พบผลลัพธ์ทั้งหมด 535 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 359/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทตั๋วสัญญาใช้เงิน: การฟ้องบังคับชำระหนี้, การรับรองการขาย, และอายุความ
ออกตั๋วสัญญาใช้เงินกำหนดใช้เงิน 1,460 วัน นับแต่วันออกตั๋วไม่มีอัตราดอกเบี้ย แล้วขายตั๋วแก่ธนาคาร โดยทำสัญญาให้ดอกเบี้ยร้อยละ 14 ต่อปี ถ้าผิดนัดธนาคารเรียกเงินจากผู้ออกตั๋วและดอกเบี้ยได้ตามสัญญาขายตั๋วเมื่อผู้ออกตั๋วไม่ใช้เงินตามกำหนดซึ่งเป็นผิดนัดโดยไม่ต้องทวงถาม
อายุความฟ้องผู้รับอาวัลกับผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินมีกำหนด 3 ปีตาม มาตรา940,1001
การมอบอำนาจให้ฟ้องมิใช่เป็นสภาพหรือข้ออ้างที่เป็นหลักแห่งข้อหา โจทก์ไม่บรรยายมติที่ประชุมกรรมการบริษัทที่ให้ประธานกรรมการมอบอำนาจให้ฟ้องก็ไม่เคลือบคลุม
จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์เป็นธนาคารพาณิชย์แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นและจำเลยไม่คัดค้าน ศาลชั้นต้นไม่วินิจฉัยจำเลยฎีกาไม่ได้
อายุความฟ้องผู้รับอาวัลกับผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินมีกำหนด 3 ปีตาม มาตรา940,1001
การมอบอำนาจให้ฟ้องมิใช่เป็นสภาพหรือข้ออ้างที่เป็นหลักแห่งข้อหา โจทก์ไม่บรรยายมติที่ประชุมกรรมการบริษัทที่ให้ประธานกรรมการมอบอำนาจให้ฟ้องก็ไม่เคลือบคลุม
จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์เป็นธนาคารพาณิชย์แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นและจำเลยไม่คัดค้าน ศาลชั้นต้นไม่วินิจฉัยจำเลยฎีกาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 199/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย้งที่มิชอบ เมื่อจำเลยปฏิเสธความเป็นผู้รับประกันภัย และการเรียกบุคคลภายนอกเข้าเป็นจำเลยตามฟ้องแย้ง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับประกันวินาศภัยรถยนต์คันเกิดเหตุ และรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันมาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างให้ร่วมรับผิดกันจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างขับรถโดยประมาทชนรถที่เอาประกันเสียหาย จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธว่าโจทก์มิได้เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าว กรมธรรม์ประกันภัยเป็นเอกสารปลอม ความเสียหายเกิดเพราะความประมาทของลูกจ้างผู้เอาประกัน ฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหาย และขอให้เรียกผู้เอาประกันกับลูกจ้างเข้ามาเป็นจำเลยตามฟ้องแย้งด้วย ดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 2 ปฏิเสธฟ้องว่า โจทก์มิใช่ผู้รับประกันภัย จึงไม่มีมูลที่จำเลยที่ 2 จะฟ้องแย้งโจทก์ตามสัญญาประกันภัยเพราะมิได้เกี่ยวกับฟ้องเดิม เมื่อศาลไม่รับฟ้องแย้งของจำเลย จึงไม่อาจเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยตามฟ้องแย้งได้เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 199/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายต้องเชื่อมโยงกับฟ้องเดิม หากปฏิเสธการรับประกันภัย ฟ้องแย้งต่อบริษัทประกันภัยจึงไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับประกันวินาศภัยรถยนต์คันเกิดเหตุ และรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันมาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างขับรถโดยประมาทชนรถที่เอาประกันเสียหายจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธว่าโจทก์มิได้เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าว กรมธรรม์ประกันภัยเป็นเอกสารปลอม ความเสียหายเกิดเพราะความประมาทของลูกจ้างผู้เอาประกัน ฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหาย และขอให้เรียกผู้เอาประกันกับลูกจ้างเข้ามาเป็นจำเลยตามฟ้องแย้งด้วย ดังนี้เมื่อจำเลยที่ 2ปฏิเสธฟ้องว่า โจทก์มิใช่ผู้รับประกันภัย จึงไม่มีมูลที่จำเลยที่ 2 จะฟ้องแย้งโจทก์ตามสัญญาประกันภัยเพราะมิได้เกี่ยวกับฟ้องเดิม เมื่อศาลไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่อาจเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยตามฟ้องแย้งได้เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 195/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความไม่มีเจตนาให้ดำเนินคดี ถือไม่ได้เป็นคำร้องทุกข์
คำแจ้งความว่าจำเลยออกเช็คไม่มีเงินในธนาคาร จึงมาแจ้งให้ตำรวจทราบไว้เป็นหลักฐาน ไม่มีเจตนาให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับจำเลยที่จะให้จำเลยได้รับโทษ ไม่เป็นคำร้องทุกข์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 82/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดร่วมกันของเจ้าของรถและผู้ขับขี่จากการประมาททางรถยนต์ แม้ไม่มีความสัมพันธ์ตัวการตัวแทน
จำเลยที่ 1 อาสาขับรถให้จำเลยที่ 3 โดยมีจำเลยที่ 3 เจ้าของรถนั่งไปด้วย ระหว่างทางจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย กรณีเช่นนี้จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ตัวแทนจำเลยที่ 3 เพราะมิใช่เป็นกิจการที่ทำแทนตัวการต่อบุคคลที่ 3 เป็นกิจการในระหว่างจำเลยที่ 3 เจ้าของรถกับจำเลยที่ 1 ผู้อาสา จำเลยที่ 3 ผู้ครอบครองและจำเลยที่ 1 ผู้ควบคุมรถยนต์อันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลจึงต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดแก่ยานพาหนะนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 82/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดร่วมกันของเจ้าของรถและผู้ขับขี่ กรณีอาสาขับรถ ความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437
จำเลยที่ 1 อาสาขับรถให้จำเลยที่ 3 โดยมีจำเลยที่ 3 เจ้าของรถนั่งไปด้วย ระหว่างทางจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย กรณีเช่นนี้จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ตัวแทนจำเลยที่ 3 เพราะมิใช่เป็นกิจการที่ทำแทนตัวการต่อบุคคลที่ 3 เป็นกิจการในระหว่างจำเลยที่ 3 เจ้าของรถกับจำเลยที่ 1 ผู้อาสา จำเลยที่ 3 ผู้ครอบครองและจำเลยที่ 1 ผู้ควบคุมรถยนต์อันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลจึงต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 71/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้จากการจ้างทำของในคดีล้มละลาย ศาลพิจารณาเหตุไม่สมควรให้ล้มละลายได้ แม้จำเลยไม่ได้ยกข้อต่อสู้
จำเลยว่าจ้างโจทก์ให้ทำการโฆษณาสินค้าและภาพยนตร์ซึ่งเป็นการจ้างทำของ หนี้รายนี้จึงมีอายุความให้ฟ้องร้องได้ภายในกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา165(1) เมื่อนับจากวันที่หนี้รายนี้เกิดขึ้นถึงวันที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายเนื่องจากค้างชำระสินจ้างดังกล่าวเป็นเวลาเกินสองปีแล้ว หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องจึงขาดอายุความ
คดีล้มละลายจำเลยไม่จำต้องให้การสู้คดีเช่นคดีแพ่งสามัญจึงไม่มีประเด็นอย่างใดเกิดขึ้น. การพิจารณาคดีล้มละลายผิดแผกแตกต่างกับการพิจารณาคดีแพ่งสามัญ เพราะพระราชบัญญัติล้มละลายเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนมีผลในทางตัดสิทธิและเสรีภาพของผู้ที่ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ศาลจึงต้องพิจารณาเอาความจริงตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 ว่าคดีมีเหตุที่ควรหรือไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลายหรือไม่ฉะนั้น แม้จำเลยจะมิได้ยกข้อต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าหนี้ตามฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ จึงเป็นหนี้ที่เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ตามมาตรา 94(1) ถือได้ว่าเป็นเหตุที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลายตามมาตรา 14 ดังกล่าวศาลย่อมพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้
คดีล้มละลายจำเลยไม่จำต้องให้การสู้คดีเช่นคดีแพ่งสามัญจึงไม่มีประเด็นอย่างใดเกิดขึ้น. การพิจารณาคดีล้มละลายผิดแผกแตกต่างกับการพิจารณาคดีแพ่งสามัญ เพราะพระราชบัญญัติล้มละลายเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนมีผลในทางตัดสิทธิและเสรีภาพของผู้ที่ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ศาลจึงต้องพิจารณาเอาความจริงตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 ว่าคดีมีเหตุที่ควรหรือไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลายหรือไม่ฉะนั้น แม้จำเลยจะมิได้ยกข้อต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าหนี้ตามฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ จึงเป็นหนี้ที่เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ตามมาตรา 94(1) ถือได้ว่าเป็นเหตุที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลายตามมาตรา 14 ดังกล่าวศาลย่อมพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 71/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้จากการจ้างทำของขาดอายุความเป็นเหตุไม่ควรให้ล้มละลาย แม้จำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้
จำเลยว่าจ้างโจทก์ให้ทำการโฆษณาสินค้าและภาพยนตร์ซึ่งเป็นการจ้างทำของ หนี้รายนี้จึงมีอายุความให้ฟ้องร้องได้ภายในกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 (1) เมื่อนับจากวันที่หนี้รายนี้เกิดขึ้นถึงวันที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายเนื่องจากค้างชำระสินจ้างดังกล่าวเป็นเวลาเกินสองปีแล้ว หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องจึงขาดอายุความ
คดีล้มละลายจำเลยไม่จำต้องให้การสู้คดีเช่นคดีแพ่งสามัญจึงไม่มีประเด็นอย่างใดเกิดขึ้น การพิจารณาคดีล้มละลายผิดแผกแตกต่างกับการพิจารณาคดีแพ่งสามัญเพราะพระราชบัญญัติล้มละลายเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนมีผลในทางตัดสิทธิและเสรีภาพของผู้ที่ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ศาลจึงต้องพิจารณาเอาความจริงตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนมีผลในทางตัดสิทธิและเสรีภาพของผู้ที่ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ศาลจึงต้องพิจารณาเอาความจริงตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ว่าคดีมีเหตุที่ควรหรือไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลายหรือไม่ ฉะนั้น แม้จำเลยจะมิได้ยกข้อต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าหนี้ตามฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ จึงเป็นหนี้ที่เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ตามมาตรา 94 (1) ถือได้ว่าเป็นเหตุที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลายตามมาตรา 14 ดังกล่าว ศาลย่อมพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้
คดีล้มละลายจำเลยไม่จำต้องให้การสู้คดีเช่นคดีแพ่งสามัญจึงไม่มีประเด็นอย่างใดเกิดขึ้น การพิจารณาคดีล้มละลายผิดแผกแตกต่างกับการพิจารณาคดีแพ่งสามัญเพราะพระราชบัญญัติล้มละลายเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนมีผลในทางตัดสิทธิและเสรีภาพของผู้ที่ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ศาลจึงต้องพิจารณาเอาความจริงตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนมีผลในทางตัดสิทธิและเสรีภาพของผู้ที่ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ศาลจึงต้องพิจารณาเอาความจริงตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ว่าคดีมีเหตุที่ควรหรือไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลายหรือไม่ ฉะนั้น แม้จำเลยจะมิได้ยกข้อต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าหนี้ตามฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ จึงเป็นหนี้ที่เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ตามมาตรา 94 (1) ถือได้ว่าเป็นเหตุที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลายตามมาตรา 14 ดังกล่าว ศาลย่อมพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 44/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำร้องซ้ำในกระบวนการบังคับคดีเมื่อไม่พอใจคำสั่งศาล ชอบที่จะอุทธรณ์ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด
คำร้องฉบับแรกและฉบับหลังของจำเลยมีใจความอย่างเดียวกันว่าโจทก์ยึดที่ดินที่โจทก์นำยึดไม่ได้ เพราะเป็นสินสมรส ต้องขอแยกเสียก่อน ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดเมื่อศาลมีคำสั่งยกคำร้องฉบับแรก จำเลยไม่พอใจอย่างไร ชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งของศาลภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ได้ แต่จำเลยไม่อุทธรณ์ กลับมายื่นคำร้องใหม่ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 44/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำร้องซ้ำในคดีบังคับคดี การอุทธรณ์คำสั่งศาล และข้อห้ามในการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ
คำร้องฉบับแรกและฉบับหลังของจำเลยมีใจความอย่างเดียวกันว่าโจทก์ยึดที่ดินที่โจทก์นำยึดไม่ได้ เพราะเป็นสินสมรส ต้องขอแยกเสียก่อน ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด เมื่อศาลมีคำสั่งยกคำร้องฉบับแรก จำเลยไม่พอใจอย่างไร ชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งของศาลภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ได้ แต่จำเลยไม่อุทธรณ์ กลับมายื่นคำร้องใหม่ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144