คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
มาโนช จรมาศ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 71 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2521/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าเกิน 3 ปี ต้องจดทะเบียน มิฉะนั้นบังคับได้เพียง 3 ปี และการชดใช้ค่าเสียหายที่ลดลงตามส่วน
การที่โจทก์จำเลยทำสัญญาเช่ากันมีกำหนดเวลา 14 ปีและมีข้อความว่า ผู้ให้เช่าจะร่วมกับผู้เช่ายื่นคำร้องขอจดทะเบียนการเช่าภายใน 7 วันนั้น สัญญาเช่ามีระยะเวลาการเช่าเกินกว่า 3 ปี เมื่อยังมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โจทก์จะฟ้องบังคับให้จำเลยจดทะเบียนการเช่ามีกำหนดเวลา 14 ปีไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2489/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขข้อผิดพลาดในคำพิพากษา: ยื่นคำร้องในคดีเดิม ไม่ใช่คดีใหม่
การร้องขอให้ศาลแก้ไขข้อผิดพลาดหรือผิดหลงเล็กน้อยในพิพากษาหรือคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 นั้น เมื่อพิจารณาตามเนื้อหาหรือความมุ่งหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 วรรคแรก และวรรคสามแล้ว จะเห็นได้ว่าผู้ร้องชอบที่จะยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลในคดีเดิม มิใช่กรณีที่จะต้องทำเป็นคำร้องขอ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 171

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2226/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ คดีเบียดบังทรัพย์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า พยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยยักยอกทรัพย์ของโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ว่าคดีของโจทก์มีมูลว่าจำเลยยักยอกทรัพย์ของโจทก์ อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์โต้เถียงปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2517 มาตรา 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2226/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามในคดีอาญา: การยักยอกทรัพย์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า พยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยยักยอกทรัพย์ของโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ว่าคดีของโจทก์มีมูลว่าจำเลยยักยอกทรัพย์ของโจทก์ อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์โต้เถียงปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2517 มาตรา 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2173/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่านายหน้าเกิดเมื่อมีสัญญาซื้อขายที่สมบูรณ์
โจทก์จะเรียกค่านายหน้าได้ก็ต่อเมื่อจำเลยกับผู้ซื้อได้ทำสัญญาซื้อขายกันเสร็จเนื่องจากผลของการที่โจทก์ชี้ช่องหรือจัดการ เมื่อสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยกับผู้ซื้อยังไม่ได้กระทำกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลยกขึ้นวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2018/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพรากผู้เยาว์โดยใช้อุบายหลอกลวงและความยินยอมที่ไม่แท้จริง
จำเลยชวนผู้เสียหายไปเที่ยวสวนลุมพินี ผู้เสียหายไม่ไป จำเลยจึงอ้างว่าจะพาผู้เสียหายไปส่งโรงเรียน แล้วจำเลยก็เรียกรถแท็กซี่มา ผู้เสียหายคิดว่าจำเลยจะพาไปส่งโรงเรียนจริง ๆ จึงยอมขึ้นรถแท็กซี่ไปกับจำเลย ขณะอยู่บนรถแท็กซี่ เมื่อผู้เสียหายรู้ว่าแท็กซี่ไม่ไปส่งโรงเรียน ผู้เสียหายได้ต่อว่าจำเลย ตอนจำเลยพาผู้เสียหายไปที่บ้านแห่งหนึ่ง ผู้เสียหายก็ขอร้องให้จำเลยพากลับบ้าน จำเลยว่ารอให้พี่ชายกลับมาก่อนไม่มีค่ารถแท็กซี่ แสดงว่า จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายโดยผู้เสียหายไม่เต็มใจไปกับจำเลย จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2018/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพรากผู้เยาว์โดยใช้อุบายหลอกลวงและข่มขืนใจ แม้ผู้เสียหายไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือ ศาลพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
จำเลยชวนผู้เสียหายไปเที่ยวสวนลุมพินี ผู้เสียหายไม่ไป จำเลยจึงอ้างว่าจะพาผู้เสียหายไปส่งโรงเรียน แล้วจำเลยก็เรียกรถแท็กซี่มา ผู้เสียหายคิดว่าจำเลยจะพาไปส่งโรงเรียนจริง ๆ จึงยอมขึ้นรถแท็กซี่ไปกับจำเลย ขณะอยู่บนรถแท็กซี่ เมื่อผู้เสียหายรู้ว่ารถแท็กซี่ไม่ไปส่งโรงเรียน ผู้เสียหายได้ต่อว่าจำเลย ตอนจำเลยพาผู้เสียหายไปที่บ้านแห่งหนึ่ง ผู้เสียหายก็ขอร้องให้จำเลยพากลับบ้าน จำเลยว่ารอให้พี่ชายกลับมาก่อนไม่มีค่ารถแท็กซี่ แสดงว่าจำเลยหลอกลวงผู้เสียหายโดยผู้เสียหายไม่เต็มใจไปกับจำเลย จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 318
of 8