3 ตามที่โจทก์ฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2338/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและหลักประกัน: ลักษณะสัญญาต่างตอบแทนและอายุความ 10 ปี
บริษัท อ. ทำสัญญากับโจทก์รวม 3 ฉบับโดยมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ค้ำประกันสัญญาทั้ง 3 ฉบับระหว่างโจทก์และบริษัท อ. มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการผลประโยชน์ตอบแทนซึ่งกันและกัน โดยบริษัท อ.ต้องการเก็บกำไรจากการซื้อหุ้นแต่บริษัทอ. ไม่มีเงินจึงขอเบิกเงินจากโจทก์ทำนองเบิกเงินเกินบัญชี เพื่อนำเงินไปซื้อหุ้นแต่ถ้าโจทก์จ่ายเงินให้บริษัท อ. ไปซื้อหุ้นด้วยตนเองแล้วโจทก์จะไม่มีหลักประกัน โจทก์จึงทำหน้าที่ซื้อหุ้นตามคำสั่งของบริษัท อ. เพื่อยึดใบหุ้นเป็นหลักประกันและตีราคามูลค่าหุ้นที่ยึดไว้เป็นหลักประกันเพียงร้อยละ75 ส่วนอีกร้อยละ 25 บริษัท อ. ต้องเอาเงินมาฝากเข้าบัญชีกับโจทก์ และถ้าหุ้นมีมูลค่าลดลงต่ำกว่าร้อยละ 75 บริษัท อ. ต้องเพิ่มเงินฝากเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 25 เพื่อให้โจทก์มีหลักประกันเต็มจำนวนร้อย ผลประโยชน์ที่โจทก์ได้รับตามสัญญาคือได้ดอกเบี้ยและค่าชักส่วนลด จากยอดเงินที่บริษัท อ.เป็นหนี้โจทก์ส่วนบริษัทอ. มีเงินเพียงร้อยละ 25 ก็สามารถซื้อหุ้นมีมูลค่าเต็มจำนวนร้อยเพื่อหวังเก็บกำไรได้ การที่โจทก์ซื้อหุ้นแทนบริษัท อ. นั้น. เป็นเพียงข้อตกลงส่วนหนึ่งของสัญญาระหว่างโจทก์กับบริษัท อ. เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์เท่านั้นไม่อาจแยกออกเป็นเอกเทศได้ การที่โจทก์ฟ้องเรียกหนี้ที่บริษัท อ. เป็นหนี้ตามสัญญาดังกล่าว จึงไม่เข้าลักษณะเอกเทศสัญญาในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่เป็นสัญญาต่างตอบแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 369 ซึ่งไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีอายุความ 10 ปีตามมาตรา 164 (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2524)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2338/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อหุ้นและเบิกเงินเกินบัญชี: สัญญาต่างตอบแทน มิใช่ตัวการตัวแทน อายุความ 10 ปี
บริษัท อ. ทำสัญญากับโจทก์รวม 3 ฉบับโดยมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ค้ำประกันสัญญาทั้ง 3 ฉบับระหว่างโจทก์และบริษัท อ.มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการผลประโยชน์ตอบแทนซึ่งกันและกันโดยบริษัท อ. ต้องการเก็บกำไรจากการซื้อหุ้น แต่บริษัท อ.ไม่มีเงินจึงขอเบิกเงินจากโจทก์ทำนองเบิกเงินเกินบัญชีเพื่อนำเงินไปซื้อหุ้นแต่ถ้าโจทก์จ่ายเงินให้บริษัท อ. ไปซื้อหุ้นด้วยตนเองแล้วโจทก์จะไม่มีหลักประกัน โจทก์จึงทำหน้าที่ซื้อหุ้นตามคำสั่งของบริษัท อ. เพื่อยึดใบหุ้นเป็นหลักประกันและตีราคามูลค่าหุ้นที่ยึดไว้เป็นหลักประกันเพียงร้อยละ 75 ส่วนอีกร้อยละ 25 บริษัท อ. ต้องเอาเงินมาฝากเข้าบัญชีกับโจทก์ และถ้าหุ้นมีมูลค่าลดลงต่ำกว่าร้อยละ 75 บริษัท อ. ต้องเพิ่มเงินฝากเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 25 เพื่อให้โจทก์มีหลักประกันเต็มจำนวนร้อย ผลประโยชน์ที่โจทก์ได้รับตามสัญญาคือได้ดอกเบี้ยและค่าชักส่วนลดจากยอดเงินที่บริษัท อ. เป็นหนี้โจทก์ส่วนบริษัท อ. มีเงินเพียงร้อยละ 25 ก็สามารถซื้อหุ้นมีมูลค่าเต็มจำนวนร้อยเพื่อหวังเก็บกำไรได้ การที่โจทก์ซื้อหุ้นแทนบริษัท อ. นั้น. เป็นเพียงข้อตกลงส่วนหนึ่งของสัญญาระหว่างโจทก์กับบริษัท อ. เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์เท่านั้นไม่อาจแยกออกเป็นเอกเทศได้ การที่โจทก์ฟ้องเรียกหนี้ที่บริษัท อ. เป็นหนี้ตามสัญญาดังกล่าว จึงไม่เข้าลักษณะเอกเทศสัญญาในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่เป็นสัญญาต่างตอบแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 369 ซึ่งไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีอายุความ 10 ปีตามมาตรา 164(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2524)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2157/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทรัสต์รีซีทกับการโอนกรรมสิทธิ์สินค้าเพื่อชำระหนี้: การหักหนี้ที่ถูกต้องตามสัญญา
จำเลยทำสัญญาทรัสต์รีซีท (ใบรับสินค้าเชื่อ) ให้ไว้กับโจทก์เพื่อรับเอกสารการส่งสินค้าไปออกสินค้าจากท่าเรือเพื่อนำไปจำหน่ายแก่ผู้ซื้อ ดังนี้ การทำสัญญาทรัสต์รีซีทนั้น เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในสินค้าหรือเงินค่าขายสินค้าไปเป็นของโจทก์ เพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าตามตั๋วแลกเงินตามเลตเตอร์ออฟเครดิตและตามสัญญาทรัสต์รีซีท แม้จำเลยจะเป็นผู้ครอบครองสินค้าหรือเงินค่าขายสินค้าไว้ ก็เป็นการครอบครองหรือยึดไว้แทนโจทก์เพื่อชำระหนี้ดังกล่าวเท่านั้นเงินที่ขายได้ต้องหักชำระหนี้ค่าสินค้าและอุปกรณ์แก่โจทก์ เงินเหลือคืนให้จำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิเอาเงินที่ขายสินค้าได้ไปหักกับหนี้รายอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเลตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาทรัสต์รีซีท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1942/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาษีเงินได้จากการโอนกิจการและเงินได้ที่ซ่อนเร้น การประเมินและเงินเพิ่ม
เงินที่โจทก์ได้รับจาก อ. เป็นค่าตอบแทนส่วนหนึ่งในการโอนกิจการซื้อขายที่ดินรวมทั้งหนี้สินและทรัพย์สินตามสัญญาจ่ายเงิน 2 ฉบับ อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีเงินได้เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา40(8)
โจทก์ยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินแล้ว แต่เสียภาษีไม่ถูกต้อง และยื่นรายการไม่ครบ โดยไม่ได้นำเงินเดือนที่ได้รับปีละ 6,000 บาท เข้าไปด้วย ตามพฤติการณ์เป็นเรื่องปกปิดรายได้ของตนเพื่อหลีกเลี่ยงให้เสียภาษีน้อยลง จึงไม่สมควรลดเงินเพิ่มให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1934/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องขอคืนสิทธิการเช่าและการนำสืบพยานนอกฟ้อง ศาลฎีกาพิจารณาจากเจตนาที่แท้จริงของผู้ฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของสิทธิการเช่าตึกพิพาทของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โจทก์ให้จำเลยทำการค้าในตึกนี้ ต่อมาจำเลยได้ปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจว่าโจทก์โอนสิทธิการเช่าให้จำเลยแล้วนำไปยื่นคำขอต่อสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โอนสิทธิการเช่าเป็นของจำเลย แล้วจำเลยยื่นคำขอโอนสิทธิการเช่าให้แก่ผู้มีชื่อ ขอให้บังคับจำเลยถอนคำขอดังกล่าว ฟ้องของโจทก์เช่นนี้แปลความได้ว่า โจทก์ไม่มีเจตนาโอนสิทธิการเช่าให้จำเลยดังที่ปรากฏในหนังสือมอบอำนาจนั้น จำเลยให้การโต้แย้งว่า โจทก์มีเจตนาโอนสิทธิการเช่าให้แก่จำเลย และศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยโอนสิทธิการเช่าตึกเป็นของจำเลยหรือไม่ ดังนี้ แม้ในชั้นพิจารณาโจทก์จะนำสืบว่า โจทก์ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจโดยสำคัญผิด ก็เป็นการสืบแสดงว่าโจทก์ไม่มีเจตนาจะโอนสิทธิการเช่าให้จำเลยตามฟ้องหาใช่นำสืบพยานนอกฟ้องนอกประเด็นไม่
คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกคืนสิทธิการเช่าที่โจทก์มีอยู่จากจำเลยผู้อาศัย แม้จะมีคำขอท้ายฟ้องให้จำเลยถอนคำขอที่จำเลยขอโอนสิทธิการเช่าแก่ผู้อื่น. ก็มิใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิด จะนำอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 มาบังคับแก่คดีไม่ได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง บัญญัติเพียงว่า คำฟ้องต้องมีคำขอบังคับ แต่มิได้บัญญัติถึงขนาดว่าคำขอบังคับจะต้องให้ปรากฏไว้เฉพาะในคำขอท้ายฟ้องเท่านั้น คดีนี้โจทก์มีคำขอไว้ในคำฟ้องชัดแจ้งว่าขอให้ศาลพิพากษาให้สิทธิการเช่ากลับคืนมาเป็นของโจทก์ ถือได้ว่ามีคำขอบังคับในข้อนี้ไว้โดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1646/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาเกินคำขอในคดีละเมิด หากศาลเชื่อข้อต่อสู้ของจำเลย ศาลควรยกฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำละเมิดนำรถยนต์โดยสารเล็กเข้ามาวิ่งแย่งรับคนโดยสารในเส้นทางที่โจทก์ได้รับอนุญาต ขอให้ห้ามและเรียกค่าเสียหาย จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยมีสิทธินำรถมาวิ่งได้ตามข้อตกลงที่ทำไว้กับโจทก์ โดยจำเลยต้องจ่ายค่าคิวให้โจทก์วันละ 5 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงเชื่อตามข้อต่อสู้ของจำเลยโดยจำเลยมิได้ฟ้องแย้ง ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์เท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยนำรถยนต์โดยสารเล็กมาวิ่งในเส้นทางที่โจทก์ได้รับอนุญาตได้โดยเสียค่าคิวให้โจทก์วันละ 5 บาท นั้น เป็นการพิพากษาเกินคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1312/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายเรียก/สำเนาฟ้องโดยมิชอบ โจทก์มีเจตนาทุจริต ศาลต้องดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่
โจทก์บรรยายฟ้องภูมิลำเนาจำเลยไม่ถูกต้อง ความจริงจำเลยอยู่แขวงบางจากแต่บรรยายว่าแขวงบางนาและโจทก์มิได้นำเจ้าพนักงานไปส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องยังภูมิลำเนาของจำเลยโดยที่โจทก์รู้จักบ้านหรือภูมิลำเนาของจำเลยดีอยู่แล้ว แต่กลับแถลงขอให้ศาลประกาศทางหนังสือพิมพ์แทนการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้จำเลยแทนการส่งโดยวิธีธรรมดาการดำเนินกระบวนพิจารณาของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 และถือไม่ได้ว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1292/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดจากรถบรรทุกหนัก: การสั่นสะเทือนสร้างความเสียหายบ้านพักอาศัย ศาลคำนวณค่าเสียหายได้ตามควร
จำเลยนำรถบรรทุกดินน้ำหนักมากผ่านหน้าบ้านโจทก์หลายเที่ยวเป็นเหตุให้บ้านโจทก์สั่นสะเทือนร้าว เป็นละเมิด ต้องใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ แม้จะนำสืบจำนวนไม่ได้ชัดแจ้ง ศาลก็คำนวณให้ได้ตาม มาตรา 438

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1187/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การช่วยเหลือเพื่อป้องกันเหตุร้ายจากการขับรถประมาท ไม่ถือเป็นการกระทำโดยประมาท
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเข้าแย่งพวงมาลัยจากนางสาว ป.ซึ่งกำลังขับรถอยู่และเร่งความเร็ว เป็นเหตุให้รถแล่นเข้าชนมุมตึกแถว แล้วจำเลยหักหลบไปยังฝั่งตรงข้าม แล่นเข้าชนคนและทรัพย์สินของผู้อื่น แม้ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจะได้ความว่านางสาว ป. ผู้ขับรถเป็นผู้เร่งความเร็ว จำเลยเพียงแต่ช่วยจับพวงมาลัยหันหัวรถให้พุ่งออกไป ก็ยังถือไม่ได้ว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง
จำเลยยินยอมให้ ป. ซึ่งมิได้รับใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ ขับรถยนต์แทนจำเลยโดยจำเลยนั่งอยู่ด้วย ถึงที่เกิดเหตุเป็นทางโค้ง รถยนต์แล่นเฉี่ยวมุมตึกที่มุมถนนอย่างแรง เพราะ ป. ขับรถจะเลี้ยวแต่กะระยะไม่ถูกจำเลยจึงช่วยจับพวงมาลัยหันหัวรถให้พุ่งออกไป เป็นเหตุให้รถพุ่งออกไปยังฝั่งตรงข้ามและชนผู้อื่นถึงแก่ความตายดังนี้ การที่จำเลยช่วยจับพวงมาลัยหันหัวรถให้พุ่งออกไป ก็เนื่องจาก ป. ขับรถเฉี่ยวตึกมุมถนนเพราะไม่สามารถควบคุมได้ บุคคลที่ขับรถยนต์ได้และอยู่ในภาวะเช่นจำเลยย่อมจะต้องเข้าช่วยเหลือ เหตุร้ายที่เกิดขึ้นจึงถือไม่ได้ว่าเกิดจากการกระทำโดยประมาทของจำเลย
of 92