พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,100 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 201/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ต้องพิสูจน์เจตนาเป็นเจ้าของต่อเนื่อง 10 ปี แม้ครอบครองนานก็ไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ์หากไม่ได้มาด้วยเจตนาที่ถูกต้อง
ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทที่เป็นของโจทก์ด้านทิศตะวันตกซึ่งจำเลยอ้างว่าจำเลยได้ครอบครองปรปักษ์มีเฉพาะจากหลักหมุดที่ 1 มาถึงหลักหมุดที่ 4 ด้านทิศตะวันออกนั้น ศาลอุทธรณ์ไปรับฟังเอาจากรายงานกระบวนพิจารณาการเดินเผชิญสืบของศาลชั้นต้นลงวันที่ 24 สิงหาคม 2531 ซึ่งเป็นการรับฟังที่ผิดไปจากรายงานกระบวนพิจารณา เพราะรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวมิได้มีข้อความดังที่ศาลอุทธรณ์รับฟัง การรับฟังพยานของศาลอุทธรณ์ในส่วนนี้จึงไม่ชอบ ซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย แม้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท โจทก์ก็ฎีกาได้ และศาลฎีกามีอำนาจฟังข้อเท็จจริงในประเด็นว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือของจำเลย และประเด็นว่าโจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่เพียงใดอันเป็นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องมาจากประเด็นแรกเสียใหม่โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีกเพราะคู่ความได้นำสืบมาสิ้นกระแสความแล้ว ทั้งนี้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 243 ประกอบมาตรา 247
ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่มีโฉนดที่ดินมาตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าซึ่งออกก่อนที่บิดามารดาจำเลยจะเข้ามาอยู่ในที่ดินพิพาท จำเลยอ้างว่าจำเลยสืบสิทธิการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทต่อมาจากบิดามารดาจำเลยจนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จำเลยมีหน้าที่พิสูจน์ให้ได้ความแน่ชัดว่าบิดามารดาจำเลยและจำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี แต่พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมายังฟังไม่ได้ว่าบิดามารดาจำเลยเข้ายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยมิได้อาศัยสิทธิของเจ้าของที่ดินพิพาท แม้ครอบครองที่ดินพิพาทมานานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382และแม้ว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทต่อจากบิดามารดาจำเลยก็หาทำให้จำเลยมีสิทธิเหนือกว่าบิดามารดาจำเลยไม่ จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท
ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่มีโฉนดที่ดินมาตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าซึ่งออกก่อนที่บิดามารดาจำเลยจะเข้ามาอยู่ในที่ดินพิพาท จำเลยอ้างว่าจำเลยสืบสิทธิการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทต่อมาจากบิดามารดาจำเลยจนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จำเลยมีหน้าที่พิสูจน์ให้ได้ความแน่ชัดว่าบิดามารดาจำเลยและจำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี แต่พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมายังฟังไม่ได้ว่าบิดามารดาจำเลยเข้ายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยมิได้อาศัยสิทธิของเจ้าของที่ดินพิพาท แม้ครอบครองที่ดินพิพาทมานานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382และแม้ว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทต่อจากบิดามารดาจำเลยก็หาทำให้จำเลยมีสิทธิเหนือกว่าบิดามารดาจำเลยไม่ จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 201/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์: จำเลยพิสูจน์เจตนาเป็นเจ้าของและระยะเวลาครอบครองไม่ได้ ศาลยืนตามกรรมสิทธิ์เดิม
ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทที่เป็นของโจทก์ด้านทิศตะวันตกซึ่งจำเลยอ้างว่าจำเลยได้ครอบครองปรปักษ์มีเฉพาะจากหลักหมุดที่1มาถึงหลักหมุดที่4ด้านทิศตะวันออกนั้นศาลอุทธรณ์ไปรับฟังเอาจากรายงานกระบวนพิจารณาการเดินเผชิญสืบของศาลชั้นต้นลงวันที่24สิงหาคม2531ซึ่งเป็นการรับฟังที่ผิดไปจากรายงานกระบวนพิจารณาเพราะรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวมิได้มีข้อความดังที่ศาลอุทธรณ์รับฟังการรับฟังพยานของศาลอุทธรณ์ในส่วนนี้จึงไม่ชอบซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายแม้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000บาทโจทก์ก็ฎีกาได้และศาลฎีกามีอำนาจฟังข้อเท็จจริงในประเด็นว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือของจำเลยและประเด็นว่าโจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่เพียงใดอันเป็นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องมาจากประเด็นแรกเสียใหม่โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีกเพราะคู่ความได้นำสืบมาสิ้นกระแสความแล้วทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความมาตรา243ประกอบมาตรา247 ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่มีโฉนดที่ดินมาตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าซึ่งออกก่อนที่บิดามารดาจำเลยจะเข้ามาอยู่ในที่ดินพิพาทจำเลยอ้างว่าจำเลยสืบสิทธิการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทต่อมาจากบิดามารดาจำเลยจนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจำเลยมีหน้าที่พิสูจน์ให้ได้ความแน่ชัดว่าบิดามารดาจำเลยและจำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลา10ปีแต่พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมายังฟังไม่ได้ว่าบิดามารดาจำเลยเข้ายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยมิได้อาศัยสิทธิของเจ้าของที่ดินพิพาทแม้ครอบครองที่ดินพิพาทมานานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382และแม้ว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทต่อจากบิดามารดาจำเลยก็หาทำให้จำเลยมีสิทธิเหนือกว่าบิดามารดาจำเลยไม่จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 188/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิไถ่ทรัพย์ขายฝาก: การไปสำนักงานที่ดินพร้อมเงินคือการใช้สิทธิ แม้ถอนเงินวางทรัพย์
เมื่อโจทก์จำเลยท้ากันเป็นข้อแพ้ชนะก็ต้องพิจารณาถึงข้อความที่ท้าต่อกันตามรายงานกระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้นจดไว้ปรากฏข้อความในตอนต้นว่า"พฤติการณ์ตามคำฟ้องที่ถึงกำหนดนัดไถ่ถอนการขายฝากที่ดินพิพาทโจทก์ได้ไปทำการไถ่ถอนณสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครสาขา บางขุนเทียน แล้วแต่จำเลยไม่ไปตามนัด"จากข้อความดังกล่าวแสดงว่าจำเลยได้ยอมรับข้อเท็จจริงแล้วว่าได้มีการนัดวันที่ไปจดทะเบียนไถ่ถอนแล้วแต่จำเลยในฐานะผู้รับซื้อฝากไม่ไปตามนัดเมื่อพิเคราะห์ประกอบกับข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยรับกันต่อไปอีกว่าโจทก์ได้นำเงินจำนวน125,000บาทไปวางไว้ณสำนักงานวางทรัพย์กลางยิ่งเป็นข้อชี้ชัดว่าโจทก์มีเงินพร้อมที่จะชำระให้แก่จำเลยตามสัญญาขายฝากในวันครบกำหนดนั้นแล้วถือว่าโจทก์ผู้ขายฝากพร้อมที่จะไถ่ถอนได้ภายในกำหนดแล้วแต่เป็นเพราะจำเลยไม่ไปรับไถ่ตามพฤติการณ์แห่งข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยแถลงรับกันดังกล่าวฟังได้ว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิขอไถ่ที่ดินพิพาทจากจำเลยภายในกำหนดเวลาตามสัญญาขายฝากแล้วแม้ผู้ขายฝากจะถอนเงินที่วางไว้คืนไปก็ไม่ใช่กรณีที่จะนำมาวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิไถ่คืนการวางทรัพย์เป็นเพียงหลักฐานแสดงว่าผู้ขายฝากมีเงินมาทำการไถ่คืนทรัพย์สินที่ขายฝากกับผู้รับซื้อฝากแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 188/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิไถ่ที่ดินขายฝาก: โจทก์พร้อมชำระเงินแต่จำเลยไม่ไปรับไถ่ ถือเป็นการใช้สิทธิไถ่แล้ว
เมื่อโจทก์จำเลยท้ากันเป็นข้อแพ้ชนะ ก็ต้องพิจารณาถึงข้อความที่ท้าต่อกัน ตามรายงานกระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้นจดไว้ปรากฏข้อความในตอนต้นว่า "พฤติการณ์ตามคำฟ้องที่ถึงกำหนดนัดไถ่ถอนการขายฝากที่ดินพิพาทโจทก์ได้ไปทำการไถ่ถอน ณ สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางขุนเทียนแล้ว แต่จำเลยไม่ไปตามนัด" จากข้อความดังกล่าวแสดงว่าจำเลยได้ยอมรับข้อเท็จจริงแล้วว่า ได้มีการนัดวันที่ไปจดทะเบียนไถ่ถอนแล้ว แต่จำเลยในฐานะผู้รับซื้อฝากไม่ไปตามนัด เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยรับกันต่อไปอีกว่า โจทก์ได้นำเงินจำนวน 125,000 บาท ไปวางไว้ ณ สำนักงานวางทรัพย์กลาง ยิ่งเป็นข้อชี้ชัดว่า โจทก์มีเงินพร้อมที่จะชำระให้แก่จำเลยตามสัญญาขายฝากในวันครบกำหนดนั้นแล้ว ถือว่า โจทก์ผู้ขายฝากพร้อมที่จะไถ่ถอนได้ภายในกำหนดแล้ว แต่เป็นเพราะจำเลยไม่ไปรับไถ่ ตามพฤติการณ์แห่งข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยแถลงรับกันดังกล่าว ฟังได้ว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิขอไถ่ที่ดินพิพาทจากจำเลยภายในกำหนดเวลาตามสัญญาขายฝากแล้ว แม้ผู้ขายฝากจะถอนเงินที่วางไว้คืนไป ก็ไม่ใช่กรณีที่จะนำมาวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิไถ่คืน การวางทรัพย์เป็นเพียงหลักฐานแสดงว่า ผู้ขายฝากมีเงินมาทำการไถ่คืนทรัพย์สินที่ขายฝากกับผู้รับซื้อฝากแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7314/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้มีผลผูกพันผู้ค้ำประกัน จำเลยต้องรับผิดตามสัญญา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานของโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันความเสียหายของจำเลยที่ 1ขณะปฏิบัติหน้าที่ จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่โดยลำพังมิได้รับอนุญาตหรือได้รับมอบหมายจากโจทก์อันเป็นความประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์เสียหายอย่างร้ายแรง คิดเป็นเงินจำนวน 349,494.55 บาท จำเลยที่ 1จึงได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ว่าจะชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์แต่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์ จึงถือว่าฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ อีกทั้งข้ออ้างที่อาศัยหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว หาเป็นคำฟ้องที่ขัดกันเองไม่ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม จำเลยที่ 1 เป็นทนายความว่าความให้โจทก์ จึงถือว่าโจทก์เป็นตัวการและจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทน เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1รับผิดฐานะเป็นตัวแทนกระทำการโดยประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์ผู้เป็นตัวการเสียหายซึ่งมิได้มีบทบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะแล้วย่อมมีอายุความฟ้องร้องสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164 เดิม (มาตรา 193/30 ที่แก้ไขใหม่) หาใช่เป็นกรณีละเมิดที่ต้องใช้อายุความหนึ่งปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420,448 ไม่ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีภายในสิบปีแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ เมื่อโจทก์ได้ทำบันทึกวิธีปฏิบัติในการประนีประนอมยอมความทางศาลให้นิติกรหรือทนายความของโจทก์ทราบก่อนที่จำเลยที่ 1ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นนิติกรของโจทก์ว่าแม้ทนายความซึ่งได้แต่งตั้งโดยให้มีอำนาจให้ทำการประนีประนอมยอมความได้ก็ตามหากจะประนีประนอมยอมความแล้ว ให้ทนายความเสนอความเห็นพร้อมด้วยรายละเอียดในเรื่องที่จะประนีประนอมยอมความต่อผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทน แล้วให้ผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทนเสนอขออนุมัติต่อการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคโจทก์ก่อนทุกครั้ง ซึ่งบันทึกวิธีปฏิบัติดังกล่าวได้เวียนไปให้หน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดโจทก์ทราบ และได้รวบรวมไว้เป็นเล่มแต่ละปี สามารถตรวจสอบได้ง่ายและนิติกรทุกคนได้ทราบวิธีปฏิบัติดังกล่าวแล้ว จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ทราบและต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด ทั้งก่อนวันที่จำเลยที่ 1 ทำการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกับจำเลยในคดีดังกล่าว โจทก์ก็ได้ย้ำปรับความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการตกลงหรือประนีประนอมยอมความทางศาลให้ทนายความของโจทก์ซึ่งรวมทั้งจำเลยที่ 1 ให้ถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด การที่จำเลยที่ 1 ทำการประนีประนอมยอมความกับจำเลยในคดีดังกล่าว โดยมิได้เสนอความเห็นพร้อมด้วยรายละเอียดในเรื่องที่จะตกลงหรือประนีประนอมยอมความต่อ อ. ผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีเพื่อขออนุมัติต่อโจทก์ย่อมถือว่าจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของโจทก์เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการตกลงหรือประนีประนอมยอมความทางศาลอันเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จำเลยที่ 1 จะอ้างเพียงว่าเมื่อในใบแต่งทนายความให้จำเลยที่ 1 มีอำนาจประนีประนอมยอมความได้แล้วจำเลยที่ 1 ย่อมมีอำนาจทำการตกลงหรือประนีประนอมยอมความตามที่จำเลยที่ 1 เห็นสมควรโดยพลการหาได้ไม่ เพราะในบันทึกวิธีปฏิบัติดังกล่าวระบุไว้ชัดแจ้งว่าแม้มีการมอบอำนาจให้นิติกรหรือทนายความประนีประนอมยอมความก็ให้นิติกรหรือทนายความเสนอขออนุมัติต่อโจทก์ทุกครั้งไป การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงเพราะทำให้โจทก์ไม่สามารถเรียกดอกเบี้ยที่จำเลยในคดีดังกล่าวต้องชำระให้โจทก์ตามคำพิพากษา การที่จำเลยที่ 1 รู้ว่าจำเลยที่ 1ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแล้ว จำเลยที่ 1 จึงได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ ชำระเงินแก่โจทก์ หนังสือรับสภาพหนี้จึงมีผลใช้บังคับได้โดยสมบูรณ์ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 รับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งจำเลยที่ 1 ยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนั้นเอกสารบันทึกวิธีปฏิบัติในการประนีประนอมยอมความทางศาลและหนังสือย้ำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการประนีประนอมยอมความทางศาลจึงมิใช่เป็นพยานหลักฐานอันเกี่ยวกับประเด็นโดยตรงในคดีซึ่งโจทก์จะต้องส่งสำเนาเอกสารนั้น ๆ แก่จำเลยที่ 3 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 แต่อย่างใด และโจทก์ได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นประกอบถามค้านจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นพยานจำเลยที่ 3 ในเวลาที่จำเลยที่ 1 เบิกความแล้วเอกสารดังกล่าวจึงไม่ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน และการที่โจทก์นำสืบเอกสารดังกล่าวก็เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 1กระทำผิดหน้าที่โดยฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์ เป็นเหตุทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายซึ่งถือว่าจำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงจำเลยที่ 1 จึงได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ยอมชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เช่นนี้เท่ากับเป็นการนำสืบว่าหนังสือรับสภาพหนี้ มีมูลหนี้ที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์จริง อันเป็นประเด็นโดยตรงในคดีตามฟ้องโจทก์ หาใช่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นไม่ เมื่อประเด็นสาระสำคัญแห่งคดีโดยตรงซึ่งภาระการพิสูจน์ตกแก่จำเลยทั้งสามแล้ว การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยทั้งสามมีหน้าที่นำสืบก่อนในประเด็นข้อนี้ และเพื่อมิให้คดีล่าช้าจึงให้จำเลยทั้งสามนำสืบก่อนในทุกประเด็นข้ออื่นด้วยนั้น นับว่าชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7314/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดจากประมาทเลินเล่อของทนายความ/นิติกร และหนังสือรับสภาพหนี้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานของโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันความเสียหายของจำเลยที่ 1 ขณะปฏิบัติหน้าที่ จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่โดยลำพังมิได้รับอนุญาตหรือได้รับมอบหมายจากโจทก์อันเป็นความประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์เสียหายอย่างร้ายแรง คิดเป็นเงินจำนวน 349,494.55 บาท จำเลยที่ 1 จึงได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ว่าจะชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์ จึงถือว่าฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ อีกทั้งข้ออ้างที่อาศัยหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง แล้ว หาเป็นคำฟ้องที่ขัดกันเองไม่ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
จำเลยที่ 1 เป็นทนายความว่าความให้โจทก์ จึงถือว่าโจทก์เป็นตัวการและจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทน เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดฐานะเป็นตัวแทนกระทำการโดยประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์ผู้เป็นตัวการเสียหายซึ่งมิได้มีบทบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะแล้วย่อมมีอายุความฟ้องร้องสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม (มาตรา 193/30 ที่แก้ไขใหม่)หาใช่เป็นกรณีละเมิดที่ต้องใช้อายุความหนึ่งปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420, 448 ไม่ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีภายในสิบปีแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ
เมื่อโจทก์ได้ทำบันทึกวิธีปฏิบัติในการประนีประนอมยอมความทางศาลให้นิติกรหรือทนายความของโจทก์ทราบก่อนที่จำเลยที่ 1 ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นนิติกรของโจทก์ว่าแม้ทนายความซึ่งได้แต่งตั้งโดยให้มีอำนาจให้ทำการประนีประนอมยอมความได้ก็ตาม หากจะประนีประนอมยอมความแล้ว ให้ทนายความเสนอความเห็นพร้อมด้วยรายละเอียดในเรื่องที่จะประนีประนอมยอมความต่อผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทน แล้วให้ผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทนเสนอขออนุมัติต่อการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคโจทก์ก่อนทุกครั้ง ซึ่งบันทึกวิธีปฏิบัติดังกล่าวได้เวียนไปให้หน่วยงานต่าง ๆในสังกัดโจทก์ทราบ และได้รวบรวมไว้เป็นเล่มแต่ละปี สามารถตรวจสอบได้ง่ายและนิติกรทุกคนได้ทราบวิธีปฏิบัติดังกล่าวแล้ว จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ทราบและต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด ทั้งก่อนวันที่จำเลยที่ 1 ทำการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกับจำเลยในคดีดังกล่าว โจทก์ก็ได้ย้ำปรับความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการตกลงหรือประนีประนอมยอมความทางศาลให้ทนายความของโจทก์ซึ่งรวมทั้งจำเลยที่ 1 ให้ถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด การที่จำเลยที่ 1 ทำการประนีประนอมยอมความกับจำเลยในคดีดังกล่าว โดยมิได้เสนอความเห็นพร้อมด้วยรายละเอียดในเรื่องที่จะตกลงหรือประนีประนอมยอมความต่อ อ. ผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีเพื่อขออนุมัติต่อโจทก์ย่อมถือว่าจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของโจทก์เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการตกลงหรือประนีประนอมยอมความทางศาลอันเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จำเลยที่ 1 จะอ้างเพียงว่าเมื่อในใบแต่งทนายความให้จำเลยที่ 1 มีอำนาจประนีประนอมยอมความได้แล้วจำเลยที่ 1 ย่อมมีอำนาจทำการตกลงหรือประนีประนอมยอมความตามที่จำเลยที่ 1 เห็นสมควรโดยพลการหาได้ไม่ เพราะในบันทึกวิธีปฏิบัติดังกล่าวระบุไว้ชัดแจ้งว่าแม้มีการมอบอำนาจให้นิติกรหรือทนายความประนีประนอมยอมความก็ให้นิติกรหรือทนายความเสนอขออนุมัติต่อโจทก์ทุกครั้งไป การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง เพราะทำให้โจทก์ไม่สามารถเรียกดอกเบี้ยที่จำเลยในคดีดังกล่าวต้องชำระให้โจทก์ตามคำพิพากษา การที่จำเลยที่ 1 รู้ว่าจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแล้ว จำเลยที่ 1 จึงได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ ชำระเงินแก่โจทก์ หนังสือรับสภาพหนี้จึงมีผลใช้บังคับได้โดยสมบูรณ์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 รับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งจำเลยที่ 1 ยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนั้นเอกสารบันทึกวิธีปฏิบัติในการประนีประนอมยอมความทางศาลและหนังสือย้ำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการประนีประนอมยอมความทางศาล จึงมิใช่เป็นพยานหลักฐานอันเกี่ยวกับประเด็นโดยตรงในคดีซึ่งโจทก์จะต้องส่งสำเนาเอกสารนั้น ๆ แก่จำเลยที่ 3ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 แต่อย่างใด และโจทก์ได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นประกอบถามค้านจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพยานจำเลยที่ 3 ในเวลาที่จำเลยที่ 1 เบิกความแล้ว เอกสารดังกล่าวจึงไม่ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน และการที่โจทก์นำสืบเอกสารดังกล่าวก็เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดหน้าที่โดยฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์ เป็นเหตุทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายซึ่งถือว่าจำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จำเลยที่ 1 จึงได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ยอมชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เช่นนี้เท่ากับเป็นการนำสืบว่าหนังสือรับสภาพหนี้ มีมูลหนี้ที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์จริง อันเป็นประเด็นโดยตรงในคดีตามฟ้องโจทก์ หาใช่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นไม่
เมื่อประเด็นสาระสำคัญแห่งคดีโดยตรงซึ่งภาระการพิสูจน์ตกแก่จำเลยทั้งสามแล้ว การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยทั้งสามมีหน้าที่นำสืบก่อนในประเด็นข้อนี้ และเพื่อมิให้คดีล่าช้าจึงให้จำเลยทั้งสามนำสืบก่อนในทุกประเด็นข้ออื่นด้วยนั้น นับว่าชอบแล้ว
จำเลยที่ 1 เป็นทนายความว่าความให้โจทก์ จึงถือว่าโจทก์เป็นตัวการและจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทน เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดฐานะเป็นตัวแทนกระทำการโดยประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์ผู้เป็นตัวการเสียหายซึ่งมิได้มีบทบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะแล้วย่อมมีอายุความฟ้องร้องสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม (มาตรา 193/30 ที่แก้ไขใหม่)หาใช่เป็นกรณีละเมิดที่ต้องใช้อายุความหนึ่งปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420, 448 ไม่ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีภายในสิบปีแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ
เมื่อโจทก์ได้ทำบันทึกวิธีปฏิบัติในการประนีประนอมยอมความทางศาลให้นิติกรหรือทนายความของโจทก์ทราบก่อนที่จำเลยที่ 1 ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นนิติกรของโจทก์ว่าแม้ทนายความซึ่งได้แต่งตั้งโดยให้มีอำนาจให้ทำการประนีประนอมยอมความได้ก็ตาม หากจะประนีประนอมยอมความแล้ว ให้ทนายความเสนอความเห็นพร้อมด้วยรายละเอียดในเรื่องที่จะประนีประนอมยอมความต่อผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทน แล้วให้ผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทนเสนอขออนุมัติต่อการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคโจทก์ก่อนทุกครั้ง ซึ่งบันทึกวิธีปฏิบัติดังกล่าวได้เวียนไปให้หน่วยงานต่าง ๆในสังกัดโจทก์ทราบ และได้รวบรวมไว้เป็นเล่มแต่ละปี สามารถตรวจสอบได้ง่ายและนิติกรทุกคนได้ทราบวิธีปฏิบัติดังกล่าวแล้ว จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ทราบและต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด ทั้งก่อนวันที่จำเลยที่ 1 ทำการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกับจำเลยในคดีดังกล่าว โจทก์ก็ได้ย้ำปรับความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการตกลงหรือประนีประนอมยอมความทางศาลให้ทนายความของโจทก์ซึ่งรวมทั้งจำเลยที่ 1 ให้ถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด การที่จำเลยที่ 1 ทำการประนีประนอมยอมความกับจำเลยในคดีดังกล่าว โดยมิได้เสนอความเห็นพร้อมด้วยรายละเอียดในเรื่องที่จะตกลงหรือประนีประนอมยอมความต่อ อ. ผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีเพื่อขออนุมัติต่อโจทก์ย่อมถือว่าจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของโจทก์เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการตกลงหรือประนีประนอมยอมความทางศาลอันเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จำเลยที่ 1 จะอ้างเพียงว่าเมื่อในใบแต่งทนายความให้จำเลยที่ 1 มีอำนาจประนีประนอมยอมความได้แล้วจำเลยที่ 1 ย่อมมีอำนาจทำการตกลงหรือประนีประนอมยอมความตามที่จำเลยที่ 1 เห็นสมควรโดยพลการหาได้ไม่ เพราะในบันทึกวิธีปฏิบัติดังกล่าวระบุไว้ชัดแจ้งว่าแม้มีการมอบอำนาจให้นิติกรหรือทนายความประนีประนอมยอมความก็ให้นิติกรหรือทนายความเสนอขออนุมัติต่อโจทก์ทุกครั้งไป การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง เพราะทำให้โจทก์ไม่สามารถเรียกดอกเบี้ยที่จำเลยในคดีดังกล่าวต้องชำระให้โจทก์ตามคำพิพากษา การที่จำเลยที่ 1 รู้ว่าจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแล้ว จำเลยที่ 1 จึงได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ ชำระเงินแก่โจทก์ หนังสือรับสภาพหนี้จึงมีผลใช้บังคับได้โดยสมบูรณ์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 รับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งจำเลยที่ 1 ยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนั้นเอกสารบันทึกวิธีปฏิบัติในการประนีประนอมยอมความทางศาลและหนังสือย้ำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการประนีประนอมยอมความทางศาล จึงมิใช่เป็นพยานหลักฐานอันเกี่ยวกับประเด็นโดยตรงในคดีซึ่งโจทก์จะต้องส่งสำเนาเอกสารนั้น ๆ แก่จำเลยที่ 3ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 แต่อย่างใด และโจทก์ได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นประกอบถามค้านจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพยานจำเลยที่ 3 ในเวลาที่จำเลยที่ 1 เบิกความแล้ว เอกสารดังกล่าวจึงไม่ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน และการที่โจทก์นำสืบเอกสารดังกล่าวก็เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดหน้าที่โดยฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์ เป็นเหตุทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายซึ่งถือว่าจำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จำเลยที่ 1 จึงได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ยอมชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เช่นนี้เท่ากับเป็นการนำสืบว่าหนังสือรับสภาพหนี้ มีมูลหนี้ที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์จริง อันเป็นประเด็นโดยตรงในคดีตามฟ้องโจทก์ หาใช่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นไม่
เมื่อประเด็นสาระสำคัญแห่งคดีโดยตรงซึ่งภาระการพิสูจน์ตกแก่จำเลยทั้งสามแล้ว การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยทั้งสามมีหน้าที่นำสืบก่อนในประเด็นข้อนี้ และเพื่อมิให้คดีล่าช้าจึงให้จำเลยทั้งสามนำสืบก่อนในทุกประเด็นข้ออื่นด้วยนั้น นับว่าชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7314/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้มีผลผูกพัน คดีนี้จำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์เสียหาย จึงต้องรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่1เป็นพนักงานของโจทก์โดยมีจำเลยที่2และที่3เป็นผู้ค้ำประกันความเสียหายของจำเลยที่1ขณะปฏิบัติหน้าที่จำเลยที่1ปฏิบัติหน้าที่โดยลำพังมิได้รับอนุญาตหรือได้รับมอบหมายจากโจทก์อันเป็นความประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหายอย่างร้ายแรงคิดเป็นเงินจำนวน349,494.55บาทจำเลยที่1จึงได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ว่าจะชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์แต่จำเลยที่1ไม่ชำระขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์จึงถือว่าฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับอีกทั้งข้ออ้างที่อาศัยหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองแล้วหาเป็นคำฟ้องที่ขัดกันเองไม่ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม จำเลยที่1เป็นทนายความว่าความให้โจทก์จึงถือว่าโจทก์เป็นตัวการและจำเลยที่1เป็นตัวแทนเมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่1รับผิดฐานะเป็นตัวแทนกระทำการโดยประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์ผู้เป็นตัวการเสียหายซึ่งมิได้มีบทบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะแล้วย่อมมีอายุความฟ้องร้องสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา164เดิม(มาตรา193/30ที่แก้ไขใหม่)หาใช่เป็นกรณีละเมิดที่ต้องใช้อายุความหนึ่งปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา420,448ไม่เมื่อโจทก์ฟ้องคดีภายในสิบปีแล้วฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ เมื่อโจทก์ได้ทำบันทึกวิธีปฏิบัติในการประนีประนอมยอมความทางศาลให้นิติกรหรือทนายความของโจทก์ทราบก่อนที่จำเลยที่1ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นนิติกรของโจทก์ว่าแม้ทนายความซึ่งได้แต่งตั้งโดยให้มีอำนาจให้ทำการประนีประนอมยอมความได้ก็ตามหากจะประนีประนอมยอมความแล้วให้ทนายความเสนอความเห็นพร้อมด้วยรายละเอียดในเรื่องที่จะประนีประนอมยอมความต่อผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทนแล้วให้ผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทนเสนอขออนุมัติต่อการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคโจทก์ก่อนทุกครั้งซึ่งบันทึกวิธีปฏิบัติดังกล่าวได้เวียนไปให้หน่วยงานต่างๆในสังกัดโจทก์ทราบและได้รวบรวมไว้เป็นเล่มแต่ละปีสามารถตรวจสอบได้ง่ายและนิติกรทุกคนได้ทราบวิธีปฏิบัติดังกล่าวแล้วจึงต้องถือว่าจำเลยที่1ทราบและต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัดทั้งก่อนวันที่จำเลยที่1ทำการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกับจำเลยในคดีดังกล่าวโจทก์ก็ได้ย้ำปรับความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการตกลงหรือประนีประนอมยอมความทางศาลให้ทนายความของโจทก์ซึ่งรวมทั้งจำเลยที่1ให้ถือปฏิบัติโดยเคร่งครัดการที่จำเลยที่1ทำการประนีประนอมยอมความกับจำเลยในคดีดังกล่าวโดยมิได้เสนอความเห็นพร้อมด้วยรายละเอียดในเรื่องที่จะตกลงหรือประนีประนอมยอมความต่อ อ. ผู้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีเพื่อขออนุมัติต่อโจทก์ย่อมถือว่าจำเลยที่1มิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของโจทก์เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการตกลงหรือประนีประนอมยอมความทางศาลอันเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงจำเลยที่1จะอ้างเพียงว่าเมื่อในใบแต่งทนายความให้จำเลยที่1มีอำนาจประนีประนอมยอมความได้แล้วจำเลยที่1ย่อมมีอำนาจทำการตกลงหรือประนีประนอมยอมความตามที่จำเลยที่1เห็นสมควรโดยพลการหาได้ไม่เพราะในบันทึกวิธีปฏิบัติดังกล่าวระบุไว้ชัดแจ้งว่าแม้มีการมอบอำนาจให้นิติกรหรือทนายความประนีประนอมยอมความก็ให้นิติกรหรือทนายความเสนอขออนุมัติต่อโจทก์ทุกครั้งไปการกระทำของจำเลยที่1จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงเพราะทำให้โจทก์ไม่สามารถเรียกดอกเบี้ยที่จำเลยในคดีดังกล่าวต้องชำระให้โจทก์ตามคำพิพากษาการที่จำเลยที่1รู้ว่าจำเลยที่1ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแล้วจำเลยที่1จึงได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ชำระเงินแก่โจทก์หนังสือรับสภาพหนี้จึงมีผลใช้บังคับได้โดยสมบูรณ์ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่1รับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งจำเลยที่1ยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ดังนั้นเอกสารบันทึกวิธีปฏิบัติในการประนีประนอมยอมความทางศาลและหนังสือย้ำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการประนีประนอมยอมความทางศาลจึงมิใช่เป็นพยานหลักฐานอันเกี่ยวกับประเด็นโดยตรงในคดีซึ่งโจทก์จะต้องส่งสำเนาเอกสารนั้นๆแก่จำเลยที่3ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา90แต่อย่างใดและโจทก์ได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นประกอบถามค้านจำเลยที่1ซึ่งเป็นพยานจำเลยที่3ในเวลาที่จำเลยที่1เบิกความแล้วเอกสารดังกล่าวจึงไม่ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานและการที่โจทก์นำสืบเอกสารดังกล่าวก็เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่1กระทำผิดหน้าที่โดยฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์เป็นเหตุทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายซึ่งถือว่าจำเลยที่1ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงจำเลยที่1จึงได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ยอมชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เช่นนี้เท่ากับเป็นการนำสืบว่าหนังสือรับสภาพหนี้มีมูลหนี้ที่จำเลยที่1ต้องรับผิดต่อโจทก์จริงอันเป็นประเด็นโดยตรงในคดีตามฟ้องโจทก์หาใช่เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นไม่ เมื่อประเด็นสาระสำคัญแห่งคดีโดยตรงซึ่งภาระการพิสูจน์ตกแก่จำเลยทั้งสามแล้วการที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยทั้งสามมีหน้าที่นำสืบก่อนในประเด็นข้อนี้และเพื่อมิให้คดีล่าช้าจึงให้จำเลยทั้งสามนำสืบก่อนในทุกประเด็นข้ออื่นด้วยนั้นนับว่าชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7014/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความผ่อนผันหนี้ การรับผิดส่วนตัวของตัวแทนที่ไม่มีอำนาจ และดอกเบี้ยผิดนัด
หนังสือตกลงชำระหนี้ระหว่างโจทก์จำเลยมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความผ่อนผันการชำระค่าเสียหายซึ่งเกิดขึ้นจากการที่จำเลยผิดสัญญาส่งข้าวโพดทำให้โจทก์ต้องไปซื้อข้าวโพดราคาสูงขึ้น แต่ตกลงผ่อนผันกันตามข้อตกลงชำระหนี้ระหว่างคู่กรณีโดยคิดค่าเสียหายจากราคาหาบละ 177บาท ซึ่งคิดคำนวณค่าเสียหายได้เพียง 240,000 บาท และให้ฝ่ายจำเลยผ่อนชำระค่าเสียหายเช่นนี้หนี้ตามสัญญาเดิมจึงระงับและมาบังคับกันตามข้อตกลงยอมชำระหนี้ดังกล่าวนี้ต่อไป การที่จำเลยนำสืบว่าบริษัท ส.คือบริษัทต. และจำเลยมาทำการแทนบริษัท ส. ในการทำข้อตกลงยอมชำระหนี้กับโจทก์เป็นการนำสืบนอกคำให้การ รับฟังไม่ได้ จำเลยเข้าทำข้อตกลงยอมชำระหนี้แก่โจทก์ตามข้อตกลง ชำระหนี้ในนามตนเอง การที่จำเลยอ้างว่าทำแทนบริษัท ส. ซึ่งไม่มีตัวตน จำเลยจึงต้องรับผิดเป็นส่วนตัว และจำเลย ผิดนัดต่อโจทก์โดยไม่ยอมผ่อนชำระหนี้ตามข้อตกลงจึงต้อง รับผิดพร้อมทั้งดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7014/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงชำระหนี้ผูกพันจำเลยโดยตรง แม้จะอ้างทำแทนบริษัทอื่น การผิดนัดชำระหนี้ตามข้อตกลงจำเลยต้องรับผิด
หนังสือตกลงชำระหนี้ระหว่างโจทก์จำเลยมีลักษณะเป็นสัญญา-ประนีประนอมยอมความผ่อนผันการชำระค่าเสียหายซึ่งเกิดขึ้นจากการที่จำเลยผิดสัญญาส่งข้าวโพดทำให้โจทก์ต้องไปซื้อข้าวโพดราคาสูงขึ้น แต่ตกลงผ่อนผันกันตามข้อตกลงชำระหนี้ระหว่างคู่กรณีโดยคิดค่าเสียหายจากราคาหาบละ 177 บาท ซึ่งคิดคำนวณค่าเสียหายได้เพียง 240,000 บาท และให้ฝ่ายจำเลยผ่อนชำระค่าเสียหายเช่นนี้หนี้ตามสัญญาเดิมจึงระงับและมาบังคับกันตามข้อตกลงยอมชำระหนี้ดังกล่าวนี้ต่อไป
การที่จำเลยนำสืบว่าบริษัท ส. คือบริษัท ต. และจำเลยมาทำการแทนบริษัท ส.ในการทำข้อตกลงยอมชำระหนี้กับโจทก์เป็นการนำสืบนอกคำให้การ รับฟังไม่ได้
จำเลยเข้าทำข้อตกลงยอมชำระหนี้แก่โจทก์ตามข้อตกลงชำระหนี้ในนามตนเอง การที่จำเลยอ้างว่าทำแทนบริษัท ส.ซึ่งไม่มีตัวตน จำเลยจึงต้องรับผิดเป็นส่วนตัว และจำเลยผิดนัดต่อโจทก์โดยไม่ยอมผ่อนชำระหนี้ตามข้อตกลงจึงต้องรับผิดพร้อมทั้งดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัด
การที่จำเลยนำสืบว่าบริษัท ส. คือบริษัท ต. และจำเลยมาทำการแทนบริษัท ส.ในการทำข้อตกลงยอมชำระหนี้กับโจทก์เป็นการนำสืบนอกคำให้การ รับฟังไม่ได้
จำเลยเข้าทำข้อตกลงยอมชำระหนี้แก่โจทก์ตามข้อตกลงชำระหนี้ในนามตนเอง การที่จำเลยอ้างว่าทำแทนบริษัท ส.ซึ่งไม่มีตัวตน จำเลยจึงต้องรับผิดเป็นส่วนตัว และจำเลยผิดนัดต่อโจทก์โดยไม่ยอมผ่อนชำระหนี้ตามข้อตกลงจึงต้องรับผิดพร้อมทั้งดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6996/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่การพิสูจน์หนี้และการชำระหนี้: จำเลยต้องพิสูจน์การชำระหนี้ หากอ้างว่าชำระแล้ว
ตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันและจำเลยทั้งสองจดจำนองที่ดินเป็นประกัน เมื่อบอกเลิกสัญญาจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์จำนวนหนึ่ง จำเลยทั้งสองให้การรับตามคำฟ้อง แต่ต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้ไปบางส่วน ยอดหนี้ที่ฟ้องไม่ถูกต้อง เป็นการรับว่าจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไปจริงและยังคงค้างชำระหนี้อยู่ โดยได้ชำระเงินไปบางส่วนเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องพิสูจน์ว่าได้ชำระหนี้โจทก์ไปแล้วเท่าไร หาใช่เป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำสืบว่า จำเลยที่ 1เป็นหนี้อยู่เท่าไรไม่ แม้โจทก์ไม่มีพยานมาสืบ แต่จำเลยนำสืบไม่ได้ว่าชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว ก็ต้องฟังว่าเป็นหนี้โจทก์อยู่ตามฟ้อง