คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชลูตม์ สวัสดิทัต

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 914 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1749/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้สั่งจ่ายเช็คต้องรับผิดชอบต่อผู้ทรงโดยสุจริต แม้จะอ้างว่าออกเช็คเพื่อค้ำประกันและมีการห้ามจ่าย
ผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คผู้ถือต้องรับผิดต่อผู้ถือซึ่งเป็นผู้ทรงเมื่อไม่มีข้อต่อสู้ว่าผู้ทรงรับโอนโดยไม่สุจริตอย่างใดก็ไม่มีข้อที่ต้องสืบพยาน อุทธรณ์ฎีกาขอให้สืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ เป็นคำขอไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1748/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิผู้รับตราส่ง สัญญาขนส่ง: ผู้รับตราส่งไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายหากของหายระหว่างขนส่ง
ผู้ขายนำสินค้าไปส่งมอบแก่จำเลยผู้รับขนเพื่อส่งให้โจทก์ผู้ซื้อ โจทก์เป็นผู้รับตราส่งสินค้ารายพิพาท ไม่ใช่ผู้ส่งหรือผู้ตราส่ง จึงมิใช่คู่สัญญารับขน สิทธิของโจทก์ที่จะเรียกร้องเอาค่าเสียหายอันเกิดแต่สัญญารับขนจึงต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 627 คือเมื่อของถึงตำบลที่กำหนดให้ส่ง และโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับตราส่งได้เรียกให้ส่งมอบแล้ว แต่สินค้ารายพิพาทนี้มิได้ไปถึงตำบลที่กำหนดให้ส่ง โดยได้สูญหายไปเสียก่อนในระหว่างการขนส่ง โจทก์จึงไม่อาจเรียกร้องให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ขนส่งให้ส่งมอบสินค้าได้ สิทธิทั้งหลายของผู้ส่งอันเกิดแต่สัญญารับขนนั้น จึงไม่อาจจะตกไปได้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับตราส่งตามมาตรา 627 โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญารับขนพิพาทได้
การส่งมอบทรัพย์สินซึ่งขายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 463 นั้น มิใช่เป็นข้อวินิจฉัยว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายโอนไปยังผู้ซื้อแล้วหรือไม่ เพราะการส่งมอบเป็นเพียงหน้าที่ประการหนึ่งของผู้ขายเท่านั้นกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกันตามมาตรา 458 และจะยกเอาบทบัญญัติเรื่องกรรมสิทธิ์โอนไปยังผู้ซื้อแล้วหรือไม่ในลักษณะซื้อขายมาเป็นข้อวินิจฉัยสิทธิของผู้ซื้ออันเกิดแต่สัญญารับขนไม่ได้ เพราะเป็นสิทธิตามสัญญาซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้ต่างลักษณะกัน เมื่อเข้าลักษณะใดก็ต้องใช้กฎหมายลักษณะนั้นบังคับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1697/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการกระทำที่เล็งเห็นผลร้าย: การกระทำที่นำไปสู่การเสียชีวิตแม้ไม่ตรงตามฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องมีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยร่วมกันใช้อำนาจด้วยกำลังกายผลักผู้ตายให้ตกลงมาจากรถยนต์โดยสารสองแถวเล็กถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,83 แม้ทางพิจารณาจะไม่ได้ความชัดว่าพวกของจำเลยผลักผู้ตายตกลงจากรถตามที่โจทก์ฟ้อง แต่การที่พวกของจำเลยใช้มือดึงมือผู้ตายมือต่อมือในขณะผู้ตายอยู่ท้ายรถ ไม่มีอะไรยึดเหนี่ยว ไม่ให้ตกลงไปจากรถ และขณะเดียวกันนั้นจำเลยขับรถพาผู้ตายไปด้วยความเร็วมาก ถ้ามือของผู้ตายหลุดจากมือของพวกจำเลยหรือพวกของจำเลยปล่อยมือผู้ตายไป ผู้ตายย่อมจะต้องเสียหลักตกจากรถและจะต้องได้รับอันตรายถึงแก่ความตายได้อย่างแน่นอน เหตุนี้การที่ผู้ตายหลุดจากมือของพวกจำเลยไม่ว่าจะเป็นโดยผู้ตายดึงหลุดหรือพวกของจำเลยปล่อยให้หลุด จนเป็นเหตุให้ผู้ตายตกลงจากรถในลักษณะนอนหงายท้ายทอยน่วม เลือดออกจากปากถึงแก่ความตาย จึงเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการกระทำของจำเลยกับพวก เห็นได้ว่าเป็นการกระทำที่เล็งเห็นผลร้ายได้อย่างแน่ชัด จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย แม้ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาจะแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ก็มิใช่ข้อสารสำคัญ และทั้งจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ ศาลจึงลงโทษจำเลยตามฟ้องโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1692/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยอมวางเงินสดแทนการยึดทรัพย์ และอำนาจศาลในการบรรเทาความเสียหายแก่คู่ความ
เมื่อศาลเห็นว่าตามคำร้องของผู้ร้องประกอบกับเอกสารท้ายคำร้องฟังได้ว่าผู้ร้องได้ซื้อที่ดินจาก ป. แล้วได้จำนองที่ดินทั้งแปลงไว้กับ บ. และผู้ร้องได้แบ่งที่ดินดังกล่าวออกเป็นแปลงย่อย ๆ ในนามเดิมและติดจำนองหลายสิบแปลง อันเห็นได้ชัดว่าผู้ร้องแบ่งแยกที่ดินเพื่อสร้างตึกแถว ตลาดสด และศูนย์รวมการค้าตามคำร้องแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องสืบพยานในข้อนี้
ผู้ร้องแถลงยอมให้ยึดเงินสด 100,000 บาทของผู้ร้องเท่าที่จำเลยตีราคาไว้ในการยึดที่ดินแทนการยึดที่ดินแปลงดังกล่าว โดยแถลงไว้ชัดว่าหากจำเลยพิสูจน์ได้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของโจทก์ซึ่งจะต้องชำระหนี้เงิน 99,458 บาท แก่จำเลยกับพวกแล้วก็ให้ศาลบังคับคดีนำเงิน 100,000 บาท ชำระให้จำเลยกับพวกได้ แม้ผู้ร้องจะมิได้มีนิติสัมพันธ์ต้องชำระเงินให้จำเลยก็ตาม แต่ก็ผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามคำแถลงของผู้ร้อง จำเลยจึงมิได้รับความเสียหายจากการที่ผู้ร้องขอวางเงินแทนการยึดที่ดินแต่อย่างใด เนื่องจากการร้องขอปล่อยทรัพย์ก็ยังคงดำเนินเรื่องอยู่ต่อไป หากจำเลยชนะคดี จำเลยก็รับเงินที่ผู้ร้องวางศาลไว้ไปได้ การที่ศาลล่างสั่งให้เพิกถอนการยึดทรัพย์ก็โดยอาศัยเหตุเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม และเพื่อบรรเทาความเสียหายให้ผู้ร้อง จึงเป็นการสั่งไปโดยอำนาจของศาลที่จะสั่งได้ และไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295
การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นนายเดียวมีคำสั่งให้รับเงินที่ผู้ร้องวางต่อศาลแทนการยึดที่ดิน และสั่งให้แจ้งการถอนการยึดที่ดินให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบ เป็นการออกคำสั่ง ซึ่งมิใช่เป็นไปในทางวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 21(2) จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายแต่อย่างใด และการสั่งให้โจทก์หรือผู้ร้องเสียค่าธรรมเนียมในการถอนนั้น ก็ไม่จำเป็นจะต้องสั่งไว้ในคำสั่งที่ให้เพิกถอนการยึดด้วย จะสั่งภายหลังก็ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1692/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวางเงินสดแทนการยึดทรัพย์: ศาลมีอำนาจสั่งเพื่อบรรเทาความเสียหายโดยอาศัยประโยชน์แห่งความยุติธรรม
เมื่อศาลเห็นว่าตามคำร้องของผู้ร้องประกอบกับเอกสารท้ายคำร้องฟังได้ว่าผู้ร้องได้ซื้อที่ดินจาก ป.แล้วได้จำนองที่ดินทั้งแปลงไว้กับ บ. และผู้ร้องได้แบ่งที่ดินดังกล่าวออกเป็นแปลงย่อย ๆ ในนามเดิมและติดจำนองหลายสิบแปลง อันเห็นได้ชัดว่าผู้ร้องแบ่งแยกที่ดินเพื่อสร้างตึกแถว ตลาดสด และศูนย์รวมการค้าตามคำร้องแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องสืบพยานในข้อนี้
ผู้ร้องแถลงยอมให้ยึดเงินสด 100,000 บาทของผู้ร้องเท่าที่จำเลยตีราคาไว้ในการยึดที่ดินแพทนการยึดที่ดินแปลงดังกล่าว โดยแถลงไว้ชัดว่าหากจำเลยพิสูจน์ได้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของโจทก์ซึ่งจะต้องชำระหนี้เงิน 99,458 บาท แก่จำเลยกับพวกแล้วก็ให้ศาลบังคับคดีนำเงิน 100,000 บาท ชำระให้จำเลยกับพวกได้ แม้ผู้ร้องจะมิได้มีนิติสัมพันธ์ต้องชำระเงินให้จำเลยก็ตาม แต่ก็ผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามคำแถลงของผู้ร้อง จำเลยจึงมิได้รับความเสียหายจากการที่ผู้ร้องขอวางเงินแทนการยึดที่ดินแต่อย่างใด เนื่องจากการร้องขอปล่อยทรัพย์ก็ยังคงดำเนินเรื่องอยู่ต่อไป หากจำเลยชนะคดีจำเลยก็รับเงินที่ผู้ร้องวางศาลไว้ไปได้ การที่ศาลล่างสั่งให้เพิกถอนการยึดทรัพย์ก็โดยอาศัยเหตุเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม และเพื่อบรรเทาความเสียหายให้ผู้ร้อง จึงเป็นการสั่งไปโดยอำนาจของศาลที่จะสั่งได้ และไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295
การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นนายเดียวมีคำสั่งให้รับเงินที่ผู้ร้องวางต่อศาลแทนการยึดที่ดิน และสั่งให้แจ้งการถอนการยึดที่ดินให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบ เป็นการออกคำสั่งซึ่งมิใช่เป็นไปในทางวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 21(2) จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายแต่อย่างใด และการสั่งให้โจทก์หรือผู้ร้องเสียค่าธรรมเนียมในการถอนนั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องสั่งไว้ในคำสั่งที่ให้เพิกถอนการยึดด้วย จะสั่งภายหลังก็ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1644/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคำนวณราคาตลาดขายส่งน้ำมันโดยวิธีส่วนเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร และการชำระภาษีพร้อมเงินเพิ่ม
การคำนวณราคาตลาดขายสิ่งที่มีการขายให้แก่ผู้ขายปลีกสำหรับสินค้าที่เป็นน้ำมัน น้ำมันเบนซิน ฯลฯ ให้คำนวณโดยวิธีส่วนเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักจากราคาขายส่งที่มีการขายให้แก่ผู้ขายปลีก ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีการค้า(ฉบับที่ 8) เรื่องให้ใช้เกณฑ์คำนวณราคาตลาดเป็นมูลค่าของสินค้าข้อ1(ค) นั้น คำว่า "ราคาขายส่งที่มีการขายให้แก่ผู้ขายปลีก" หมายความว่า ราคาขายส่งในช่วงสุดท้ายให้แก่ผู้ขายปลีกซึ่งจะจำหน่ายปลีกแก่ผู้บริโภคโดยตรง เมื่อปรากฏว่าน้ำมันที่องค์การเชื้อเพลิงซื้อจากโจทก์องค์การเชื้อเพลิงได้ขายบางส่วนให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และขายปลีกให้ประชาชน กับขายส่งให้แก่ตัวแทนคือปั๊มน้ำมันสามทหารซึ่งเป็นของเอกชน ซึ่งขายปลีกให้แก่ประชาชนทั่วไปอีกทีหนึ่งราคาน้ำมันที่องค์การเชื้อเพลิงขายก็แตกต่างกัน แสดงว่าราคาตลาดขายส่งที่มีการขายให้แก่ผู้ขายปลีกเฉพาะที่โจทก์ขายให้แก่องค์การเชื้อเพลิงจึงมิใช่มีเพียงราคาเดียว แต่มี 2 ราคาคือ (1) ราคาขายส่งที่โจทก์ขายให้แก่องค์การเชื้อเพลิงแล้วองค์การเชื้อเพลิงขายปลีกให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและประชาชน (2) ราคาขายส่งที่องค์การเชื้อเพลิงในฐานะผู้ขายส่งตามสัญญาระหว่างโจทก์กับองค์การเชื้อเพลิงขายให้แก่ตัวแทน คือปั๊มน้ำมันสามทหารเพื่อขายปลีกให้แก่ประชาชน ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานของจำเลยคำนวณราคาตลาดขายส่งน้ำมันของโจทก์โดยนำจำนวนเงินที่โจทก์ขายส่งให้แก่องค์การเชื้อเพลิงทั้งสองราคาดังกล่าวมาบวกกันแล้วหารด้วยปริมาณน้ำมันที่ขายส่งดังกล่าว ผลลัพธ์ที่ได้เป็นราคาตลาดโดยวิธีส่วนเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักต่อลิตร จึงเป็นการคำนวณราคาตลาดโดยวิธีส่วนเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักที่ชอบด้วยประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีการค้า (ฉบับที่ 8) ดังกล่าว
โจทก์มีหน้าที่จะต้องชำระภาษีภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับแจ้งการประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 86ทวิ ถ้าโจทก์ไม่ชำระภายในเวลาดังกล่าว โจทก์ต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือน ของเงินภาษีที่ต้องชำระตามมาตรา 89 ทวิ ดังนั้น การที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แจ้งให้โจทก์เสียเงินเพิ่มตามมาตรา 89 ทวิ จึงเป็นเพียงการแจ้งยืนยันตามแบบแจ้งการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน หาใช่เป็นการประเมินภาษีในฐานะเจ้าพนักงานประเมินไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1431/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แม้ที่ดินอยู่ใน นส.3ก ของจำเลย แต่โจทก์มีสิทธิขอเพิกถอนส่วนที่ทับที่ดินของตนได้
แม้ศาลจะพิพากษาแล้วว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์และเป็นที่ดินที่รวมอยู่ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยก็ตามจำเลยก็ไม่มีหน้าที่อย่างใดที่จะต้องไปจัดการโอนที่พิพาทให้เป็นของโจทก์ หากที่พิพาทยังมีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของในหนังสือรับรองการทำประโยชน์อยู่ โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยเฉพาะส่วนที่ออกทับที่พิพาทซึ่งเป็นของโจทก์เท่านั้น
การที่โจทก์ขอให้จดทะเบียนแบ่งแยกให้ก็พอจะแปลความหมายได้ว่าโจทก์ต้องการที่ดินกลับคืนมาเป็นของโจทก์ แต่เมื่อศาลเห็นว่าไม่สามารถจะบังคับให้ได้ตามคำขอ คงบังคับได้แต่เพียงให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะส่วน ศาลก็ชอบที่จะพิพากษาเช่นนั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1431/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดิน: แม้ที่ดินอยู่ในหนังสือรับรอง แต่โจทก์มีสิทธิขอเพิกถอนเฉพาะส่วนที่เป็นของตนได้
แม้ศาลจะพิพากษาแล้วว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ และเป็นที่ดินที่รวมอยู่ในที่ดินตามหนังสือรังรองการทำประโยชน์ของจำเลยก็ตาม จำเลยก็ไม่มีหน้าที่อย่างใดที่จะต้องไปจัดการโอนที่พิพาทให้เป็นของโจทก์ หากที่พิพาทยังมีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของในหนังสือรับรองการทำประโยชน์อยู่ โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยเฉพาะส่วนที่ออกทับที่พิพาท ซึ่งเป็นของโจทก์เท่านั้น
การที่โจทก์ขอให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกให้ก็พอจะแปลความหมายได้ว่าโจทก์ต้องการที่ดินกลับคืนมาเป็นของโจทก์ แต่เมื่อศาลเห็นว่าไม่สามารถจะบังคับให้ได้ตามคำขอ คงบังคับได้แต่เพียงให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะส่วน ศาลก็ชอบที่จะพิพากษาเช่นนั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1422-1423/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิอาศัย-การซื้อขายที่ดิน: ผลของการไม่จดทะเบียนสิทธิอาศัย และการเพิกถอนการซื้อขาย
ที่พิพาทเป็นที่ดินมี น.ส.3. เดิมเมื่อ พ.ศ. 2511 บ. เคยฟ้อง ม. แล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดย บ. ยอมรับว่าที่พิพาทเป็นของ ม. และ ม. ยินยอมให้ บ. อาศัยในเรือนของ บ. ที่ปลูกในที่พิพาท และให้ใช้คอกกระบือเดิมในที่พิพาทที่เคยใช้มาแล้วต่อไป ศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแต่ บ. ไม่ได้จดทะเบียนสิทธิอาศัยตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ต่อมา พ.ศ. 2516 ม. ขายที่พิพาทให้ ช. โดยทำหนังสือสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนแล้วมีคดีพิพาทกันต่อมา 2 คดี คือ คดีแรก ช. เป็นโจทก์ฟ้อง บ. เป็นจำเลยว่า โจทก์ซื้อที่พิพาทจาก ม. เมื่อ พ.ศ. 2516 จำเลยได้มาปลูกคอกกระบือในที่พิพาทของโจทก์ ขอให้ขับไล่ คดีหลัง บ. เป็นโจทก์ฟ้อง ม. และ ช. ว่า ม. จดทะเบียนขายที่พิพาทให้ ช. โดยไม่มีค่าตอบแทนและไม่สุจริต ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนและให้ ม. จดทะเบียนสิทธิอาศัยให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความคดีทั้งสองขึ้นมาสู่ศาลฎีกาแยกกัน ศาลฎีกามีคำสั่งให้พิจารณาพิพากษารวมกันตามที่คู่ความขอ
ดังนี้ สำหรับคดีแรก การที่จำเลยให้การว่าคอกกระบือนั้นเป็นคอกกระบือเดิมที่ ม. ทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยใช้ต่อไปเท่ากับจำเลยปฏิเสธว่าจำเลยมิได้เข้าปลูกคอกกระบือในที่ดินของโจทก์เมื่อ พ.ศ. 2517 เป็นหน้าที่ของโจทก์ต้องนำสืบให้ได้ความตามฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลยเสียแล้ววินิจฉัยว่า สิทธิของจำเลยได้มาตามสัญญาประนีประนอมยอมความยังมิได้จดทะเบียนไม่บริบูรณ์พิพากษาให้จำเลยรื้อคอกกระบือออกไป เป็นการงดสืบพยานไม่ชอบ แต่เมื่อคดีหลังได้มีการสืบพยานทั้งสองฝ่ายเสร็จสิ้นกระแสความแล้วศาลฎีกาชอบที่จะ ไม่ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองแล้วให้สืบพยานต่อไป แต่ย่อมนำ พยานหลักฐานในคดีหลังมาวินิจฉัยได้ และเมื่อวินิจฉัยแล้วฟังไม่ได้ว่า จำเลยได้เข้าปลูกคอกกระบือในที่ดินของโจทก์เมื่อ พ.ศ. 2517 ศาลย่อม พิพากษายกฟ้องโจทก์คดีแรกเสีย
สำหรับคดีหลัง เมื่อที่พิพาทยังเป็นของ ม. อยู่ ม. จึงมีสิทธิขายให้ ช. ได้ บ. โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนการโอนขายที่พิพาทระหว่างจำเลยทั้งสอง ทั้งเมื่อ ม. ขายที่พิพาท และมอบการครอบครองให้ ช. ไปแล้วโจทก์ย่อมฟ้องขอให้บังคับ ม. ไปจดทะเบียนสิทธิตามคำพิพากษาตามยอมอีกมิได้ เพราะที่พิพาทไม่ได้เป็นของ ม. แล้วศาลย่อมพิพากษายกฟ้อง คดีหลังด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1390/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิบัติ/ละเว้นหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าพนักงานสอบสวน ทำให้ผู้บริสุทธิ์ถูกฟ้องร้อง
ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 131บัญญัติให้พนักงานสอบสวนมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานทุกชนิดโดยไม่คำนึงว่าจะเป็นหลักฐานที่พนักงานสอบสวนสืบหามาได้เอง หรือที่ผู้เสียหายหรือผู้ต้องหายื่นต่อพนักงานสอบสวนเพื่อเป็นพยาน หรือที่บุคคลภายนอกส่งมา ทั้งนี้ ก็เพื่อที่จะได้ทราบข้อเท็จจริง และพฤติการณ์ต่าง ๆอันเกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหา และเพื่อที่จะรู้ตัวผู้กระทำผิด และพิสูจน์ให้เห็นความผิด
คำบรรยายฟ้องที่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
of 92