พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,100 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 768/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอายัดทรัพย์สินผิดพลาด ผู้ขออายัดต้องรับผิดชอบค่าธรรมเนียม แม้บัญชีไม่ใช่ของจำเลย
โจทก์เป็นผู้ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินฝากไปยังธนาคารเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือแจ้งอายัดไปยังธนาคารแล้ว แม้ก่อนที่หนังสือแจ้งอายัดดังกล่าวจะไปถึงธนาคาร โจทก์ทราบว่าเงินฝากที่โจทก์ขออายัดนั้นไม่ใช่ของจำเลย แต่มีชื่อและนามสกุลพ้องกันกับของจำเลย โจทก์จึงขอให้ธนาคารงดการอายัดไว้ก่อนโดยโจทก์จะไประงับการอายัดต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำร้องและฎีกาก็ตาม แต่ก็ปรากฎตามคำร้องของโจทก์เองว่าโจทก์ได้ถอนการอายัดต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายหลังจากที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสืออายัดไปยังธนาคารแล้ว ทั้งตามคำร้องของโจทก์ก็ไม่ปรากฎว่า ขณะที่โจทก์ขอถอนการอายัดนั้น ธนาคารยังมิได้รับหนังสืออายัดจากเจ้าพนักงานบังคับคดีแต่อย่างใดดังนั้น ที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ได้ถอนการอายัดเสียก่อนที่หนังสืออายัดของเจ้าพนักงานบังคับคดีจะไปถึงธนาคาร จึงเป็นการกล่าวอ้างนอกเหนือจากที่กล่าวในคำร้อง ไม่อาจรับฟังได้ กรณีต้องถือว่าได้มีการอายัดโดยชอบแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 311 เมื่อโจทก์ถอนการอายัดจึงต้องเสียค่าธรรมเนียมอายัดแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย ตามตาราง 5(4) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง การที่ปรากฎว่าบัญชีเงินฝากที่อายัดนั้นไม่ใช่ของจำเลยและธนาคารมีหนังสือแจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบภายหลังที่ได้รับหนังสืออายัดแล้ว โจทก์จะยกเป็นข้ออ้างให้พ้นความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีหาได้ไม่ หากโจทก์ผู้ขออายัดไม่ชำระ เจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมขอหมายบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295 ตรี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 768/2539 เวอร์ชัน 5 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอายัดเงินฝากที่ไม่ถูกต้องและค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้น แม้ผู้ขออายัดทราบว่าไม่ใช่ของจำเลย
โจทก์เป็นผู้ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินฝากไปยังธนาคาร เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือแจ้งอายัดไปยังธนาคารแล้ว แม้ก่อนที่หนังสือแจ้งอายัดดังกล่าวจะไปถึงธนาคาร โจทก์ทราบว่าเงินฝากที่โจทก์ขออายัดนั้นไม่ใช่ของจำเลย แต่มีชื่อและนามสกุลพ้องกันกับของจำเลย โจทก์จึงขอให้ธนาคารงดการอายัดไว้ก่อนโดยโจทก์จะไประงับการอายัดต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำร้องและฎีกาก็ตาม แต่ก็ปรากฏตามคำร้องของโจทก์เองว่า โจทก์ได้ถอนการอายัดต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายหลังจากที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสืออายัดไปยังธนาคารแล้ว ทั้งตามคำร้องของโจทก์ก็ไม่ปรากฏว่า ขณะที่โจทก์ขอถอนการอายัดนั้น ธนาคารยังมิได้รับหนังสืออายัดจากเจ้าพนักงานบังคับคดีแต่อย่างใด ดังนั้นที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ได้ถอนการอายัดเสียก่อนที่หนังสืออายัดของเจ้าพนักงานบังคับคดีจะไปถึงธนาคาร จึงเป็นการกล่าวอ้างนอกเหนือจากที่กล่าวในคำร้อง ไม่อาจรับฟังได้ กรณีต้องถือว่าได้มีการอายัดโดยชอบแล้วตาม ป.วิ.พ. มาตรา 311 เมื่อโจทก์ถอนการอายัดจึงต้องเสียค่าธรรมเนียมอายัดแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย ตามตาราง 5 (4) ท้าย ป.วิ.พ.
การที่ปรากฏว่าบัญชีเงินฝากที่อายัดนั้นไม่ใช่ของจำเลย และธนาคารมีหนังสือแจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบภายหลังที่ได้รับหนังสืออายัดแล้วโจทก์จะยกเป็นข้ออ้างให้พ้นความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีหาได้ไม่ หากโจทก์ผู้ขออายัดไม่ชำระ เจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมขอหมายบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของโจทก์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 295 ตรี
การที่ปรากฏว่าบัญชีเงินฝากที่อายัดนั้นไม่ใช่ของจำเลย และธนาคารมีหนังสือแจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบภายหลังที่ได้รับหนังสืออายัดแล้วโจทก์จะยกเป็นข้ออ้างให้พ้นความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีหาได้ไม่ หากโจทก์ผู้ขออายัดไม่ชำระ เจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมขอหมายบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของโจทก์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 295 ตรี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 760/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าอ้างเอกสารไม่เกิดขึ้นหากข้อเท็จจริงรับกันแล้ว ศาลไม่ต้องอาศัยเอกสารนั้นในการวินิจฉัย
ตามรายงานกระบวนพิจารณาซึ่งเป็นวันนัดชี้สองสถานโจทก์ยื่นต้นฉบับเอกสาร4ฉบับศาลหมายจ.1ถึงจ.4และได้สอบถามทนายจำเลยถึงคำให้การแล้วทนายจำเลยแถลงว่าจำเลยได้ทำสัญญาเช่าตามเอกสารหมายจ.1และจำเลยได้ลงลายมือชื่อในหนังสือส่งมอบตึกที่เช่าคืนและเลิกสัญญาเช่าตามเอกสารหมายจ.2จริงดังนี้ย่อมฟังข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยได้ให้โจทก์เช่าตึกแถวและโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าโดยส่งมอบตึกแถวที่เช่าคืนให้แก่จำเลยเป็นที่เรียบร้อยตามฟ้องโจทก์จริงกรณีเช่นนี้ไม่จำต้องอาศัยพยานเอกสารหมายจ.1และจ.2โจทก์จึงไม่จำต้องชำระค่าอ้างเอกสารดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 760/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมรับข้อเท็จจริงโดยคู่ความ ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้พยานเอกสาร และไม่ต้องชำระค่าอ้างเอกสาร
ตามรายงานกระบวนพิจารณาซึ่งเป็นวันนัดชี้สองสถาน โจทก์ยื่นต้นฉบับเอกสาร 4 ฉบับ ศาลหมาย จ.1 ถึง จ.4 และได้สอบถามทนายจำเลยถึงคำให้การแล้ว ทนายจำเลยแถลงว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าตามเอกสารหมาย จ.1 และจำเลยได้ลงลายมือชื่อในหนังสือส่งมอบตึกที่เช่าคืนและเลิกสัญญาเช่าตามเอกสารหมาย จ.2 จริง ดังนี้ย่อมฟังข้อเท็จจริงได้ว่า จำเลยได้ให้โจทก์เช่าตึกแถวและโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าโดยส่งมอบตึกแถวที่เช่าคืนให้แก่จำเลยเป็นที่เรียบร้อยตามฟ้องโจทก์จริง กรณีเช่นนี้ไม่จำต้องอาศัยพยานเอกสารหมาย จ.1และ จ.2 โจทก์จึงไม่จำต้องชำระค่าอ้างเอกสารดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 760/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมรับข้อเท็จจริงโดยคู่ความ ทำให้ไม่จำต้องพึ่งพยานเอกสาร และไม่ต้องชำระค่าเอกสาร
ตามรายงานกระบวนพิจารณาซึ่งเป็นวันนัดชี้สองสถาน โจทก์ยื่นต้นฉบับเอกสาร 4 ฉบับ ศาลหมาย จ.1 ถึง จ.4 และได้สอบถามทนายจำเลยถึงคำให้การแล้ว ทนายจำเลยแถลงว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าตามเอกสารหมายจ.1 และจำเลยได้ลงลายมือชื่อในหนังสือส่งมอบตึกที่เช่าคืนและเลิกสัญญาเช่าตามเอกสารหมาย จ.2 จริง ดังนี้ย่อมฟังข้อเท็จจริงได้ว่า จำเลยได้ให้โจทก์เช่าตึกแถวและโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าโดยส่งมอบตึกแถวที่เช่าคืนให้แก่จำเลยเป็นที่เรียบร้อยตามฟ้องโจทก์จริง กรณีเช่นนี้ไม่จำต้องอาศัยพยานเอกสารหมาย จ.1และ จ.2 โจทก์จึงไม่จำต้องชำระค่าอ้างเอกสารดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 519/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ธนาคารต้องรับผิดชดใช้เช็คปลอม แม้จะไม่ได้ประมาทเลินเล่อ แต่เมื่อลายมือชื่อไม่ตรงกับตัวอย่าง
ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำฟ้องของโจทก์คือมีผู้ลักและปลอมลายมือชื่อโจทก์ในฐานะผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสองฉบับแล้วนำไปเบิกเงินในบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ธนาคารจำเลยพนักงานของจำเลยประมาทเลินเล่อไม่ตรวจลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายว่าเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงของโจทก์หรือไม่แล้วจ่ายเงินไปทำให้โจทก์เสียหายจำเลยให้การปฏิเสธเฉพาะความประมาทเลินเล่อเท่านั้นส่วนลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสองฉบับปลอมหรือไม่จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้ทั้งได้ให้การว่าโจทก์ให้บุคคลภายนอกเลียนแบบลายมือชื่อโจทก์ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่าลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นลายมือชื่อปลอมดังนั้นโจทก์จึงไม่จำต้องนำเจ้าพนักงานผู้ทำการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสองฉบับมาเบิกความรับรองผลการตรวจพิสูจน์อีก การที่โจทก์เก็บรักษาเช็คไว้ในลิ้นชักที่มีกุญแจใส่อยู่ในบ้านและลูกกุญแจแขวนไว้ใต้โต๊ะทำงานเป็นการเก็บรักษาเช็คดังเช่นวิญญูชนจะพึงกระทำตามปกติธรรมดาถือไม่ได้ว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อการที่พนักงานของจำเลยจ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับไปแม้จะอ้างว่าไม่ได้ประมาทเลินเล่อแต่เมื่อลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นลายมือชื่อปลอมไม่ใช่ลายมือชื่อของโจทก์จำเลยจึงหาหลุดพ้นความรับผิดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1008ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 519/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ธนาคารต้องรับผิดชอบเช็คปลอมแม้ไม่มีประมาทเลินเล่อ หากลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายไม่ตรงกับทะเบียน
ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำฟ้องของโจทก์คือ มีผู้ลักและปลอมลายมือชื่อโจทก์ในฐานะผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสองฉบับแล้วนำไปเบิกเงินในบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ธนาคารจำเลย พนักงานของจำเลยประมาทเลินเล่อไม่ตรวจลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายว่าเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงของโจทก์หรือไม่ แล้วจ่ายเงินไปทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยให้การปฏิเสธเฉพาะความประมาทเลินเล่อเท่านั้น ส่วนลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสองฉบับปลอมหรือไม่ จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้ทั้งได้ให้การว่าโจทก์ให้บุคคลภายนอกเลียนแบบลายมือชื่อโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่าลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นลายมือชื่อปลอม ดังนั้นโจทก์จึงไม่จำต้องนำเจ้าพนักงานผู้ทำการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสองฉบับมาเบิกความรับรองผลการตรวจพิสูจน์อีก
การที่โจทก์เก็บรักษาเช็คไว้ในลิ้นชักที่มีกุญแจใส่อยู่ในบ้านและลูกกุญแจแขวนไว้ใต้โต๊ะทำงานเป็นการเก็บรักษาเช็คดังเช่นวิญญูชนจะพึงกระทำตามปกติธรรมดา ถือไม่ได้ว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อ การที่พนักงานของจำเลยจ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับไป แม้จะอ้างว่าไม่ได้ประมาทเลินเล่อ แต่เมื่อลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นลายมือชื่อปลอมไม่ใช่ลายมือชื่อของโจทก์ จำเลยจึงหาหลุดพ้นความรับผิดไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1008 ไม่
การที่โจทก์เก็บรักษาเช็คไว้ในลิ้นชักที่มีกุญแจใส่อยู่ในบ้านและลูกกุญแจแขวนไว้ใต้โต๊ะทำงานเป็นการเก็บรักษาเช็คดังเช่นวิญญูชนจะพึงกระทำตามปกติธรรมดา ถือไม่ได้ว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อ การที่พนักงานของจำเลยจ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับไป แม้จะอ้างว่าไม่ได้ประมาทเลินเล่อ แต่เมื่อลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นลายมือชื่อปลอมไม่ใช่ลายมือชื่อของโจทก์ จำเลยจึงหาหลุดพ้นความรับผิดไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1008 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 228-231/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องตามสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก, อายุความ 10 ปี, การจดทะเบียนเช่า และการเริ่มนับอายุสัญญา
จำเลยกับต. ได้ทำสัญญาก่อสร้างอาคารมีสาระสำคัญว่าให้ต. เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายและดำเนินการก่อสร้างตึกแถวและทาวน์เฮาส์รวม92ห้องบนที่ดินของจำเลยให้แล้วเสร็จภายใน3ปีนับแต่วันทำสัญญาหากสร้างไม่ทันตามกำหนดก็ให้ยืดเวลาต่อไปอีก1ปีนอกจากนี้ต. ต้องจ่ายเงินค่าตอบแทนให้จำเลยอีก8,500,000บาทและส่งมอบตึกแถวที่ก่อสร้างให้แก่จำเลย2ห้องจำเลยยอมให้ต. มีสิทธิหาคนเช่าและเรียกเงินค่าช่วยก่อสร้างจากผู้มาจองเช่าได้ภายในระยะเวลาที่ดำเนินการก่อสร้างดังกล่าวโดยจำเลยมีหน้าที่ต้องไปจดทะเบียนการเช่าให้แก่ผู้มาจองเช่ามีกำหนด25ปีสัญญาก่อสร้างอาคารดังกล่าวเป็นกรณีที่จำเลยตกลงว่าจะจดทะเบียนการเช่าให้แก่บุคคลภายนอกจึงเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา374โจทก์ทั้งสี่เป็นผู้เช่าจองอาคารกับต. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกย่อมมีสิทธิที่จะเรียกให้จำเลยไปจดทะเบียนการเช่าให้ได้และการบอกกล่าวให้จำเลยไปจดทะเบียนการเช่าเป็นการแสดงเจตนากับจำเลยว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นแล้วโดยโจทก์ทั้งสี่ไม่จำต้องครอบครองอาคารพิพาทชำระค่าเช่าและภาษีโรงเรือนแก่จำเลยแต่อย่างใด โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าได้มอบอำนาจให้ต. ฟ้องคดีแทนจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธว่าโจทก์มิได้มอบอำนาจดังกล่าวไว้คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยเรื่องมอบอำนาจว่าทำขึ้นโดยชอบหรือไม่คงฟังได้ว่ามีการมอบอำนาจโดยชอบแล้วจึงไม่จำต้องวินิจฉัยเรื่องการขีดฆ่าอากรแสตมป์ตามที่จำเลยฎีกามา ตามสัญญาก่อสร้างอาคารระบุว่า"เมื่อผู้เช่ามาติดต่อขอเช่าและผู้จัดสร้างได้รับเงินแล้วผู้ให้สร้างจะไปทำสัญญาให้แก่ผู้เช่ามีกำหนดเวลาเช่า25ปีโดยการจดทะเบียนเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามแบบของสัญญาเช่าซึ่งได้แนบมาพร้อมนี้ทั้งนี้ผู้ให้สร้างจะไปทำสัญญาภายใน1เดือนนับแต่วันที่ผู้จัดสร้างบอกกล่าวให้ผู้ให้สร้างทราบเป็นลายลักษณ์อักษร"ข้อความดังกล่าวมีความชัดเจนว่าระยะเวลา1เดือนนับแต่วันที่จำเลยได้รับคำบอกกล่าวนั้นเป็นระยะเวลาที่จำเลยจะดำเนินการในเรื่องจดทะเบียนการเช่าหาใช่เป็นระยะเวลาเริ่มต้นของการนับอายุการเช่าไม่ส่วนตามสัญญาจองเช่าอาคารที่ต. ทำไว้กับโจทก์ทั้งสี่ระบุว่า"สัญญาเช่ามีกำหนด25ปีนับแต่วันทำการจดทะเบียนการเช่าณที่ทำการเขต"นั้นมีข้อความชัดอยู่แล้วให้นับอายุการเช่า25ปีเริ่มแต่วันจดทะเบียนการเช่าเป็นต้นไปซึ่งข้อความตามสัญญาก่อสร้างอาคารดังกล่าวหาได้ขัดแย้งกับสัญญาจองเช่าอาคารไม่กรณีจึงไม่ใช่ให้นับแต่วันที่จำเลยได้รับคำบอกกล่าว โจทก์เป็นบุคคลภายนอกซึ่งถือเอาประโยชน์ตามสัญญาก่อสร้างอาคารการที่โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนการเช่าให้แก่โจทก์จึงเป็นการอาศัยสิทธิตามสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตาม374ซึ่งมีอายุความ10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา193/30หาใช่เป็นสัญญาจ้างทำของซึ่งมีอายุความ2ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา165(11)เมื่อนับแต่วันที่โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวแจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนการเช่าจนถึงวันฟ้องยังไม่พ้น10ปีคดีของโจทก์ทั้งสี่จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายจากสัญญาซื้อขายที่ดิน: โจทก์ต้องพิสูจน์จำนวนเงินที่ขาดประโยชน์จากการไม่จดทะเบียน
การฟ้องให้ใช้เงินแก่โจทก์ตามราคาที่ดินขณะฟ้อง ส่วนที่เพิ่มขึ้นจากราคาที่ดินที่ตกลงทำสัญญาจะซื้อขายกันนี้เป็นเงินที่โจทก์ขาดประโยชน์เนื่องจากการที่จำเลยไม่ได้จดทะเบียนโอนที่ดินให้เป็นของโจทก์ตามสัญญาจะซื้อขาย ถือเป็นการเรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา แม้จำเลยไม่ได้ให้การโต้แย้งจำนวนเงินค่าเสียหายดังกล่าว โจทก์ผู้กล่าวอ้างก็มีหน้าที่นำสืบถึงจำนวนค่าเสียหายของโจทก์ และศาลมีอำนาจพิจารณากำหนดค่าเสียหายให้ตามที่สมควรดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน 280,000 บาท จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นหรือวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายจากการผิดสัญญาซื้อขายที่ดิน ราคาที่ดินขณะฟ้องเป็นเกณฑ์ ศาลมีอำนาจพิจารณากำหนดค่าเสียหายตามสมควร
ราคาที่ดินขณะฟ้องส่วนที่เพิ่มขึ้นจากราคาที่ดินตกลงทำสัญญาจะซื้อขายกันเป็นเงินค่าเสียหายที่โจทก์ขาดประโยชน์จากการที่จำเลยไม่จดทะเบียนโอนที่ดินให้โจทก์ตามสัญญาแม้จำเลยไม่ได้ให้การโต้แย้งจำนวนเงินค่าเสียหายโจทก์ก็มีหน้าที่นำสืบถึงจำนวนเงินค่าเสียหายและศาลมีอำนาจพิจารณากำหนดค่าเสียหายให้ตามที่สมควร โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยเมื่อปี2528ในราคา105,000บาทแต่จำเลยผิดสัญญาไม่จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้จึงขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้หากไม่อาจจดทะเบียนโอนให้ได้ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ตามราคาที่ดินขณะฟ้อง(ปี2533)เป็นเงิน420,000บาทดังนั้นการที่ศาลกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน280,000บาทจึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น