คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ไพบูลย์ ไวกาสี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 536 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 479/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยอมมอบของกลางและการลุแก่โทษ ลดโทษอาญา
แม้จะรับสารภาพโดยจำนนพยาน ไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา แต่จำเลยยอมให้ตำรวจจับโดยดีและนำมีดของกลางมามอบแก่ตำรวจ ถือเป็นการลุแก่โทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 444/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฟ้องเพิกถอน/เลิกห้างหุ้นส่วนจำกัดสงวนสำหรับหุ้นส่วนเท่านั้น
ผู้ที่มิได้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจำกัดไม่มีสิทธิฟ้องให้เพิกถอนการจดทะเบียน หรือให้เลิกห้างหุ้นส่วนและชำระบัญชี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 423/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาอาศัยร่วมและผลผูกพันตามสัญญา แม้ไม่จดทะเบียนก็มีผลบังคับใช้ได้
มารดาโจทก์จำเลยซื้อที่ดินและตึกพิพาทให้โจทก์ แต่ก่อนจดทะเบียนซื้อขายลงชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญากันไว้ว่าโจทก์ยอมให้จำเลยกับสามีได้อยู่อาศัยร่วมกับโจทก์ในที่ดินตลอดไปจนกว่าจำเลยไม่ต้องการจะอยู่อาศัย ทั้งนี้เพราะเป็นความประสงค์ของมารดาโจทก์จำเลย และเพราะจำเลยยินยอมให้โจทก์ลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกพิพาทคนเดียว สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนธรรมดาที่มีผลผูกพันกัน และแม้ไม่ได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 ก็บังคับกันได้ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 378/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดรับสินบน แตกต่างจากกรรโชก: อัยการไม่มีอำนาจขอใช้ราคาทรัพย์
ความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ฐานรับสินบน ซึ่งไม่เป็นความผิดตาม มาตรา 337 ฐานกรรโชก อัยการไม่มีอำนาจขอให้จำเลยใช้ราคาทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 205/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดิน ส.ค.1 ยังไม่เป็น น.ส.3 โอนทางพินัยกรรมไม่ได้ แต่บังคับตามสัญญาจะขายได้
ที่ดินมี ส.ค.1 ยังไม่มี น.ส.3 ไม่อาจโอนกันทางพินัยกรรมจดทะเบียน แต่ศาลพิพากษาให้ส่งมอบที่ดินตามสัญญาจะขายได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 147/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร้องสอดที่ไม่อนุญาตเนื่องจากส่วนได้เสียไม่ร่วมหรือแทนที่กัน ผู้ร้องสอดอ้างว่าจำเลยไม่มีส่วนได้เสีย
โจทก์ฟ้องว่า ท. ทำสัญญาจะขายที่ดินให้โจทก์ แล้วกลับนำไปโอนขายให้จำเลยซึ่งเป็นทายาทมีสิทธิได้รับมรดกของ ท. แต่ผู้เดียวเพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับตามสัญญาจะซื้อจะขาย ขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่าง ท. กับจำเลยให้จำเลยในฐานะผู้รับมรดกปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ ท. ทำไว้กับโจทก์ จำเลยให้การว่าจำเลยซื้อที่พิพาทและจดทะเบียนรับโอนมาโดยสุจริต ขอให้ยกฟ้องผู้ร้องสอดยื่นคำร้องว่าที่พิพาทนี้ท. ทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้ร้องสอดและสัญญาที่ท. โอนขายให้จำเลยนั้นทำโดยสมยอม ไม่มีเจตนาจะซื้อขายกันจริงเจตนาเพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับตามสัญญาที่ ท. ทำไว้กับโจทก์เท่านั้นจึงขอร้องสอดเข้ามาในคดีแทนที่จำเลยในฐานะที่เป็นผู้รับมรดกศาลชั้นต้นสอบถามแล้วผู้ร้องสอดแถลงว่าผู้ร้องสอดได้ฟ้องจำเลยเป็นอีกคดีหนึ่ง ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่างจำเลยกับ ท. ทำนองเดียวกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยดังนี้ เท่ากับผู้ร้องสอดอ้างว่าจำเลยไม่มีส่วนได้เสียในที่พิพาทแต่อย่างใดเลยผู้ร้องสอดเท่านั้นที่มีส่วนได้เสียโดยพินัยกรรมส่วนได้เสียของผู้ร้องสอดและของจำเลยจึงมิได้ร่วมกันหรือแทนที่กันซึ่งจะเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) ศาลจึงชอบที่จะสั่งไม่อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาดำเนินคดีแทนที่จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 147/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร้องสอดเพื่อคุ้มครองสิทธิผู้รับพินัยกรรม ต้องมีส่วนได้เสียต่างจากจำเลย
โจทก์ฟ้องว่า ท.ทำสัญญาจะขายที่ดินให้โจทก์ แล้วกลับนำไปโอนขายให้จำเลยซึ่งเป็นทายาทมีสิทธิได้รับมรดกของ ท.แต่ผู้เดียว เพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับตามสัญญาจะซื้อจะขาย ขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่าง ท.กับจำเลย ให้จำเลยในฐานะผู้รับมรดกปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ ท.ทำไว้กับโจทก์ จำเลยให้การว่าจำเลยซื้อที่พิพาทและจดทะเบียนรับโอนมาโดยสุจริต ขอให้ยกฟ้อง ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องว่าที่พิพาทนี้ ท.ทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้ร้องสอด และสัญญาที่ ท.โอนขายให้จำเลยนั้น ทำโดยสมยอม ไม่มีเจตนาจะซื้อขายกันจริง เจตนาเพื่อหลีกเลี่ยงบังคับตามสัญญาที่ ท.ทำไว้กับโจทก์เท่านั้น จึงขอร้องสอดเข้ามาในคดีแทนจำเลยในฐานที่เป็นผู้รับมรดก ศาลชั้นต้นสอบถามแล้ว ผู้ร้องสอดแถลงว่า ผู้ร้องสอดได้ฟ้องจำเลยเป็นอีกคดีหนึ่ง ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่างจำเลยกับ ท.ทำนองเดียวกับที่โจทก์ฟ้องจำเลย ดังนี้ เท่ากับผู้ร้องสอดอ้างว่าจำเลยไม่มีส่วนได้เสียในที่พิพาทแต่อย่างใดเลย ผู้ร้องสอดเท่านั้นที่มีส่วนได้เสียโดยพินัยกรรม ส่วนได้เสียของผู้ร้องสอดและของจำเลยจึงมิได้ร่วมกันหรือแทนที่กัน ซึ่งจะเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) ศาลจึงชอบที่จะสั่งไม่อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาดำเนินคดีแทนที่จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2942/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทำร้ายจนถึงแก่ความตาย: เจตนาฆ่าและเหตุชุลมุน
จำเลยกับพวกอีก 3 คน กลุ้มรุมทำร้ายผู้ตายฝ่ายเดียว โดยผู้ตายมิได้สมัครใจเข้าต่อสู้ด้วย การที่ผู้ตายต่อสู้ปัดป้องจึงมิใช่การร่วมชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 294
ผู้ตายมีบาดแผลถูกแทงเพียงแผลเดียว แม้จะถูกที่สำคัญ แต่เป็นบาดแผลที่เกิดขึ้นขณะชุลมุนกัน ไม่รู้ว่าใครแทงและแทงในลักษณะใด (สาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนเป็นเพียงสาเหตุที่จำเลยกับพวกเข้าทำร้ายผู้ตายเท่านั้น) พฤติการณ์ดังกล่าวไม่พอฟังว่าจำเลยกระทำไปโดยเจตนาฆ่าผู้ตาย จำเลยคงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290,83

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2837/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท: สิทธิฟ้องระงับเมื่อศาลมีคำพิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่า ส. โดยเจตนา คดีอยู่ในระหว่างนัดไต่สวนมูลฟ้อง วันรุ่งขึ้นพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยว่าทำปืนลั่นโดยประมาทเป็นเหตุให้ ส. ถึงแก่ความตาย จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยคดีถึงที่สุดแล้ว การกระทำผิดของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องกับที่พนักงานอัยการฟ้องนั้น แม้จะต่างข้อหากัน ก็เป็นการกระทำผิดกรรมเดียวกัน ศาลฟังข้อเท็จจริงแล้วว่าเป็นการกระทำโดยประมาท จะรื้อฟื้นให้ศาลพิจารณาพิพากษาความผิดกรรมเดียวกันนั้นอีกเป็นการทำผิดครั้งเดียวลงโทษ 2 ครั้งหาได้ไม่ เมื่อศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องนั้นแล้ว สิทธิ์นำคดีมาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4) โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าโจทก์ฟ้องคดีก่อนหรือหลังพนักงานอัยการ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1037/2501)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2837/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวกันลงโทษซ้ำ: สิทธิฟ้องระงับเมื่อศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่า ส. โดยเจตนาคดีอยู่ในระหว่างนัดไต่สวนมูลฟ้อง วันรุ่งขึ้นพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยว่าทำปืนลั่นโดยประมาทเป็นเหตุให้ส. ถึงแก่ความตาย จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยคดีถึงที่สุดแล้ว การกระทำผิดของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องกับที่พนักงานอัยการฟ้องนั้น แม้จะต่างข้อหากัน ก็เป็นการกระทำผิดกรรมเดียวกัน ศาลฟังข้อเท็จจริงแล้วว่าเป็นการกระทำโดยประมาท จะรื้อฟื้นให้ศาลพิจารณาพิพากษาความผิดกรรมเดียวกันนั้นอีกเป็นการทำผิดครั้งเดียวลงโทษ 2 ครั้งหาได้ไม่ เมื่อศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องนั้นแล้ว สิทธินำคดีมาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าโจทก์ฟ้องคดีก่อนหรือหลังพนักงานอัยการ(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1037/2501)
of 54