คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เพียร ศรีอรุณ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 535 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 975/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนสิทธิครอบครองบ้านบนที่ดิน น.ส.3 แม้สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ สิทธิครอบครองยังคงมีผล
จำเลยขายฝากที่ดิน น.ส.3 พร้อมบ้านพิพาทซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าวไว้กับ ส. ขายที่ดินและบ้านดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องโดยทำสัญญาซื้อขายกันเองดังนี้ แม้สัญญาซื้อขายบ้านพิพาทระหว่าง ส. กับผู้ร้องโมฆะเพราะไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ดี แต่บ้านพิพาทปลูกอยู่บนที่ดิน น.ส.3 ซึ่งมีได้แต่สิทธิครอบครอง บ้านพิพาทอันเป็นส่วนควบของที่ดินดังกล่าวจึงได้แต่เพียงสิทธิครอบครองเช่นเดียวกัน เมื่อ ส. ได้สละเจตนาครอบครองบ้านพิพาทให้ผู้ร้อง การครอบครองของ ส. ก็สิ้นลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 และผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับโอนก็ได้ไปซึ่งการครอบครองตามมาตรา 1378 จำเลยไม่มีสิทธิใด ๆ ในบ้านพิพาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิยึดบ้านพิพาทเพื่อขายทอดตลาด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 860/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับผิดตามเช็ค: แม้จะพิพาทเรื่องที่มาของหนี้ แต่จำเลยผู้สั่งจ่ายยังต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คที่ออก
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์ แม้โจทก์นำสืบว่าจำเลยไม่เคยสั่งซื้อสินค้าพิพาทจากโจทก์หรือเป็นหนี้โจทก์ เช็คพิพาทนั้นไม่ได้สั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ส่วนตัว แต่เป็นเช็คที่จำเลยออกให้โจทก์เพื่อชำระหนี้บางส่วนแทนบุคคลอื่น การนำสืบดังกล่าวเป็นเพียงรายละเอียดเพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้เช็คมาอย่างไร และเหตุใดโจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบเท่านั้น เมื่อปรากฏว่าเช็คพิพาทนั้นเป็นเช็คที่จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายและโจทก์เป็นผู้ทรง จำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายย่อมต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ แม้จำเลยจะตั้งทนายมาถามค้านพยานโจทก์ก็ตาม ข้อต่อสู้ของจำเลยเรื่องโจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริตนั้น ไม่ได้เป็นประเด็นมาแต่แรก จำเลยจะยกข้อเท็จจริงเรื่องนี้ขึ้นอ้างในศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาเพื่อให้วินิจฉัยนั้น ไม่ได้ ทั้งมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ฎีกาจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 730/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลดค่าปรับนายประกันที่จำเลยหลบหนีและถูกติดตามจับกุมได้ ความผิดฐานยักยอก
นายประกันนำส่งตัวจำเลยตามที่ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ได้ ศาลชั้นต้นสั่งปรับ 50,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ปรับ 40,000 บาท นายประกันฎีกาต่อมา ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดของจำเลยฐานยักยอกเป็นความผิดเล็กน้อย ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ นายประกันก็ได้พยายามติดตามจำเลยแต่ไม่พบ หลังจากอ่านคำพิพากษาและสั่งปรับกับออกหมายจับแล้วก็จับไม่ได้ โดยเสียค่าใช้จ่ายในการติดตามเป็นจำนวนไม่น้อย ดังนี้ รูปคดีมีเหตุที่จะลดหย่อนค่าปรับให้แก่นายประกันลงอีก จึงให้ปรับ 30,000 บาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 564/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องภาษีบำรุงเทศบาล, ผู้ค้าโภคภัณฑ์, รถยนต์บรรทุก: การตีความข้อยกเว้นภาษีการซื้อโภคภัณฑ์
ภาษีบำรุงเทศบาลที่เทศบาลมีอำนาจออกเทศบัญญัติเก็บเพิ่มขึ้นไม่เกินร้อยละสิบจากภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ตามประมวลรัษฎากร ตามมาตรา 12(2)แห่งพระราชบัญญัติรายได้เทศบาล พ.ศ. 2497 นั้น มาตรา 14 วรรคแรกแห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกันนี้ ให้ถือว่าเป็นภาษีตามประมวลรัษฎากร เมื่อปรากฏว่าโจทก์ยื่นอุทธรณ์คัดค้านต่อกรมสรรพากร จำเลยเฉพาะเรื่องการเรียกเก็บภาษีการซื้อโภคภัณฑ์มิได้คัดค้านเรื่องการเรียกเก็บภาษีบำรุงเทศบาลด้วยโจทก์เพิ่งมาคัดค้านในชั้นศาล จึงไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30
แม้โจทก์จะทำหน้าที่เป็นแต่เพียงตัวแทนช่วยจัดการสั่งซื้อรถยนต์จากต่างประเทศให้ผู้อื่น โจทก์ก็ยังเป็นผู้ค้าโภคภัณฑ์ตามบทนิยามคำว่า "ผู้ค้ำโภคภัณฑ์"ในมาตรา 166 แห่งประมวลรัษฎากร เพราะบทบัญญัตินี้ผู้ค้าโภคภัณฑ์หมายความรวมถึงผู้ทำการแทนด้วย ดังนั้น โจทก์จึงต้องรับผิดในการชำระภาษีการซื้อโภคภัณฑ์สำหรับรถยนต์ที่โอนให้แก่ผู้อื่นตามมาตรา 173
เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ค้าโภคภัณฑ์ได้สั่งซื้อรถยนต์เข้ามาใช้ในกิจการเดินรถโดยสารของโจทก์เอง โจทก์ก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการซื้อโภคภัณฑ์สำหรับรถยนต์จำนวนนี้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 168
บทบัญญัติของประมวลรัษฎากรมีเจตนารมณ์ที่จะเรียกเก็บภาษีโภคภัณฑ์จากรถยนต์ทุกชนิดยกเว้น "รถยนต์บรรทุก" ตามความหมายในบัญชีอัตราภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ท้ายลักษณะ 4 ว่าด้วยการซื้อโภคภัณฑ์ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 มาตรา 53 รถยนต์ชนิดใดเป็นรถยนต์บรรทุกย่อมต้องตีความโดยเคร่งครัด คำว่า "บรรทุก" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานหมายถึง "ใส่ลง บรรจุลง" ดังนั้น "รถยนต์บรรทุก" ย่อมหมายความถึงรถยนต์ที่บรรทุกสิ่งของมิใช่คนโดยสารดังรถยนต์ โดยสารสำเร็จรูปของโจทก์ ส่วนคำนิยามในพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2473 มาตรา 4(3)คำว่า "รถยนต์สาธารณะ" หมายความถึงรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารหรือของนั้นไม่สามารถนำมาอ้างอิงเพื่อตีความคำว่า "รถยนต์บรรทุก" ในประมวลรัษฎากรได้ เพราะเป็นกฎหมายที่ต่างประเภทกัน และมีวัตถุประสงค์ต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 564/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องภาษีบำรุงเทศบาล, ผู้ค้าโภคภัณฑ์, และการตีความ 'รถยนต์บรรทุก' เพื่อยกเว้นภาษี
ภาษีบำรุงเทศบาลที่เทศบาลมีอำนาจออกเทศบัญญัติเก็บเพิ่มขึ้นไม่เกินร้อยละสิบจากภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ตามประมวลรัษฎากร ตามมาตรา 12 (2) แห่งพระราชบัญญัติรายได้เทศบาล พ.ศ. 2497 นั้น มาตรา 14 วรรคแรกแห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกันนี้ให้ถือว่าเป็นภาษีตามประมวลรัษฎากร เมื่อปรากฏว่าโจทก์ยื่นอุทธรณ์คัดค้านต่อกรมสรรพากร จำเลยเฉพาะเรื่องการเรียกเก็บภาษีการซื้อโภคภัณฑ์มิได้คัดค้านเรื่องการเรียกเก็บภาษีบำรุงเทศบาลด้วย โจทก์เพิ่งมาคัดค้านในชั้นศาล จึงไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30
แม้โจทก์จะทำหน้าที่เป็นแต่เพียงตัวแทนช่วยจัดการสั่งซื้อรถยนต์จากต่างประเทศมาให้ผู้อื่น โจทก์ก็ยังเป็นผู้ค้าโภคภัณฑ์ตามบทนิยามคำว่า "ผู้ค้าโภคภัณฑ์" ในมาตรา 166 แห่งประมวลรัษฎากร เพราะบทบัญญัตินี้ผู้ค้าโภคภัณฑ์หมายความรวมถึงผู้ทำการแทนด้วย ดังนั้น โจทก์จึงต้องรับผิดในการชำระภาษีการซื้อโภคภัณฑ์สำหรับรถยนต์ที่โอนให้แก่ผู้อื่นตามมาตรา 173
เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ค้าโภคภัณฑ์ได้สั่งซื้อรถยนต์เข้ามาใช้ในกิจการเดินรถโดยสารของโจทก์เอง โจทก์ก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการซื้อโภคภัณฑ์สำหรับรถยนต์จำนวนนี้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 168
บทบัญญัติของประมวลรัษฎากรมีเจตนารมณ์ที่จะเรียกเก็บภาษีโภคภัณฑ์จากรถยนต์ทุกชนิดยกเว้น "รถบรรทุก" ตามความหมายในบัญชีอัตราภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ท้ายลักษณะ 4 ว่าด้วยภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 มาตรา 53 รถยนต์ชนิดใดเป็นรถยนต์บรรทุกย่อมต้องตีความโดยเคร่งครัด คำว่า "บรรทุก" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานหมายถึง "ใส่ลง บรรจุลง" ดังนั้น "รถยนต์บรรทุก" ย่อมหมายความถึงรถยนต์ที่บรรทุกสิ่งของมิใช่คนโดยสารดังรถยนต์โดยสารสำเร็จรูปของโจทก์ ส่วนคำนิยามในพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2473 มาตรา 4 (3) คำว่า "รถยนต์สาธารณะ" หมายความถึงรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารหรือของนั้นไม่สามารถนำมาอ้างอิงเพื่อตีความคำว่า "รถยนต์บรรทุก" ในประมวลรัษฎากรได้ เพราะเป็นกฎหมายที่ต่างประเภทกัน และมีวัตถุประสงค์ต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 507/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิมรดกของบุตรบุญธรรมตามกฎหมายเก่าหลังมีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
กฎหมายลักษณมรฎก บทที่ 12 บัญญัติให้บุตรบุญธรรมมีสิทธิได้รับมรดกของผู้รับบุตรบุญธรรมในภาคญาติ แต่ต่อมามีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมลักษณมรฎก ร.ศ.121 บัญญัติให้ญาติของผู้มรณภาพตามที่กำหนดไว้เป็นชั้น ๆ ได้รับมรดกในภาคญาติ แต่สำหรับบุตรบุญธรรมไม่ได้กำหนดไว้ บุตรบุญธรรมตามกฎหมายเก่านับแต่ ร.ศ. 121 เป็นต้นมา จึงไม่มีสิทธิรับมรดกของผู้รับบุตรบุญธรรม ต่อมาเมื่อประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5และ 6 แล้ว บุตรบุญธรรมในบทบัญญัติมาตรา 1586 และ 1627 ก็หมายความเฉพาะบุตรบุญธรรมที่จดทะเบียนตามมาตรา 1585 เท่านั้น มิได้รวมถึงบุตรบุยธรรมตามกฎหมายเก่าซึ่งใช้อยู่ก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ด้วย เพราะพระราชบัญญัติ บรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์พ.ศ. 2477 มาตรา 4 บัญญัติไว้ว่า "บทบัญญัติแห่งบรรพนี้ไม่กระทงกระเทือนถึง(2) การรับบุตรบุญธรรมซึ่งมีอยู่ก่อนวันใช้ประมวลกฎหมายบรรพนี้ หรือสิทธิและหนี้อันเกิดแต่การนั้น ๆ " ซึ่งมีความหมายว่า สิทธิและหน้าที่ของบุตรบุญธรรมมีอยู่ตามกฎหมายเก่าอย่างไร เมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ใช้บังคับแล้วก็คงมีอยู่อย่างนั้น ดังนั้น บุตรบุญธรรมของเจ้ามรดกตามกฎหมายเก่าและมิได้จดทะเบียนเป็นบุตรบุญธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1585 จึงไม่มีสิทธิรับมรดกของผู้รับบุตรบุญธรรมซึ่งถึงแก่กรรมหลังจากที่ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 แล้ว (วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2519)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 507/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิมรดกของบุตรบุญธรรมตามกฎหมายเก่าและการจดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
กฎหมายลักษณะมรดก บทที่ 12 บัญญัติให้บุตรบุญธรรมมีสิทธิได้รับมรดกของผู้รับบุตรบุญธรรมในภาคญาติ แต่ต่อมามีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมลักษณะมรดก ร.ศ. 121 บัญญัติให้ญาติของผู้มรณภาพตามที่กำหนดไว้เป็นชั้น ๆ ได้รับมรดกในภาคญาติ แต่สำหรับบุตรบุญธรรมไม่ได้กำหนดไว้ บุตรบุญธรรมตามกฎหมายเก่านับแต่ ร.ศ. 121 เป็นต้นมา จึงไม่มีสิทธิรับมรดกของผู้รับบุตรบุญธรรม ต่อมาเมื่อประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 และ 6 แล้ว บุตรบุญธรรมในบทบัญญัติมาตรา 1586 และ 1627 ก็หมายความเฉพาะบุตรบุญธรรมที่จดทะเบียนตามมาตรา 1585 เท่านั้น มิได้รวมถึงบุตรบุญธรรมตามกฎหมายเก่าซึ่งใช้อยู่ก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ด้วย เพราะพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2477 มาตรา 4 บัญญัติไว้ว่า "บทบัญญัติแห่งบรรพนี้ไม่กระทบกระเทือนถึง............(2) การรับบุตรบุญธรรมซึ่งมีอยู่ก่อนวันใช้ประมวลกฎหมายบรรพนี้ หรือสิทธิและหนี้อันเกิดแต่การนั้น ๆ" ซึ่งมีความหมายว่า สิทธิและหน้าที่ของบุตรบุญธรรมมีอยู่ตามกฎหมายเก่าอย่างไร เมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ใช้บังคับแล้วก็คงมีอยู่อย่างนั้น ดังนั้น บุตรบุญธรรมของเจ้ามรดกตามกฎหมายเก่าและมิได้จดทะเบียนเป็นบุตรบุญธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 แล้ว (วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 3/2519)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 393/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยายามวิ่งราวทรัพย์: การกระทำยังไม่บรรลุผล แต่มีเจตนาและร่วมวางแผน
ผู้เสียหายจับสร้อยที่สวมคอไว้ ม. กระชากสร้อยขาดแต่ยังติดมือผู้เสียหายอยู่ ยังเป็นแต่จะทำให้สร้อยขาดหลุดจากคอเท่านั้น การเอาไปยังไม่บรรลุผล ผู้เสียหายร้องขึ้น ม. วิ่งไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยติดเครื่องคอยอยู่ริมถนนฝั่งตรงข้ามขับหนีไปตามแผนการณ์ที่ร่วมกันวางไว้เป็นการพยายามวิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ จำเลยเป็นตัวการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน2514 ข้อ 13 ด้วย
คดีที่ ม. เป็นจำเลย ศาลลงโทษตามคำรับสารภาพฐานวิ่งราวทรัพย์เป็นความผิดสำเร็จ คดีที่ศาลสั่งให้แยกฟ้องจำเลยนี้ได้ความว่าการกระทำเป็นเพียงพยายาม ศาลลงโทษคดีนี้ฐานพยายามวิ่งราวทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 223/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงท้าพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือไม่สมบูรณ์ ศาลต้องพิจารณาตามรูปคดี
ในชั้นพิจารณาโจทก์จำเลยท้ากันให้ส่งเอกสารรวม 5 ฉบับไปพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือที่กองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ ถ้าผลการพิสูจน์น่าเชื่อว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์แม้แต่ลายพิมพ์หนึ่งลายพิมพ์ใด โจทก์ยอมแพ้คดี แต่ถ้าผลปรากฏว่าไม่น่าเชื่อว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์แล้ว จำเลยยอมแพ้คดี ครั้นกองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจตรวจพิสูจน์แล้ว ลงความเห็นว่า เอกสาร 4 ฉบับ ไม่ใช่ลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ ส่วนอีกฉบับหนึ่งเลอะเลือน ไม่อาจตรวจลงความเห็นได้ ดังนี้ ย่อมไม่ครบถ้วนตรงตามคำท้าของฝ่ายจำเลยที่ว่า จะถือว่าจำเลยแพ้คดีก็ต่อเมื่อไม่น่าเชื่อว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ทั้งหมดเท่านั้น แม้เอกสารฉบับที่ 5 ที่พิสูจน์ไม่ได้จะเป็นคู่ฉบับของเอกสารฉบับที่ 1 ก็ตาม ก็จะพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีไม่ได้ เพราะไม่ตรงตามคำท้าที่โจทก์จำเลยตกลงกัน กรณีเช่นนี้คำท้าของโจทก์จำเลยย่อมเป็นอันตกไป และศาลต้องดำเนินการพิจารณาต่อไปตามรูปคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 223/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำท้าพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือไม่ครบถ้วนตามข้อตกลง ศาลไม่ถือว่าจำเลยแพ้คดี
ในชั้นพิจารณาโจทก์จำเลยท้ากันให้ส่งเอกสารรวม 5 ฉบับไปพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือที่กองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ ถ้าผลการพิสูจน์น่าเชื่อว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ แม้แต่ลายพิมพ์หนึ่งลายพิมพ์ใด โจทก์ยอมแพ้คดี แต่ถ้าผลปรากฏว่า ไม่น่าเชื่อว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์แล้ว จำเลยยอมแพ้คดี ครั้นกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจตรวจพิสูจน์แล้วลงความเห็นว่า เอกสาร 4 ฉบับ ไม่ใช่ลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ ส่วนอีกฉบับหนึ่งเลอะเลือนไม่อาจตรวจลงความเห็นได้ ดังนี้ ย่อมไม่ครบถ้วนตรงตามคำท้าของฝ่ายจำเลยที่ว่าจะถือว่าจำเลยแพ้คดีก็ต่อเมื่อไม่น่าเชื่อว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ทั้งหมดเท่านั้น แม้เอกสารฉบับที่ 5 ที่พิสูจน์ไม่ได้จะเป็นคู่ฉบับของเอกสารฉบับที่ 1 ก็ตาม ก็จะพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีไม่ได้เพราะไม่ตรงตามคำท้าที่โจทก์จำเลยตกลงกัน กรณีเช่นนี้คำท้าของโจทก์จำเลยย่อมเป็นอันตกไป และศาลต้องดำเนินการพิจารณาต่อไปตามรูปคดี
of 54