พบผลลัพธ์ทั้งหมด 133 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 323/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเอกสารพยานในคดีอาญา: ผู้ถูกเรียกไม่มีเอกสาร และโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย
ศาลมีคำสั่งให้บุคคลส่งเอกสารมาเป็นพยานในคดีอาญาผู้นั้นแจ้งต่อศาลว่าไม่มีเอกสารนั้นในครอบครอง โจทก์ในคดีอาญาเรื่องนั้นไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะฟ้องผู้ถูกเรียกเอกสารตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 170,137
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 289/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความละเมิดและการตกลงยินยอมโดยสมัครใจเป็นเหตุยกฟ้องคดีละเมิด
การที่ศาลชั้นต้นสั่งสืบพยานแล้วงดสืบพยานเป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณาสั่งได้ตามที่เห็นสมควรเพื่อให้คดีเสร็จไปโดยไม่ชักช้า
ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2509 จำเลยที่ 2 นำความเท็จไปแจ้งต่อนายอำเภอว่าสามีโจทก์บุกรุกที่ของจำเลยที่ 1 นายอำเภอหลงเชื่อมีคำสั่งห้ามมิให้โจทก์กับสามีเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดิน ทำให้โจทก์กับสามีต้องงดเว้นเข้าไปตัดจากตั้งแต่วันนั้นแสดงว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้พึงต้องใช้ค่าสินไมหทดแทนแล้วตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2509 อายุความละเมิดจึงเริ่มนับตั้งแต่วันนั้น ไม่ใช่นับแต่วันที่ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดิน
จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในคดีแพ่ง ระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าว จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อศาลว่า โจทก์ให้บุตรสาวเข้าไปตัดจากในที่พิพาท ขอให้ศาลเรียกมาสั่งให้ระงับการตัดจากในที่พิพาท เมื่อคู่ความมาศาลพร้อมแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างแถลงว่าจะไม่เข้าไปตัดจากในที่พิพาทซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งอ้างว่าเป็นของตน ถ้าฝ่ายใดผิดข้อตกลงยอมให้ปรับครั้งละ 1,000 บาท ต่อมาคดีนั้นศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยฟังว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท การที่โจทก์ไม่สามารถเข้าตัดจากได้ในระหว่างคดีก่อน เป็นเรื่องโจทก์ตกลงยินยอมโดยสมัครใจ ถือไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์
ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2509 จำเลยที่ 2 นำความเท็จไปแจ้งต่อนายอำเภอว่าสามีโจทก์บุกรุกที่ของจำเลยที่ 1 นายอำเภอหลงเชื่อมีคำสั่งห้ามมิให้โจทก์กับสามีเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดิน ทำให้โจทก์กับสามีต้องงดเว้นเข้าไปตัดจากตั้งแต่วันนั้นแสดงว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้พึงต้องใช้ค่าสินไมหทดแทนแล้วตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2509 อายุความละเมิดจึงเริ่มนับตั้งแต่วันนั้น ไม่ใช่นับแต่วันที่ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดิน
จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในคดีแพ่ง ระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าว จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อศาลว่า โจทก์ให้บุตรสาวเข้าไปตัดจากในที่พิพาท ขอให้ศาลเรียกมาสั่งให้ระงับการตัดจากในที่พิพาท เมื่อคู่ความมาศาลพร้อมแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างแถลงว่าจะไม่เข้าไปตัดจากในที่พิพาทซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งอ้างว่าเป็นของตน ถ้าฝ่ายใดผิดข้อตกลงยอมให้ปรับครั้งละ 1,000 บาท ต่อมาคดีนั้นศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยฟังว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท การที่โจทก์ไม่สามารถเข้าตัดจากได้ในระหว่างคดีก่อน เป็นเรื่องโจทก์ตกลงยินยอมโดยสมัครใจ ถือไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 289/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความละเมิดและการตกลงยินยอมโดยสมัครใจไม่ถือเป็นการละเมิด
การที่ศาลชั้นต้นสั่งสืบพยานแล้วงดสืบพยานเป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณาสั่งได้ตามที่เห็นสมควรเพื่อให้คดีเสร็จไปโดยไม่ชักช้า
ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2509 จำเลยที่ 2 นำความเท็จไปแจ้งต่อนายอำเภอว่าสามีโจทก์บุกรุกที่ของจำเลยที่ 1 นายอำเภอหลงเชื่อมีคำสั่งห้ามมิให้โจทก์กับสามีเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดิน ทำให้โจทก์กับสามีต้องงดเว้นเข้าไปตัดจากตั้งแต่วันนั้น แสดงว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้พึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2509 อายุความละเมิดจึงเริ่มนับตั้งแต่วันนั้น ไม่ใช่นับแต่วันที่ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดิน
จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในคดีแพ่งระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าว จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อศาลว่า โจทก์ให้บุตรสาวเข้าไปตัดจากในที่พิพาท ขอให้ศาลเรียกมาสั่งให้ระงับการตัดจากในที่พิพาท เมื่อคู่ความมาศาลพร้อมแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างแถลงว่าจะไม่เข้าใจไปตัดจากในที่พิพาทซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งอ้างว่าเป็นของตน ถ้าฝ่ายใดผิดข้อตกลงยอมให้ปรับครั้งละ 1,000 บาท ต่อมาคดีนั้นศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยฟังว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท การที่โจทก์ไม่สามารถเข้าตัดจากได้ในระหว่างคดีก่อน เป็นเรื่องโจทก์ตกลงยินยอมโดยสมัครใจ ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์
ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2509 จำเลยที่ 2 นำความเท็จไปแจ้งต่อนายอำเภอว่าสามีโจทก์บุกรุกที่ของจำเลยที่ 1 นายอำเภอหลงเชื่อมีคำสั่งห้ามมิให้โจทก์กับสามีเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดิน ทำให้โจทก์กับสามีต้องงดเว้นเข้าไปตัดจากตั้งแต่วันนั้น แสดงว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้พึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2509 อายุความละเมิดจึงเริ่มนับตั้งแต่วันนั้น ไม่ใช่นับแต่วันที่ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดิน
จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในคดีแพ่งระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าว จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อศาลว่า โจทก์ให้บุตรสาวเข้าไปตัดจากในที่พิพาท ขอให้ศาลเรียกมาสั่งให้ระงับการตัดจากในที่พิพาท เมื่อคู่ความมาศาลพร้อมแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างแถลงว่าจะไม่เข้าใจไปตัดจากในที่พิพาทซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งอ้างว่าเป็นของตน ถ้าฝ่ายใดผิดข้อตกลงยอมให้ปรับครั้งละ 1,000 บาท ต่อมาคดีนั้นศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยฟังว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท การที่โจทก์ไม่สามารถเข้าตัดจากได้ในระหว่างคดีก่อน เป็นเรื่องโจทก์ตกลงยินยอมโดยสมัครใจ ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 165/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายภรรยาจนถึงแก่ความตาย ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ว่าเป็นการทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ไม่เข้าข้อยกเว้นป้องกันตัว
จำเลยกับผู้ตายเป็นสามีภริยากัน วันเกิดเหตุจำเลยกลับจากทำงานถึงบ้านไม่พบผู้ตายจึงตามไปพบผู้ตายที่แพของ อ. จำเลยถามผู้ตายว่าทำไมไม่กลับบ้าน ผู้ตายว่าไม่กลับจะทำไมจำเลยว่าข้าวปลาทำไมไม่หุงปล่อยให้ลูกหุงกินเองผู้ตายจึงว่าหุงกินเองไม่เป็นก็ช่างแม่มันจำเลยจึงตบหน้าผู้ตายตกจากเก้าอี้ล้มลงไปที่พื้น ผู้ตายลุกขึ้นได้ก็หยิบมีดวิ่งเข้าหาจำเลยจำเลยจึงหยิบเขียงบนโต๊ะเหวี่ยงไปที่ผู้ตาย ถูกผู้ตายล้มลงไป มีเลือดออกที่ศีรษะ จำเลยเข้าประคองผู้ตายและพาไปส่งโรงพยาบาลผู้ตายมีบาดแผลฉกรรจ์ คือ ศีรษะบริเวณท้ายทอยแตก เป็นแผลยาว 13 เซนติเมตร กว้าง 2 เซนติเมตร ลึกจดกะโหลกศีรษะผู้ตายถึงแก่ความตายในคืนนั้น เพราะเลือดคั่งในสมอง ลักษณะบาดแผลที่จำเลยเหวี่ยงเขียงไปที่ผู้ตายในขณะที่ผู้ตายถือมีดวิ่งเข้าหาจำเลยไม่น่าจะทำให้เกิดบาดแผลฉกรรจ์ที่ท้ายทอยของผู้ตาย บาดแผลอาจจะเกิดจากการที่ผู้ตายหงายหลังล้มลงไปก็ได้แต่ก็ได้ความว่าเหตุที่ผู้ตายล้มลงไปก็เพราะจำเลยเหวี่ยงเขียงไปที่ผู้ตายการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 165/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายภรรยาจนถึงแก่ความตาย ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าเป็นการทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
จำเลยกับผู้ตายเป็นสามีภริยากัน วันเกิดเหตุจำเลยกลับจากทำงานถึงบ้านไม่พบผู้ตาย จึงตามไปพบผู้ตายที่แพของ อ. จำเลยถามผู้ตายว่าทำไมไม่กลับบ้าน ผู้ตายว่าไม่กลับจะทำไม จำเลยว่าข้าวปลาทำไมไม่หุง ปล่อยให้ลูกหุงกินเอง ผู้ตายจึงว่าหุงกินเองไม่เป็นก็ช่างแม่มัน จำเลยจึงตบหน้าผู้ตายตกจากเก้าอี้ล้มลงไปที่พื้น ผู้ตายลุกขึ้นได้ก็ไปหยิบมีดวิ่งเข้าหาจำเลย จำเลยจึงหยิบเขียงบนโต๊ะเหวี่ยงไปที่ผู้ตาย ถูกผู้ตายล้มลงไป มีเลือดออกที่ศีรษะ จำเลยเข้าประคองผู้ตายและพาไปส่งโรงพยาบาล ผู้ตายมีบาดแผลฉกรรจ์คือศีรษะบริเวณท้ายทอยแตก เป็นแผลยาว 13 เซนติเมตร กว้าง 2 เซนติเมตร ลึกจดกะโหลกศีรษะ ผู้ตายถึงแก่ความตายในคืนนั้น เพราะเลือดคั่งในสมอง ลักษณะบาดแผลที่จำเลยเหวี่ยงเขียงไปที่ผู้ตายในขณะที่ผู้ตายถือมีดวิ่งเข้าหาจำเลยไม่น่าจะทำให้เกิดบาดแผลฉกรรจ์ที่ท้ายทอยของผู้ตาย บาดแผลอาจจะเกิดจากการที่ผู้ตายหงายหลังล้มลงไปก็ได้ แต่ก็ได้ความว่าเหตุที่ผู้ตายล้มลงไปก็เพราะจำเลยเหวี่ยงเขียงไปที่ผู้ตาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 142/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายทอดตลาดชอบด้วยกฎหมาย แม้มีผู้สู้ราคาน้อย หากผู้ซื้อไม่ชำระราคา ต้องรับผิดชอบส่วนต่าง
ประกาศขายทอดตลาดที่ดินล่วงหน้า และมีคนอยู่ในขณะประมูล10 กว่าคน จำเลยผู้เดียวเผดิมการสู้ราคาไม่มีผู้อื่นสู้ราคาผู้ทอดตลาดเคาะไม้ การขายทอดตลาดชอบแล้ว จำเลยไม่ชำระราคา ต้องรับผิด ในราคาที่ขายได้น้อยไปกว่าราคาเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2647-2651/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของเจ้าของไม้เมื่อผู้นำไม้ขนส่งผิดกฎหมาย การควบคุมการขนส่งไม้และการรับผิดชอบตามใบเบิกทาง
จำเลยที่ 4 เป็นเจ้าของไม้ ได้ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 นำไม้เคลื่อนที่โดยบรรทุกรถยนต์ไปคนละคัน มีใบเบิกทางระบุชื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นผู้ควบคุม การนำไม้เคลื่อนที่ผ่านด่านป่าไม้จึงอยู่ในความควบคุมของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ตามที่ระบุไว้ในใบเบิกทางแต่ละฉบับ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นผู้รับผิดชอบในการนำไม้เคลื่อนที่ผ่านด่านป่าไม้ให้ถูกต้องตามกฎหมาย การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 นำไม้เคลื่อนที่ผ่านด่านป่าไม้ในเวลากลางคืนโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ นั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกระทำผิดด้วย จำเลยที่ 4 ในฐานะเจ้าของไม้ก็ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2647-2651/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของเจ้าของไม้เมื่อผู้นำไม้เคลื่อนที่กระทำผิดกฎหมายป่าไม้
จำเลยที่ 4 เป็นเจ้าของไม้ ได้ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 นำไม้เคลื่อนที่โดยบรรทุกรถยนต์ไปคนละคันมีใบเบิกทางระบุชื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นผู้ควบคุมการนำไม้เคลื่อนที่ผ่านด่านป่าไม้จึงอยู่ในความควบคุมของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ตามที่ระบุไว้ในใบเบิกทางแต่ละฉบับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นผู้รับผิดชอบในการนำไม้เคลื่อนที่ผ่านด่านป่าไม้ให้ถูกต้องตามกฎหมายการที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 นำไม้เคลื่อนที่ผ่านด่านป่าไม้ในเวลากลางคืนโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯนั้นเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 4 ได้ร่วมกระทำผิดด้วย จำเลยที่ 4 ในฐานะเจ้าของไม้ก็ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ถึงที่ 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2546/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธปืนแต่ไม่ถึงแก่ชีวิต
ใช้อาวุธปืนตีเป็นแผลถลอกที่ข้อมือ ไม่มีรอยฟกช้ำ เขียวหรือบวมหรืออาการแสดงว่าเป็นแผลแตกโลหิตตก รักษา 5 วันหาย ไม่เป็นอันตรายแก่กาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2458/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนขายอสังหาริมทรัพย์ไม่เป็นหนังสือและจดทะเบียน ทำให้การโอนเป็นโมฆะ แม้ผู้ซื้อจะสุจริตและเสียค่าตอบแทน
การโอนขายห้องพิพาทโดยผู้รับโอนจะใช้เป็นที่ค้าขาย มิใช่เพื่อรื้อเอาไป ห้องพิพาทเป็นอสังหาริมทรัพย์ เมื่อการโอนขายไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนสิทธิ์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456