พบผลลัพธ์ทั้งหมด 914 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 511/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องไม่สมบูรณ์ – ข้อหาแจ้งความเท็จ/เบิกความเท็จ ขัดแย้งในข้อเท็จจริงสำคัญ
แม้การบรรยายฟ้องแต่ละตอนจะได้แยกข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบแห่งความผิดของแต่ละฐานความผิดก็ตาม แต่โจทก์ก็ไม่ได้บรรยายให้ชัดลงไปว่า จำเลยกระทำความผิดฐานใดการสรุปคำบรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานแจ้งความเท็จหรือมิฉะนั้นจำเลยกระทำความผิดฐานเบิกความเท็จในคำฟ้องเดียวกัน โดยมิได้ยืนยันให้แน่ชัดลงไปว่า ข้อเท็จจริงอย่างไหนเป็นเท็จและอย่างไหนเป็นจริง ซึ่งหากจะมีก็มีได้เพียงอย่างเดียว หาใช่ว่าจะเป็นไปได้ทั้งสองอย่างดังที่โจทก์กล่าวอ้าง ฟ้องโจทก์ขัดแย้งกันในข้อเท็จจริงอันเป็นสารสำคัญการกระทำความผิด ยากที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีและต่อสู้คดีได้ถูกต้อง จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 443/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตอำนาจตัวแทนและการรับผิดของตัวแทนและตัวการเมื่อตัวแทนกระทำนอกเหนืออำนาจ
จำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดการคลังน้ำมันของจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ได้รับเงินจากลูกค้าและอนุมัติให้ขายน้ำมันได้แล้ว จำเลยที่ 3 มีอำนาจออกใบเสร็จรับเงินให้ลูกค้าและควบคุมการจ่ายน้ำมันให้ลูกค้า ในชั้นสอบสวนคดีอาญาที่จำเลยที่ 3 ต้องหาว่าฉ้อโกงโจทก์ จำเลยที่ 3 รับว่ารับเงินเดือนจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 จึงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 3 รับคำสั่งซื้อจากผู้ซื้อได้เฉพาะแต่ผู้ที่เป็นลูกค้าที่ได้ทำสัญญาไว้กับจำเลยที่ 1 ที่สำนักงานใหญ่เท่านั้น การที่จำเลยที่ 3 เอาชื่อปั๊มซึ่งเป็นลูกค้าที่ได้ทำสัญญาไว้กับจำเลยที่ 1 ซื้อน้ำมันจากจำเลยที่ 1 มาขายให้โจทก์ จึงเป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจหรือทำนอกเหนืออำนาจ เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้สัตยาบัน จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 3 เมื่อไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าโจทก์รู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 3 ดำเนินการโดยปราศจากอำนาจ จำเลยที่3 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์โดยลำพัง
การนำสืบของโจทก์ยังไม่ได้ความชัดว่า ก่อนฟ้องโจทก์ทวงถามให้จำเลยที่ 3 ส่งมอบน้ำมันเมื่อใด หากจำเลยที่ 3 ต้องใช้ราคาน้ำมันแทนจึงให้จำเลยที่ 3 เสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไป
การนำสืบของโจทก์ยังไม่ได้ความชัดว่า ก่อนฟ้องโจทก์ทวงถามให้จำเลยที่ 3 ส่งมอบน้ำมันเมื่อใด หากจำเลยที่ 3 ต้องใช้ราคาน้ำมันแทนจึงให้จำเลยที่ 3 เสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 409/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีเงินได้กรณีผู้มีเงินได้มิได้ยื่นรายการ หรือ ยื่นรายการต่ำกว่าที่ควร และการเรียกเงินเพิ่ม
แม้จะมีคำสั่งของนายกรัฐมนตรีให้ทรัพย์สินกองมรดกของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตกเป็นของรัฐ ก็หาเป็นเหตุให้หนี้ค่าภาษีอากรที่ยังไม่ได้ชำระระงับลงไม่ กรมสรรพากรโจทก์มีอำนาจกำหนดเงินได้สุทธิของจอมพลสฤษดิ์แล้วทำการประเมินภาษีเงินได้ กองมรดกต้องรับผิดชำระแก่โจทก์ โจทก์มีอำนาจฟ้อง
การที่เจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือแจ้งให้จำเลยชำระภาษีและเงินเพิ่มภาษีภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือแจ้งการประเมิน มิใช่เป็นการขยายเวลาชำระหนี้ให้แก่จำเลย แต่เป็นการทวงถาม หรือเตือนจำเลยให้ชำระหนี้ และกรณีไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 354,355 และ 203 วรรคสองโจทก์ฟ้องจำเลยได้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 194 โดยไม่จำต้องรอให้ ครบกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่จำเลยได้รับ หนังสือแจ้งการประเมินก่อน
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ปัญหาว่าเงินฝากในธนาคารต่าง ๆไม่ใช่เงินฝากของจอมพลสฤษดิ์และท่านผู้หญิง วิจิตรา จำเลยที่ 2 นั้น จำเลยไม่ได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงไม่เป็นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์ จำเลยจะต้องฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยยกปัญหาดังกล่าวขึ้นต่อสู้ในคำให้การแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยดังกล่าวจึงไม่ชอบเสียก่อน แล้วจึงฎีกาต่อไปว่าเงินฝาก ในธนาคารดังกล่าว ไม่ใช่เงินฝากของบุคคลทั้งสอง จำเลยฎีกา เพียงว่าเงินฝากในธนาคารต่าง ๆ ไม่ใช่เงินฝากของบุคคลทั้งสอง จึงไม่ชอบ เพราะไม่ได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ศาลฎีกา ไม่วินิจฉัยให้
เงินค่าใช้จ่ายส่วนตัวและค่าใช้จ่ายในการบริจาคการกุศลเป็นส่วนหนึ่งของเงินได้ เพราะจะต้องมีเงินได้เสียก่อนแล้วจึงจะสามารถนำไปจ่ายได้ การที่เจ้าพนักงานประเมินนำยอดเงินค่าใช้จ่าย ดังกล่าวไปรวมเข้ากับยอดเงินและมูลค่าของทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น แล้วกำหนดจำนวนเงินได้สุทธิจึงเป็นการชอบ
จำเลยที่ 2 เป็นทายาทคนหนึ่งของจอมพลสฤษดิ์ มีหน้าที่แสดงรายการเงินได้ของจอมพลสฤษดิ์ โดยไม่จำต้องรอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งผู้จัดการมรดกของจอมพลสฤษดิ์เสียก่อน
การที่เจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือแจ้งให้จำเลยชำระภาษีและเงินเพิ่มภาษีภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือแจ้งการประเมิน มิใช่เป็นการขยายเวลาชำระหนี้ให้แก่จำเลย แต่เป็นการทวงถาม หรือเตือนจำเลยให้ชำระหนี้ และกรณีไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 354,355 และ 203 วรรคสองโจทก์ฟ้องจำเลยได้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 194 โดยไม่จำต้องรอให้ ครบกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่จำเลยได้รับ หนังสือแจ้งการประเมินก่อน
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ปัญหาว่าเงินฝากในธนาคารต่าง ๆไม่ใช่เงินฝากของจอมพลสฤษดิ์และท่านผู้หญิง วิจิตรา จำเลยที่ 2 นั้น จำเลยไม่ได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงไม่เป็นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์ จำเลยจะต้องฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยยกปัญหาดังกล่าวขึ้นต่อสู้ในคำให้การแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยดังกล่าวจึงไม่ชอบเสียก่อน แล้วจึงฎีกาต่อไปว่าเงินฝาก ในธนาคารดังกล่าว ไม่ใช่เงินฝากของบุคคลทั้งสอง จำเลยฎีกา เพียงว่าเงินฝากในธนาคารต่าง ๆ ไม่ใช่เงินฝากของบุคคลทั้งสอง จึงไม่ชอบ เพราะไม่ได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ศาลฎีกา ไม่วินิจฉัยให้
เงินค่าใช้จ่ายส่วนตัวและค่าใช้จ่ายในการบริจาคการกุศลเป็นส่วนหนึ่งของเงินได้ เพราะจะต้องมีเงินได้เสียก่อนแล้วจึงจะสามารถนำไปจ่ายได้ การที่เจ้าพนักงานประเมินนำยอดเงินค่าใช้จ่าย ดังกล่าวไปรวมเข้ากับยอดเงินและมูลค่าของทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น แล้วกำหนดจำนวนเงินได้สุทธิจึงเป็นการชอบ
จำเลยที่ 2 เป็นทายาทคนหนึ่งของจอมพลสฤษดิ์ มีหน้าที่แสดงรายการเงินได้ของจอมพลสฤษดิ์ โดยไม่จำต้องรอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งผู้จัดการมรดกของจอมพลสฤษดิ์เสียก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 358/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายเงินกำไรออกจากประเทศไทย ผู้จำหน่ายต้องเป็นผู้ส่งเงินกำไรเอง ไม่ใช่ผู้แทนในการซื้อขาย
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 70 ทวิ (ใช้บังคับระหว่างปี พ.ศ. 2509ถึง พ.ศ. 2510) ที่บัญญัติว่า "บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใดจำหน่ายเงินกำไร หรือเงินประเภทอื่นใดที่กันไว้จากกำไร หรือที่ถือได้ว่าเป็นเงินกำไร ออกไปจากประเทศไทย ให้เสียภาษีเงินได้ ฯลฯ" นั้นหมายความว่า ผู้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในการจำหน่ายเงินกำไรต้องเป็นผู้จำหน่ายเงินกำไรและเงินที่จำหน่ายนั้นต้องเป็นกำไรโดยแท้จริงหรือที่ถือได้ว่าเป็นกำไร โจทก์เป็นเพียงผู้ทำการแทนทำการติดต่อกับลูกค้าในประเทศไทยในการขายสินค้าแทนบริษัทอาตาก้า จำกัด ในประเทศญี่ปุ่น เมื่อติดต่อได้ลูกค้าในประเทศไทยแล้ว โจทก์จะแจ้งให้บริษัทนั้นทราบว่ามีลูกค้าในประเทศไทยต้องการซื้อสินค้าชนิดใด แล้วบริษัทดังกล่าวจะติดต่อทำสัญญากับลูกค้ารับเงินจากลูกค้า และส่งสินค้าให้ลูกค้าเอง โจทก์เพียงแต่ได้รับค่านายหน้าจากผู้ขายเท่านั้น ไม่มีหน้าที่เกี่ยวกับการเงินของลูกค้า ไม่ถือว่าโจทก์เป็นผู้จำหน่ายเงิน ซึ่งลูกค้าส่งไปเป็นค่าซื้อสินค้าบริษัทอาตาก้า จำกัด ในประเทศญี่ปุ่นเอง อันจะถือได้ว่าเป็นการจำหน่ายเงินกำไร โจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา70 ทวิอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 288/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างทำของและกรรมสิทธิ์ในชิ้นส่วน: การถอดชิ้นส่วนก่อนส่งมอบไม่ถือยักยอก
โจทก์ว่าจ้างให้จำเลยที่ 1 ซ่อมเครื่องพิมพ์และเครื่องอัดเพลทจนใช้การได้ เป็นสัญญาจ้างทำของที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดหาสัมภาระ แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า ก่อนโจทก์จะมารับเครื่องพิมพ์และเครื่องอัดเพลท จำเลยที่ 1 ได้ทดลองให้โจทก์เห็นว่า จำเลยที่ 1 ทำการซ่อมเครื่องจนเสร็จแล้ว แต่ตอนโจทก์นำรถยนต์มาขนเครื่องพิมพ์และเครื่องอัดเพลทไปจำเลยที่ 1 ได้ถอดชิ้นส่วนและอะไหล่ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องออกไว้ โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องเสียศูนย์โดยการขนย้ายชิ้นส่วนและอะไหล่เหล่านั้นโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าเป็นของโจทก์มีมาแต่เดิมอาจเป็นสัมภาระที่จำเลยที่ 1 จัดหามา เมื่อจำเลยที่ 1 ยังมิได้ส่งมอบให้แก่โจทก์ ชิ้นส่วนและอะไหล่จึงยังเป็นทรัพย์ของจำเลยที่ 1 อยู่ หาใช่เป็นของโจทก์ไม่ แม้จำเลยที่ 1 จะไม่นำชิ้นส่วนและอะไหล่ที่ถอดออกไปประกอบเข้ากับเครื่องในภายหลังรูปคดีก็คงฟังได้แต่เพียงจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาในทางแพ่ง หาเป็นความผิดอาญาฐานยักยอกดังฟ้องไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าชดเชยเลิกจ้างเป็นหนี้ตามกฎหมาย แยกจากค่าเสียหายอันเกิดจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
ค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานเป็นหนี้ตามกฎหมายที่นายจ้างจะต้องจ่ายแก่ลูกจ้างประจำเมื่อเลิกจ้าง โดยมิต้องคำนึงถึงว่าการเลิกจ้างนั้นนายจ้างได้ฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ว่าด้วยการกระทำอันไม่เป็นธรรมหรือไม่ และถ้าการเลิกจ้างนั้นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคำวินิจฉัยชี้ขาดว่าเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ให้นายจ้างจ่ายค่าเสียหายแก่ลูกจ้างนายจ้างก็จะต้องชำระแก่ลูกจ้างอีกส่วนหนึ่งต่างหากจากค่าชดเชย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 234/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ที่ไม่ชัดเจนถึงเหตุผลความไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยชอบแล้ว
ศาลชั้นต้นยกคำร้องที่จำเลยขอผ่อนชำระหนี้ตามคำพิพากษาจำเลยอุทธรณ์คำสั่ง โดยบรรยายว่าเงินจำนวนมาก ขอให้ศาลเรียกโจทก์มาไกล่เกลี่ย ดังนี้ ไม่เป็นการอ้างว่าศาลชั้นต้นสั่งไม่ชอบอย่างใด ไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคแรก ศาลไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 182/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดนายจ้างต่อค่าทดแทนกรณีลูกจ้างเสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับจากทำงาน โดยใช้รถบริการของนายจ้าง
ลูกจ้างเลิกทำงานประจำวันตามหน้าที่แล้วและออกจากโรงงานมานั่งรถยนต์เพื่อเดินทางกลับบ้าน ระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุรถยนต์แล่นตกลงข้างถนนและทับลูกจ้างถึงแก่ความตาย ดังนี้ แม้รถที่ลูกจ้างนั่งจะเป็นรถยนต์บริการที่นายจ้างจัดรับส่งพนักงาน ก็เป็นเพียงสวัสดิการที่นายจ้างจัดให้เพื่อความสะดวกแก่พนักงานในการเดินทางกลับบ้านเท่านั้น ลูกจ้างมิได้นั่งรถไปหรือกลับจากการทำงานตามคำสั่งหรือภายใต้การควบคุมบังคับบัญชาของนายจ้าง จึงถือไม่ได้ว่าการตายของลูกจ้างเกี่ยวข้องกับการทำงานให้แก่นายจ้าง นายจ้างไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าทดแทนและค่าทำศพแก่ลูกจ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 182/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดนายจ้างต่อการเสียชีวิตลูกจ้างขณะเดินทางกลับจากที่ทำงาน กรณีสวัสดิการรถรับส่ง
ลูกจ้างเลิกทำงานประจำวันตามหน้าที่แล้วและออกจากโรงงานมานั่งรถยนต์เพื่อเดินทางกลับบ้าน ระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุรถยนต์แล่นตกลงข้างถนนและทับลูกจ้างถึงแก่ความตาย ดังนี้ แม้รถที่ลูกจ้างนั่งจะเป็นรถยนต์บริการที่นายจ้างจัดรับส่งพนักงาน ก็เป็นเพียงสวัสดิการที่นายจ้างจัดให้เพื่อความสะดวกแก่พนักงานในการเดินทางกลับบ้านเท่านั้น ลูกจ้างมิได้นั่งรถไปหรือกลับจากการทำงานตามคำสั่งหรือภายใต้การควบคุมบังคับบัญชาของนายจ้างจึงถือไม่ได้ว่าการตายของลูกจ้างเกี่ยวข้องกับการทำงานให้แก่นายจ้าง นายจ้างไม่มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าทดแทนและค่าทำศพแก่ลูกจ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 105/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้างและผู้รับประกันภัยในเหตุละเมิดจากการขนส่งสินค้า
จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ซึ่งนำเข้าร่วมรับขนส่งกับห้างหุ้นส่วนผู้เอาประกันภัยค้ำจุนกับจำเลยร่วม จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ฐานเป็นนายจ้าง ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 ห้างหุ้นส่วนผู้เอาประกันภัยไม่ได้เข้ามาในคดี แต่จำเลยร่วม ผู้รับประกันภัยถูกหมายเรียกเข้าเป็นจำเลยร่วมในคดีแล้ว มีผลเสมือนจำเลยร่วมถูกฟ้อง และโจทก์ฟ้องจำเลยร่วมได้โดยตรง ตาม มาตรา 887