พบผลลัพธ์ทั้งหมด 914 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1783-1799/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาออกเช็คเพื่อประกัน ไม่ถือเป็นเจตนาทุจริตตาม พ.ร.บ.เช็ค หากตกลงกันไม่ให้ขึ้นเงิน
จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อเป็นประกันในการที่โจทก์ร่วมให้สินเชื่อซื้อยาปราบศัตรูฝ้ายและพืช โดยเมื่อถึงกำหนดชำระเงินตามเช็คจำเลยจะซื้อดราฟท์ส่งไปให้โจทก์ร่วม และโจทก์ร่วมก็จะคืนเช็คพิพาทให้ ดังนี้ แม้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท จำเลยก็หามีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 3 ไม่ ข้อความในมาตรา 3(1) ที่ว่า "โดยเจตนาที่จะมิให้มีการใช้เงินตามเช็ค" ย่อมเป็นความผิดหมายความว่าเมื่อออกเช็คนั้นผู้สั่งจ่ายต้องมีเจตนาจะไม่ให้มีการจ่ายเงินในเมื่อนำเช็คไปขึ้นเงินหาได้หมายความว่าหากคู่กรณีตกลงกันไม่ให้นำเช็คไปขึ้นก็จะต้องเป็นความผิดไปด้วยไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1783-1799/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาออกเช็คเพื่อประกัน ไม่ถือเป็นเจตนาทุจริตตาม พ.ร.บ. เช็ค หากตกลงกันไม่ขึ้นเงิน
จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อเป็นประกันในการที่โจทก์ร่วมให้สินเชื่อซื้อยาปราบศัตรูและพืช โดยเมื่อถึงหนดชำระเงินตามเช็คจำเลยจะซื้อดราฟท์ส่งไปให้โจทก์ร่วม และโจทก์ร่วมก็จะคืนเช็คพิพาทให้ ดังนี้ แม้ธนาคารปฎิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท จำเลยก็หามีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 3 ไม่ ข้อความในมาตรา 3(1) ที่ว่า "โดยเจตนาที่จะมิให้มีการใช้เงินตามเช็ค" ย่อมเป็นความผิดหมายความว่าเมื่อออกเช็คนั้นผู้สั่งจ่ายต้องมีเจตนาจะไม่ให้มีการจ่ายเงินในเมื่อนำเช็คไปขึ้นเงินหาได้หมายความว่าหากคู่กรณีตกลงกันไม่ให้นำเช็คไปขึ้นก็จะต้องเป็นความผิดไปด้วยไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1778/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ไต่สวนเหตุจำเป็นที่โจทก์มาศาลล่าช้าก่อนพิพากษาคดี เป็นการไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์ชอบพิพากษายกคำพิพากษาเดิม
ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์นำสืบก่อน ถึงวันนัดทนายโจทก์ทนายจำเลยและตัวจำเลยมาศาล ทนายโจทก์แถลงว่าตัวโจทก์และพยานไม่มาศาลไม่ทราบเหตุขัดข้องสุดแต่ศาลจะพิจารณาสั่ง ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ไม่เอาใจใส่ละทิ้งคดีเป็นการประวิงคดี ก็เป็นความเข้าใจของศาลชั้นต้นเอง แม้ศาลชั้นต้นได้สั่งว่าให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อโดยไม่ให้เลื่อน โดยถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบแล้วอนุญาตให้สืบพยานจำเลยไปจนเสร็จสิ้นและนัดอ่านคำพิพากษาไว้ในวันเดียวกันก็ตาม แต่เมื่อก่อนอ่านคำพิพากษาตัวโจทก์มาศาลและยื่นคำร้องว่า เหตุที่มาศาลล่าช้าเพราะฝนตกมีรถตักดินเสียขวางทางอยู่เป็นเหตุสุดวิสัย ขอสืบพยาน จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะทำการไต่สวนให้ได้ความเสียก่อนว่าข้ออ้างของโจทก์เป็นความจริงหรือไม่ เพราะถ้าเป็นความจริงก็ไม่พอถือได้ว่าตัวโจทก์ไม่เอาใจใส่ในคดี ประวิงคดี ดังที่ศาลชั้นต้นเข้าใจในตอนแรก การที่ศาลชั้นต้นไม่ไต่สวนและพิจารณาคดีไป จึงไม่เป็นไปตามขั้นตอนแห่งการดำเนินกระบวนพิจารณา เป็นการไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเสีย ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนและสั่งคำร้องขอสืบพยานของโจทก์แล้วพิจารณาพิพากษาใหม่
แม้ตามอุทธรณ์ของโจทก์คงขอให้สืบพยาน มิได้ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนและสั่งคำร้องของโจทก์ก็ตาม แต่การที่ศาลอุทธรณ์สั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนและสั่งคำร้องขอสืบพยานของโจทก์ ก็เป็นไปตามขั้นตอนที่จะอนุญาตให้โจทก์ทำการสืบพยานใหม่ตามอุทธรณ์ของโจทก์นั่นเอง ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจสั่งได้
แม้ตามอุทธรณ์ของโจทก์คงขอให้สืบพยาน มิได้ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนและสั่งคำร้องของโจทก์ก็ตาม แต่การที่ศาลอุทธรณ์สั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนและสั่งคำร้องขอสืบพยานของโจทก์ ก็เป็นไปตามขั้นตอนที่จะอนุญาตให้โจทก์ทำการสืบพยานใหม่ตามอุทธรณ์ของโจทก์นั่นเอง ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจสั่งได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1778/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไต่สวนคำร้องขอสืบพยานเพิ่มเติมหลังศาลเห็นว่าโจทก์ละทิ้งคดี การไม่ไต่สวนถือเป็นการไม่ชอบ
ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์นำสืบก่อน ถึงวันนัดทนายโจทก์ ทนายจำเลยและตัวจำเลยมาศาล ทนายโจทก์แถลงว่าตัวโจทก์และพยานไม่มีศาลไม่ทราบเหตุขัดข้องสุดแต่ศาลจะพิจารณาสั่ง ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ไม่เอาใจใส่ละทิ้งคดีเป็นการประวิงคดี ก็เป็นความเข้าใจของศาลชั้นต้นเอง แม้ศาลชั้นต้นได้สั่งว่าให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อโดยไม่ให้เลื่อน โดยถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบแล้วอนุญาตให้สืบพยานจำเลยไปจนเสร็จสิ้นและนัดอ่านคำพิพากษาไว้ในวันเดียวกันก็ตาม แต่เมื่อก่อนอ่านคำพิพากษาตัวโจทก์มาศาลและยื่นคำร้องว่า เหตุที่มาศาลล่าช้าเพราะฝนตกมีรถตักดินเสียขวางทางอยู่เป็นเหตุสุดวิสัย ขอสืบพยาน จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะทำการไต่สวนให้ได้ความเสียก่อนว่าข้ออ้างของโจทก์เป็นความจริงหรือไม่ เพราะถ้าเป็นความจริงก็ไม่พอถือได้ว่าตัวโจทก์ไม่เอาใจใส่ในคดี ประวิงคดี ดังที่ศาลชั้นต้นเข้าในในตอนแรก การที่ศาลชั้นต้นไม่ไต่สวนและพิจารณาคดีไป จึงไม่เป็นไปตามขั้นตอนแห่งการดำเนินกระบวนการพิจารณาเป็นการไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเสีย ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนและสั่งคำร้องขอสืบพยานของโจทก์แล้วพิจารณาพิพากษาใหม่
แม้ตามอุทธรณ์ของโจทก์คงขอให้สืบพยาน มิได้ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนและสั่งคำร้องของโจทก์ก็ตาม แต่การที่ศาลอุทธรณ์สั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนและสั่งคำร้องขอสืบพยานของโจทก์ ก็เป็นไปตามขั้นตอนที่จะอนุญาตให้โจทก์ทำการสืบพยานใหม่ตามอุทธรณ์ของโจทก์นั่นเอง ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจสั่งได้
แม้ตามอุทธรณ์ของโจทก์คงขอให้สืบพยาน มิได้ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนและสั่งคำร้องของโจทก์ก็ตาม แต่การที่ศาลอุทธรณ์สั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนและสั่งคำร้องขอสืบพยานของโจทก์ ก็เป็นไปตามขั้นตอนที่จะอนุญาตให้โจทก์ทำการสืบพยานใหม่ตามอุทธรณ์ของโจทก์นั่นเอง ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจสั่งได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1767/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตมาตรา 798 และการเรียกเงินทดรองจากตัวแทน
ตั้งตัวแทนให้ซื้อของราคากว่า 500 บาท โดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ตัวแทนเรียกให้ตัวการใช้เงินที่ออกทดรองไป ตัวการอ้าง มาตรา 798 ขึ้นต่อสู้ตัวแทนไม่ได้มาตรา 798 เป็นบทที่หมายถึงกิจการที่ตัวแทนทำกับบุคคลภายนอกแทนตัวการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1571/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อทางรถยนต์ - ความรับผิดทางละเมิด - การแบ่งความรับผิด
ผู้ขับรถยนต์ 2 ฝ่ายชนกันโดยต่างประมาทเลินเล่อ ทำให้ผู้นั่งมาในรถเสียหาย ศาลให้ผู้ขับรถทั้ง 2 ฝ่ายรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายฝ่ายละกึ่ง เพราะมีส่วนแห่งความประมาททัดเทียมกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1570/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับระยะเวลาวางเงินตามคำสั่งศาล: ผลของการไม่รอฟังคำสั่งและการป่วยหลังทราบคำสั่ง
โจทก์ยื่นฟ้องในวันที่ 7 มีนาคม 2518 ขอให้เพิกถอนคำสั่งอุทธรณ์ของอธิบดีและคำสั่งพนักงานเงินทดแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันนั้นว่า โจทก์ไม่ได้วางเงินตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ข้อ 60 ให้โจทก์วางเงินภายใน 3 วัน แล้วจะสั่งต่อไป ดังนี้เมื่อตามคำขอท้ายฟ้องระบุว่าโจทก์รอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว ก็ต้องถือว่าโจทก์ทราบคำสั่งของศาลในวันที่โจทก์ยื่นฟ้องนั่นเอง ซึ่งย่อมมีผลตั้งต้นคำนวณเป็นหนึ่งในวันรุ่งขึ้น และสิ้นสุดที่จะต้องวางเงินตามคำสั่งภายในวันที่ 10 มีนาคม 2518 เมื่อโจทก์ไม่วางเงินภายในเวลาดังกล่าวและศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องไปแล้ว โจทก์จะขอวางเงินโดยอ้างว่าเพิ่งทราบคำสั่งเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2518 หาได้ไม่ แม้โจทก์จะอ้างว่าโจทก์ป่วยก่อนที่จะทราบคำสั่งให้วางเงิน ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังที่โจกท์ทราบคำสั่งศาลแล้วเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1570/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวางเงินตามประกาศกระทรวงฯ เพื่อรับฟ้องคดี การนับระยะเวลา และผลของการไม่ปฏิบัติตาม
โจทก์ยื่นฟ้องในวันที่ 7 มีนาคม 2518 ขอให้เพิกถอนคำสั่งอุทธรณ์ของอธิบดีและคำสั่งพนักงานเงินทดแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันนั้นว่า โจทก์ไม่ได้วางเงินตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ข้อ 60 ให้โจทก์วางเงินภายใน 3 วัน แล้วจะสั่งต่อไป ดังนี้เมื่อตามคำขอท้ายฟ้องระบุว่าโจทก์รอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว ก็ต้องถือว่าโจทก์ทราบคำสั่งของศาลในวันที่โจทก์ยื่นฟ้องนั่นเอง ซึ่งย่อมมีผลตั้งต้นคำนวณเป็นหนึ่งในวันรุ่งขึ้น และสิ้นสุดที่จะต้องวางเงินตามคำสั่งภายในวันที่ 10 มีนาคม 2518 เมื่อโจทก์ไม่วางเงินภายในเวลาดังกล่าวและศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องไปแล้ว โจทก์จะขอวางเงินโดยอ้างว่าเพิ่งทราบคำสั่งเมื่อวันที่ 12 มีนาคม2518 หาได้ไม่ แม้โจทก์จะอ้างว่าโจทก์ป่วยก่อนที่จะทราบคำสั่งให้วางเงิน ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังที่โจทก์ทราบคำสั่งศาลแล้วเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1516-1517/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งนายกฯ ตาม ม.17 ยึดทรัพย์เป็นของรัฐทันที ผู้มีสิทธิถูกจำกัดสิทธิฟ้อง และการสิ้นสุดอำนาจตัวแทน
คำสั่งนายกรัฐมนตรีตามธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร มาตรา 17ให้ทรัพย์ตกเป็นของรัฐทันที มีผลให้ที่ดินและบ้านตามคำสั่งตกเป็นของรัฐในวันออกคำสั่ง จึงไม่มีอะไรต้องปฏิบัติให้เสร็จใน 5 ปีต่อไปอีก
คำพิพากษาวินิจฉัยว่าที่ดินตกเป็นของรัฐตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ตามธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร มาตรา 17 โจทก์ในคดีนั้นจึงไม่มีอำนาจฟ้อง และพิพากษายืนให้ยกฟ้อง คำสั่งนั้นมีผลบังคับเป็นกฎหมายทันทีใช้ยันจำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้น ไม่ต้องรื้อขึ้นพิจารณาในคดีนี้ใหม่
ตัวแทนหมดอำนาจเมื่อตัวการตาย ไม่มีอำนาจโอนขายที่ดินของตัวการหลังจากตัวการตาย
ผู้อาศัยในโรงเรือนซ่อมแซมบ้านเพื่อความสะดวกสบายของตนสิ่งที่ทำขึ้นเป็นส่วนควบตกแก่เจ้าของ เมื่อถูกเรียกบ้านคืนจะเรียกค่าทดแทนไม่ได้
คำพิพากษาวินิจฉัยว่าที่ดินตกเป็นของรัฐตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ตามธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร มาตรา 17 โจทก์ในคดีนั้นจึงไม่มีอำนาจฟ้อง และพิพากษายืนให้ยกฟ้อง คำสั่งนั้นมีผลบังคับเป็นกฎหมายทันทีใช้ยันจำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้น ไม่ต้องรื้อขึ้นพิจารณาในคดีนี้ใหม่
ตัวแทนหมดอำนาจเมื่อตัวการตาย ไม่มีอำนาจโอนขายที่ดินของตัวการหลังจากตัวการตาย
ผู้อาศัยในโรงเรือนซ่อมแซมบ้านเพื่อความสะดวกสบายของตนสิ่งที่ทำขึ้นเป็นส่วนควบตกแก่เจ้าของ เมื่อถูกเรียกบ้านคืนจะเรียกค่าทดแทนไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1512/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทรัพย์สินจากการอยู่กินฉันสามีภรรยาและการแบ่งทรัพย์สินร่วมกัน
โจทก์จำเลยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสและได้ร่วมทำมาหากินในการประกอบการค้า ทรัพย์สินที่เกิดขึ้นในระหว่างนั้นย่อมเป็นทรัพย์สินที่โจทก์จำเลยทำมาหาได้มาด้วยกัน ฉะนั้น โจทก์จำเลยจึงต่างมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในทรัพย์เหล่านั้น การแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวจึงต้องแบ่งให้โจทก์จำเลยเท่า ๆ กัน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์จำเลยอยู่กินเป็นสามีภรรยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส และได้ร่วมกันประกอบการค้า มีรายได้และเกิดทรัพย์สินขึ้นหลายอย่างดังที่ระบุไว้ในฟ้อง จึงขอแบ่งรายได้และทรัพย์สินตามฟ้องครึ่งหนึ่งให้โจทก์นั้น เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว และจำเลยก็ให้การต่อสู้มาทุกประเด็น แสดงว่าจำเลยเข้าใจข้อหาอย่างแจ้งชัดฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
สิทธิการเช่าเป็นทรัพย์สิน และต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดกฎหมายและสัญญาซึ่งผู้เช่าจะโอนโดยผู้เช่าไม่ยินยอมไม่ได้ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์จำเลยมีสิทธิในการเช่าร่วมกัน ก็ย่อมจะแบ่งสิทธินั้นกันได้ ไม่ขัดต่อกฎหมายแต่อย่างใด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์จำเลยอยู่กินเป็นสามีภรรยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส และได้ร่วมกันประกอบการค้า มีรายได้และเกิดทรัพย์สินขึ้นหลายอย่างดังที่ระบุไว้ในฟ้อง จึงขอแบ่งรายได้และทรัพย์สินตามฟ้องครึ่งหนึ่งให้โจทก์นั้น เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว และจำเลยก็ให้การต่อสู้มาทุกประเด็น แสดงว่าจำเลยเข้าใจข้อหาอย่างแจ้งชัดฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
สิทธิการเช่าเป็นทรัพย์สิน และต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดกฎหมายและสัญญาซึ่งผู้เช่าจะโอนโดยผู้เช่าไม่ยินยอมไม่ได้ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์จำเลยมีสิทธิในการเช่าร่วมกัน ก็ย่อมจะแบ่งสิทธินั้นกันได้ ไม่ขัดต่อกฎหมายแต่อย่างใด