คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชลูตม์ สวัสดิทัต

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 914 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 798/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษีเพิ่มเติม: การใช้รายรับจากผู้เช่าเพื่อคำนวณรายได้ที่แท้จริงของผู้ประกอบการ
บริษัทโจทก์เริ่มดำเนินกิจการโรงแรม ส. มาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2511 จนถึงเดือนพฤษภาคม 2514 แล้วให้บริษัท ร. เช่าดำเนินกิจการโรงแรมต่อมา ปรากฏว่าบริษัทยื่นรายการเสียภาษีการค้าไว้ไม่ตรงกับความเป็นจริง และในเดือนพฤษภาคม 2514 ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายที่บริษัทโจทก์ดำเนินกิจการโรงแรม ส. ได้ยื่นรายการเสียภาษีไว้ 20,295 บาท แต่ในเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2515 รวม 6 เดือน บริษัท ร. ดำเนินกิจการโรงแรมดังกล่าวมีรายรับเดือนละ 60,945 บาท ถึง 73,320 บาท ซึ่งเป็นระยะเวลาห่างกันเพียง 7 เดือน แต่มีรายรับเพิ่มขึ้นสองเท่าตัว ดังนี้ จึงเห็นได้ว่ามีเหตุที่พนักงานประเมินภาษีของกรมสรรพากรจำเลยจะใช้อำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 87 ประเมินภาษีเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเอาแก่บริษัทโจทก์ และใช้อำนาจตามมาตรา 87 ทวิ (7) กำหนดรายรับของบริษัทโจทก์เสียไม่ได้
การที่พนักงานประเมินภาษีของกรมสรรพากรจำเลยใช้หลักเกณฑ์คำนวณว่าบริษัทโจทก์ยื่นรายการเสียภาษีการค้าขาดไปร้อยละเท่าใด จากการเทียบเคียงกับรายได้ของบริษัท ร. ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกัน จำนวนห้องเท่ากัน เจ้าหน้าที่และคนงานจำนวนเท่ากันโดยวิธีส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบและคุมยอดรายรับประจำวันของบริษัท ร. ในต้นเดือนครั้งหนึ่งกลางเดือนครั้งหนึ่ง และปลายเดือนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อคำนวณถัวเฉลี่ยหารายรับประจำเดือนแล้วเอารายรับถัวเฉลี่ยจำนวนนี้มาเป็นเกณฑ์กำหนดรายรับของบริษัทโจทก์ เพื่อเรียกเก็บภาษีย้อนหลังไปอันเป็นการคำนวณรายรับตามวิธีการและหลักเกณฑ์ที่กองตรวจภาษีอากรได้วางไว้ถือได้ว่าเป็นการใช้อำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 87 ทวิ (7) โดยถูกต้อง และให้ความเป็นธรรมแก่บริษัทโจทก์แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 798/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษีเพิ่มเติม: หลักฐานการคำนวณรายรับที่สมเหตุสมผลและเป็นธรรมตามข้อเท็จจริง
บริษัทโจทก์เริ่มดำเนินกิจการโรงแรม ส. มาตั้งแต่เดือน ธันวาคม 2511 จนถึงเดือนพฤษภาคม 2514 แล้วให้บริษัท ร. เช่าดำเนินกิจการโรงแรมต่อมา ปรากฏว่าบริษัทยื่นรายการ เสียภาษีการค้าไว้ไม่ตรงกับความเป็นจริง และในเดือนพฤษภาคม 2514 ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายที่บริษัทโจทก์ดำเนินกิจการโรงแรม ส. ได้ยื่นรายการเสียภาษีไว้ 20,295 บาท แต่ในเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2515 รวม 6 เดือน บริษัท ร. ดำเนินกิจการโรงแรม ดังกล่าวมีรายรับเดือนละ60,945 บาท ถึง 73,320 บาท ซึ่งเป็นระยะเวลาห่างกันเพียง 7 เดือน แต่มีรายรับเพิ่มขึ้นสองเท่าตัวดังนี้ จึงเห็นได้ว่ามีเหตุที่พนักงานประเมินภาษีของกรมสรรพากรจำเลยจะใช้อำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 87ประเมินภาษีเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเอาแก่บริษัทโจทก์ และใช้อำนาจตามมาตรา 87ทวิ(7) กำหนดรายรับของบริษัทโจทก์เสียใหม่ได้
การที่พนักงานประเมินภาษีของกรมสรรพากรจำเลยใช้หลักเกณฑ์คำนวณว่าบริษัทโจทก์ยื่นรายการเสียภาษีการค้าขาดไปร้อยละเท่าไร จากการเทียบเคียงกับรายได้ของบริษัท ร. ซึ่ง เป็น สถานที่เดียวกัน จำนวนห้องเท่ากัน เจ้าหน้าที่และคนงานจำนวนเท่ากันโดยวิธีส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบและคุม ยอดรายรับประจำวันของบริษัท ร. ในต้นเดือนครั้งหนึ่งกลางเดือนครั้งหนึ่ง และปลายเดือนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อคำนวณ ถัวเฉลี่ยหารายรับประจำเดือนแล้วเอารายรับถัวเฉลี่ยจำนวนนี้มา เป็นเกณฑ์กำหนดรายรับของบริษัทโจทก์ เพื่อเรียกเก็บภาษีย้อนหลังไปอันเป็นการคำนวณรายรับตามวิธีการและหลักเกณฑ์ที่กองตรวจภาษีอากรได้วางไว้ถือได้ว่าเป็นการใช้อำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 87 ทวิ(7) โดยถูกต้อง และให้ความเป็นธรรมแก่บริษัทโจทก์แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 789/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งในคดีร้องขัดทรัพย์: ทุนทรัพย์, ข้อเท็จจริง, และการคืนค่าธรรมเนียมศาล
คดีร้องขัดทรัพย์ มีข้อพิพาทคำนวณตามราคาทรัพย์ที่ขอให้ถอนการยึด ไม่ถือตามทุนทรัพย์ในคดีเดิม
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกอุทธรณ์ โดยไม่วินิจฉัยประเด็นแห่งอุทธรณ์ต้องคืนค่าธรรมเนียมทั้งหมดตาม พระราชบัญญัติแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ฉบับที่ 7 ซึ่งออกใช้บังคับระหว่างฎีกาศาลฎีกาพิพากษาบังคับแก่คดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาก่อนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 772/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อรถยนต์: อายุความ 10 ปี และความรับผิดของผู้เช่าซื้อต่อเจ้าของรถ
จำเลยเช่าซื้อรถยนต์ของโจทก์ โจทก์เอาประกันภัยรถคันนี้ไว้โดยจำเลยเป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัย รถยนต์ถูกลัก โจทก์เรียกรถและราคาคืนจากจำเลยได้โดยมีอายุความ 10 ปี ตาม มาตรา 164 จำเลยจะเกี่ยงให้โจทก์เรียกเอาจากผู้รับประกันภัยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 724/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของโรงแรมต่อความเสียหายจากลูกจ้างที่ขับรถของแขก การมอบกุญแจรถให้ลูกจ้างโรงแรมเพื่อเลื่อนรถ
ในทางแพ่งนั้นกฎหมายไม่ได้บังคับว่า สิทธิฟ้องร้องที่อาจมีได้หลายทางนั้น โจทก์จะต้องเลือกเอาทางใดทางหนึ่ง เมื่อโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงให้เข้าใจตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของศาลที่จะนำตัวบทกฎหมายมาปรับแก่คดีเอง
โจทก์พักในโรงแรมของจำเลยที่ 1 คนขับรถของโจทก์ได้มอบกุญแจรถยนต์ให้จำเลยที่ 2 ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ไป เพื่อเลื่อนรถโจทก์ที่ขวางทางรถคันอื่น ซึ่งเป็นการที่จำเลยที่ 2 รับกุญแจรถไปปฏิบัติหน้าที่ในกิจการโรงแรมของจำเลยที่ 1 การที่คนขับรถซึ่งเป็นบริวารของโจทก์มอบกุญแจรถให้จำเลยที่ 2 ไปนี้ จึงมิใช้ความผิดของบริวารของโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ใช้กุญแจรถดังกล่าวขับรถยนต์ของโจทก์ออกจากโรงแรมไปจนเกิดอุบัติหตุทำให้รถโจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1 จึงไม่พ้นความรับผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 724/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดในทางละเมิดของนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้าง และการมอบกุญแจรถให้ลูกจ้างเพื่อปฏิบัติหน้าที่
ในทางแพ่งนั้นกฎหมายไม่ได้บังคับว่า สิทธิฟ้องร้องที่อาจมีได้หลายทางนั้นโจทก์จะต้องเลือกเอาทางใดทางหนึ่งเมื่อโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงให้เข้าใจตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของศาลที่จะนำตัวบทกฎหมายมาปรับแก่คดีเอง
โจทก์พักในโรงแรมของจำเลยที่ 1 คนขับรถของโจทก์ได้มอบกุญแจรถยนต์ให้จำเลยที่ 2 ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ไปเพื่อเลื่อนรถโจทก์ที่ขวางทางรถคันอื่น ซึ่งเป็นการที่จำเลยที่ 2 รับกุญแจรถไปปฏิบัติหน้าที่ในกิจการโรงแรมของจำเลยที่ 1 การที่คนขับรถซึ่งเป็นบริวารของโจทก์มอบกุญแจรถให้จำเลยที่ 2 ไปนี้ จึงมิใช่ความผิดของบริวารของโจทก์เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ใช้กุญแจรถดังกล่าวขับรถยนต์ของโจทก์ออกจากโรงแรมไปจนเกิดอุบัติเหตุทำให้รถโจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยที่ 1 จึงไม่พ้นความรับผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 663/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทางสาธารณะโดยปริยาย สัญญาซื้อขายโมฆะ
ประชาชนได้ใช้ที่พิพาทเป็นทางเข้าออกเป็นเวลาสิบ ๆ ปี ก่อนที่จำเลยจะรับโอนกรรมสิทธิเป็นเจ้าของ โดยไม่มีการสงวนสิทธิหวงห้ามใด ๆ เลย แม้จะไม่ได้ความว่าผู้ใดอุทิศที่ของตนให้เป็นทางสาธารณะโดยตรงหรือโดยพิธีการ ก็ต้องถือว่าเจ้าของที่ดินเดิมที่เส้นทางนี้ผ่านได้อุทิศที่พิพาทให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยายแล้ว จำเลยเพิ่งรับโอนที่พิพาทหลังจากที่เจ้าของเดิมได้อุทิศทางพิพาทไปแล้ว แม้ทางพิพาทจะอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลยก็ตาม จำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะยึดถือเอาเป็นของตนได้
จำเลยเอาที่พิพาทไปทำสัญญาจะซื้อจะขายให้โจทก์สัญญาดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ จำเลยต้องคืนเงินค่าที่ดินบางส่วนทีรับไปให้แก่โจทก์ และจะเรียกร้องให้โจทก์ปฏิบัติมาตามสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งเป็นโมฆะหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 663/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทิศที่ดินเป็นทางสาธารณะโดยปริยาย สัญญาซื้อขายที่ดินสาธารณะเป็นโมฆะ
ประชาชนได้ใช้ที่พิพาทเป็นทางเข้าออกเป็นเวลาสิบ ๆ ปี ก่อนที่จำเลยจะรับโอนกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของ โดยไม่มีการสงวนสิทธิหวงห้ามใด ๆ เลย แม้จะไม่ได้ความว่าผู้ใดอุทิศที่ของตนให้เป็นทางสาธารณะโดยตรงหรือโดยพิธีการ ก็ต้องถือว่าเจ้าของที่ดินเดิมที่เส้นทางนี้ผ่านได้อุทิศที่พิพาทให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยายแล้วจำเลยเพิ่งรับโอนที่พิพาทหลังจากที่เจ้าของเดิมได้อุทิศพิพาทไปแล้ว แม้ทางพิพาทจะอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลยก็ตาม จำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะยึดถือเอาเป็นของตนได้
จำเลยเอาที่พิพาทไปทำสัญญาจะซื้อจะขายให้โจทก์สัญญาดังกล่าวจึงเป็นโมฆะจำเลยต้องคืนเงินค่าที่ดินบางส่วนที่รับไปให้แก่โจทก์ และจะเรียกร้องให้โจทก์ปฏิบัติมาตามสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งเป็นโมฆะหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 655/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีแม้จำเลยมิได้ขอทุเลาการบังคับ ศาลมีอำนาจดำเนินการได้ตามกฎหมาย
จำเลยแพ้คดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ในชั้นฎีกาจำเลยมิได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ กรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 231 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 247 คือการยื่นฎีกาไม่เป็นการทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ย่อมที่จะขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 278 ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจในฐานะเป็นผู้แทนเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในอันที่จะได้รับชำระหนี้หรือทรัพย์สินที่ลูกหนี้นำมาวางและออกใบรับให้ กับมีอำนาจที่จะยึดหรืออายัดและยึดถือทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไว้และมีอำนาจที่จะเอาทรัพย์สินเช่นว่านี้ออกขายทอดตลาด ทั้งมีอำนาจที่จะจำหน่ายทรัพย์สินหรือเงินรายได้จากการนั้น และดำเนินวิธีการบังคับทั่ว ๆ ไปตามที่ศาลได้กำหนดไว้ในหมายบังคับคดี คดีนี้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะจ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ไปจึงเป็นส่วนหนึ่งของการบังคับคดีเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ขอทุเลาการบังคับเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ต้องจ่ายเงินให้โจทก์ไป
การบังคับคดีเป็นอำนาจและหน้าที่ของศาลชั้นต้น ถึงแม้จำเลยที่ 1 จะไม่ขอทุเลาการบังคับ ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจดำเนินการบังคับคดีไปตามปกติ เช่นจะสั่งงดการบังคับคดีไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292(2) ก็ทำได้ซึ่งเป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 655/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีหลังฎีกา: สิทธิโจทก์ในการรับชำระหนี้ แม้จำเลยมิได้ขอทุเลาการบังคับ
จำเลยแพ้คดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ในชั้นฎีกาจำเลยมิได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับ กรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 231 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 247 คือการยื่นฎีกาไม่เป็นการทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ย่อมที่จะขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 278 ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจในฐานะเป็นผู้แทนเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในอันที่จะได้รับชำระหนี้หรือทรัพย์สินที่ลูกหนี้นำมาวางและออกใบรับให้ กับมีอำนาจที่จะยึดหรืออายัดและยึดถือทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไว้ และมีอำนาจที่จะเอาทรัพย์สินเช่นว่านี้ออกขายทอดตลาด ทั้งมีอำนาจที่จะจำหน่ายทรัพย์สินหรือเงินรายได้จากการนั้น และดำเนินวิธีการบังคับทั่ว ๆ ไปตามที่ศาลได้กำหนดไว้ในหมายบังคับคดี คดีนี้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะจ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ไปจึงเป็นส่วนหนึ่งของการบังคับคดี เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ขอทุเลาการบังคับเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ต้องจ่ายเงินให้โจทก์ไป
การบังคับคดีเป็นอำนาจและหน้าที่ของศาลชั้นต้น ถึงแม้จำเลยที่ 1 ไม่ขอทะเลาการบังคับ ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจดำเนินการบังคับคดีไปตามปกติ เช่นจะสั่งงดการบังคับคดีไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292 (2) ก็ทำได้ ซึ่งเป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้น
of 92