คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เพียร ศรีอรุณ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 535 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1369/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองทรัพย์สินของนายจ้างโดยลูกจ้าง และเจตนาทุจริตในการลักทรัพย์
กล้องถ่ายภาพยนตร์เป็นของกรมแรงงาน อยู่ในความรับผิดชอบดูแลรักษาของ ส. จำเลยเป็นลูกจ้างประจำ ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ช่างภาพ ส. ได้มอบกุญแจตู้เหล็กเก็บกล้องถ่ายภาพยนตร์ให้จำเลยเก็บรักษา บางครั้ง ส. กับจำเลยไปถ่ายภาพในกิจการของกรมแรงงาน บางครั้งจำเลยไปคนเดียว นำกล้องถ่ายภาพยนตร์ไปได้โดยไม่ต้องรายงาน ส. แต่เสร็จราชการแล้วต้องนำไปเก็บไว้ที่เดิม ถ้าเสร็จงานเมื่อหมดเวลาราชการ จำเลยนำไปไว้ที่บ้านได้ วันเปิดทำงานก็นำเอาไปเก็บที่เดิมเช่นนี้ ยังถือไม่ได้ว่า ส. ได้มอบการครอบครองกล้องถ่ายภาพยนตร์ให้แก่จำเลย จำเลยเอากล้องถ่ายภาพยนตร์ไปโดยเจตนาทุจริต ย่อมเป็นความผิดฐานลักทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1369/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองทรัพย์สินของนายจ้างและการลักทรัพย์: แม้มอบกุญแจไขตู้เก็บทรัพย์สินให้ลูกจ้าง ก็ไม่ได้หมายความว่ามอบการครอบครองให้
กล้องถ่ายภาพยนตร์เป็นของกรมรแรงงาน อยู่ในความรับผิดชอบดูแลรักษาของ ส. จำเลยเป็นลูกจ้างประจำ ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ช่างภาพ ส.ได้มอบกุญแจตู้เหล็กเก็บกล้องถ่ายภาพยนตร์ให้จำเลยเก็บรักษา บางครั้ง ส.กับจำเลยไปถ่ายภาพให้กิจการของกรมแรงงาน บางครั้งจำเลยไปคนเดียว นำกล้องถ่ายภาพยนตร์ไปได้โดยไม่ต้องรายงาน ส. แต่เสร็จราชการแล้วต้องนำไปเก็บไว้ที่เดิม ถ้าเสร็จงานเมื่อหมดเวลาราชการ จำเลยนำไปไว้ที่บ้านได้ วันเปิดทำงานก็นำเอาไปเก็บที่เดิม เช่นนี้ ยังถือไม่ได้ว่า ส.ได้มอบการครอบครองกล้องถ่ายภาพยนตร์ให้แก่จำเลย จำเลยเอากล้องถ่ายภาพยนตร์ไปโดยเจตนาทุจริต ย่อมเป็นความผิดฐานลักทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1332/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินคดีแพ่งโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้มีเหตุส่งหมายเรียกผิดพลาด ศาลต้องพิจารณาความตั้งใจของผู้ฟ้อง
แม้โจทก์มิได้แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายในกำหนด 7 วันตามคำสั่ง ศาลชั้นต้น ในกรณีส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้แก่จำเลยไม่ได้ก็ตาม เมื่อได้ความว่าโจทก์ได้เอาใจใส่ในการดำเนินคดีของโจทก์มาโดยตลอด พนักงานศาลไปส่งหมายเรียกกับสำเนาคำฟ้องให้จำเลยผิดจากวันที่นัดหมายกันไว้ โดยโจทก์ไม่ทราบ ไม่ได้นำส่ง แต่โจทก์ก็ติดตามทำคำแถลงเกี่ยวกับเรื่องนี้มอบหมายให้ผู้อื่นไปยื่นต่อศาลแต่เกินกำหนด 7 วัน ซึ่งศาลได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงใหม่ในตราประทับรับฟ้องเดิมที่กำหนดไว้ 15 วันไปเพียงวันเดียว จึงยังไม่ได้ว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลกำหนด ศาลจะมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องและให้จำหน่ายคดีจากสารบบความหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1236/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องอาญาต้องระบุรายละเอียดการกระทำความผิด หากระบุเพียงบทกฎหมายถือเป็นฟ้องไม่ชอบ
การที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ เป็นเหตุให้ใช้ชนผู้อื่นถึงตาย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ดังนี้ ฟ้องโจทก์เป็นแต่เพียงกล่าวอ้างถ้อยคำในบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าการกระทำอย่างไรเป็นการกระทำโดยประมาทโดยมิได้บรรยายข้อเท็จจริงให้เห็นว่าจำเลยมีความประมาทอย่างไร อันเป็นลักษณะสำคัญของคดีที่จะให้จำเลยรู้ข้อหาในความประมาทของตน จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1236/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องอาญาฐานประมาทต้องระบุรายละเอียดการกระทำที่เป็นความประมาท มิใช่แค่กล่าวอ้างตามกฎหมาย
การที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ เป็นเหตุให้ชนผู้อื่นถึงตายขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 ดังนี้ ฟ้องโจทก์เป็นแต่เพียงกล่าวอ้างถ้อยคำในบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าการกระทำอย่างไรเป็นการกระทำโดยประมาทโดยมิได้บรรยายข้อเท็จจริงให้เห็นว่าจำเลยมีความประมาทอย่างไร อันเป็นลักษณะสำคัญของดีที่จะให้จำเลยรู้ข้อหาในความประมาทของตน จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1151/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้างในทางการที่จ้าง และค่าเสียหายจากการเสียชีวิต
โจทก์บรรยายฟ้อง ก.ลูกจ้างของจำเลย ได้ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยไปในทางการที่จ้าง โดยความประมาทปราศจากความระมัดระวังและขับเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เป็นเหตุให้ชน ส.บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการปลงศพเป็นเงิน 10,000 บาท เป็นฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งขออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว ไม่จำเป็นต้องบรรยายรายละเอียดในเรื่องค่าเสียหายเกี่ยวกับการปลงศพ ซึ่งโจทก์อาจนำสืบในชั้นพิจารณาได้อยู่แล้ว ฟ้องโจทก์ไม่ฟ้องเคลือบคลุม
ก.ลูกจ้างจำเลยมีหน้าที่ขับรถขุดดิน แต่ไม่มีหน้าที่ขับรถบรรทุกดินคันเกิดเหตุซึ่งอยู่ในแผนกเดียวกันกับตน วันเกิดเหตุ ก.ได้เบิกรถบรรทุกดินคันเกิดเหตุไปเพื่อขับบรรทุกดินในกิจการของจำเลยแทน ม. โดยประสงค์จะได้เงินค่าล่วงเวลา ท.เจ้าหน้าที่ควบคุมและปล่อยรถจำเลยได้ปล่อยให้ ก.นำรถดังกล่าวไปได้ ศ.เจ้าหน้าที่ของจำเลยซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของ ก.เห็นว่า ก.ไม่มีหน้าที่ขับรถคันนั้น และนำรถออกมาไม่ถูกระเบียบจึงไม่ให้ขับ และให้ก.ไปขับรถขุดดินแทน แต่เมื่อเลิกงาน ศ. กลับปล่อยให้ ก.ขับรถคันเกิดเหตุกลับไปเก็บ ระหว่างทาง ก.ขับรถยนต์ชนบุตรโจทก์ถึงแก่ความตายโดยความประมาท การกระทำของ ก. เป็นไปในทางการที่จ้างของจำเลยโดยตรง การที่รถคันเกิดเหตุถูกนำออกโดยไม่ถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับของจำเลย เกิดจากความประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่จำเลย จะนำมาใช้ยันบุคคลภายนอกเพื่อให้จำเลยพ้นความรับผิดหาได้ไม่
การที่บุตรโจทก์ถึงแก่ความตายโดยการละเมิด โจทก์ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนที่ต้องขาดไร้อุปการะ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์จะต้องเป็นผู้ที่ดำรงชีพด้วยการอุปการะของผู้ตายจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1127/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำนองเปลี่ยนแปลงหลักประกันได้ ลูกหนี้มิใช่ผู้จำนองไม่มีสิทธิคัดค้าน การไถ่จำนองไม่ระงับหนี้เดิม
ส. จำนองที่ดินค้ำประกันหนี้ของโจทก์ จำนองเป็นหนี้อุปกรณ์ผู้จำนองกับผู้รับจำนองตกลงกันเปลี่ยนแปลงหลักประกันได้ โดยลูกหนี้ไม่มีสิทธิขัดขวาง จำนองระงับเพราะไถ่จำนอง ไม่ทำให้หนี้เดิมของลูกหนี้ซึ่งมิใช่ผู้จำนองระงับไปด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 980/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมปล้นทรัพย์ แม้ไม่ได้ลงมือเองและไม่รู้ว่ามีอาวุธ ก็มีความผิดตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสามนั่งรถยนต์ไปด้วยกันแล่นผ่านหน้าบ้านผู้เสียหายเพื่อดูลาดเลาหาโอกาสชิงทรัพย์ผู้เสียหายก่อนแล้วจอดรถห่างจากผู้เสียหายเพียง 2 เมตรโดยไม่ดับเครื่อง จำเลยที่ 1 ลงจากรถไปรัดคอและกระชากสร้อยคอผู้เสียหายแล้ววิ่งหนีขึ้นรถ จำเลยที่ 2 เฝ้าดูการกระทำของจำเลยที่ 1 อยู่บนรถตลอดเวลา เมื่อได้ทรัพย์แล้วก็นั่งรถหลบหนีไปด้วยกัน ดังนี้ แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้ลงมือกระชากสร้อย จำเลยที่ 2 ก็ต้องมีความผิดฐานร่วมเป็นตัวการกระทำการปล้นทรัพย์ด้วย
เมื่อจำเลยที่ 1 มีอาวุธ (มีด) ติดตัวไปด้วยในการปล้นทรัพย์ แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ใช้หรือแสดงอาวุธในการกระทำความผิด และจำเลยที่ 2 ไม่รู้ว่าจำเลยที่ 1 มีอาวุธก็ตาม จำเลยที่ 2 ก็ต้องมีความผิดตามมาตรา340 วรรคสอง ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2514
ศาลล่างพิเคราะห์พยานหลักฐานในสำนวนแล้ว เชื่อตามพยานโจทก์ว่าจำเลยกระทำผิดและลงโทษจำเลย ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าพยานหลักฐานของจำเลยไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ แม้คำพิพากษาไม่ได้กล่าวในรายละเอียดไว้ว่ารับฟังพยานหลักฐานจำเลยไม่ได้อย่างไร ก็ไม่ขัดต่อกฎหมายวิธีพิจารณาความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 980/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมปล้นทรัพย์ แม้ไม่ได้ลงมือเอง และการใช้คำรับสารภาพประกอบพยานหลักฐาน
จำเลยทั้งสามนั่งรถยนต์แล่นช้า ๆ ผ่านหน้าบ้านที่ผู้เสียหายกำลังทำความสะอาดอยู่ 2 เที่ยว จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นคนขับ จอดรถโดยไม่ดับเครื่อง ห่างผู้เสียหาย 2 เมตร จำเลยที่ 1 ลงจากรถไปข้างหลังผู้เสียหาย ใช้แขนรัดคอกระชากสร้อยคอแล้ววิ่งมาขึ้นรถ โดยจำเลยที่ 2 เฝ้าดูการกระทำอยู่ตลอดเวลา เสร็จแล้วหนีไปด้วยกัน และถูกจับได้พร้อมกันในเวลาต่อมาไม่นาน จำเลยที่ 2 รับสารภาพต่อเจ้าพนักงานตำรวจผู้ทำบันทึกจับกุม เช่นนี้ แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ลงมือกระชากสร้อยเอง ก็ต้องมีความผิดฐานร่วมเป็นตัวการกระทำการปล้นทรัพย์ด้วย จำเลยที่ 1 มีมีดเป็นอาวุธ แม้มิได้ใช้หรือแสดงอาวุธนั้นในการกระทำผิด และจำเลยที่ 2 ก็ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 มีอาวุธ ก็ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานมีอาวุธทำการปล้นทรัพย์ได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 2 ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14
คำรับสารภาพชั้นถูกจับกุมของจำเลยนั้น ศาลย่อมนำมาฟังประกอบพยานหลักฐานในสำนวนได้
การที่ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานในสำนวนแล้วเชื่อตามพยานโจทก์ว่าจำเลยกระทำผิด และลงโทษจำเลยนั้น ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าพยานหลักฐานจำเลยไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ได้ แม้ไม่กล่าวในคำพิพากษาว่ารับฟังพยานหลักฐานจำเลยไม่ได้อย่างไร ก็ไม่ขัดต่อกฎหมายวิธีพิจารณาความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 975/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนสิทธิครอบครองบ้านบนที่ดิน น.ส.3 แม้สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ
จำเลยขายฝากที่ดิน น.ส.3 พร้อมบ้านพิพาทซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าวไว้กับ ส. แล้วไม่ไถ่คืนภายในกำหนด ต่อมา ส. ขายที่ดินและบ้านดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องโดยทำสัญญาซื้อขายกันเอง ดังนี้ แม้สัญญาซื้อขายบ้านพิพาทระหว่าง ส. กับผู้ร้องเป็นโมฆะ เพราะไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ดี แต่บ้านพิพาทปลูกอยู่บนที่ดิน น.ส.3 ซึ่งมีได้แต่สิทธิครอบครอง บ้านพิพาทอันเป็นส่วนควบของที่ดินดังกล่าวจึงมีได้แต่เพียงสิทธิครอบครองเช่นเดียวกัน เมื่อ ส. ได้สละเจตนาครอบครองบ้านพิพาทให้ผู้ร้อง การครอบครองของ ส. ก็นิ้นลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 และผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับโอนก็ได้ไปซึ่งการครอบครองตามมาตรา 1378 จำเลยไม่มีสิทธิใด ๆ ในบ้านพิพาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิยึดบ้านพิพาทเพื่อขายทอดตลาด
of 54