พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,100 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1500/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับของจำเลยทำให้สัญญากู้ที่ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ใช้เป็นหลักฐานได้ หากจำเลยพิสูจน์การไม่ได้รับเงินกู้ไม่ได้
เมื่อจำเลยให้การรับว่าสัญญากู้ท้ายฟ้องเป็นเอกสารที่จำเลยทำให้กับผู้ตายซึ่งเป็นสามีโจทก์ไว้ โจทก์จึงไม่มีภาระจะต้องพิสูจน์และส่งอ้างเอกสารสัญญากู้นั้นเป็นพยานหลักฐาน แม้สัญญากู้ที่โจทก์อ้างนั้นจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ ก็รับฟังได้ตามคำรับของจำเลยว่ามีการกู้กันจริง จึงไม่มีกรณีต้องห้ามตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 ที่ห้ามมิให้รับฟังตราสารที่ไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่ง จำเลยอ้างว่าการกู้เงินยังไม่บริบูรณ์เพราะจำเลยยังมิได้รับเงินกู้ก็ต้องมีภาระการพิสูจน์ เมื่อจำเลยไม่อาจพิสูจน์ให้ศาลเชื่อฟังได้ตามข้ออ้าง ศาลย่อมฟังข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยได้รับเงินตามสัญญากู้ไปแล้วไม่ใช้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1500/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับของจำเลยทำให้สัญญากู้ที่ไม่ติดอากรแสตมป์ใช้เป็นหลักฐานได้ ภาระการพิสูจน์อยู่ที่จำเลย
จำเลยให้การรับว่าสัญญากู้ท้ายฟ้องเป็นเอกสารที่จำเลยทำให้กับผู้ตายซึ่งเป็นสามีโจทก์ไว้ โจทก์จึงไม่มีภาระจะต้องพิสูจน์และส่งอ้างเอกสารสัญญากู้นั้นเป็นพยานหลักฐาน แม้สัญญากู้ที่โจทก์อ้างจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ ก็รับฟังได้ตามคำรับของจำเลยว่ามีการกู้กันจริงไม่ต้องด้วยประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ที่ห้ามมิให้รับฟังตราสารที่ไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่ง จำเลยอ้างว่าการกู้เงินยังไม่บริบูรณ์เพราะจำเลยยังมิได้รับเงินกู้ ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 703/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อ, การค้ำประกัน, การแปลงหนี้ใหม่, ความรับผิดของผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกัน
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ จำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาสามีจำเลยที่ 2 ได้ตกลงกับจำเลยที่ 1ขอรับรถยนต์ดังกล่าวไปไว้ในครอบครอง และตกลงจะไปเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ ข้อตกลงระหว่างสามีจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 1 ดังกล่าวไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ เพราะการแปลงหนี้ใหม่จะต้องมีการทำสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้คนใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 350 ดังนี้ หนี้ระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์จึงยังไม่ระงับ เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระเงินค่าเช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อ จำเลยที่ 1 ยังต้องรับผิดต่อโจทก์อยู่ตามสัญญาเช่าซื้อ ส่วนจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1ตามสัญญาค้ำประกัน เมื่อคำฟ้องและคำให้การพอที่จะรับฟังและวินิจฉัยได้ การที่ศาลอนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานหลังจากที่สืบพยานจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายที่นำสืบก่อนเสร็จแล้วก็ไม่เป็นข้อสำคัญในคดี เพราะจะอนุญาตหรือไม่ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ฎีกาจำเลยที่ว่าการยื่นบัญชีระบุพยานโจทก์ไม่ชอบจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับวินิจฉัย ปัญหาว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่ามอบอำนาจให้ ป. แต่กลับนำว. เข้ามาเบิกความโดยมิได้แก้ฟ้องหรือบรรยายฟ้องกล่าวอ้างถึงว. จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นนั้น เมื่อประเด็นนี้จำเลยมิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างกันมาในศาลอุทธรณ์ เพิ่งมายกขึ้นในชั้นฎีกาศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 265/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงท้ากันทางศาล: ผลคดีอาญา (ปลอมแปลงพินัยกรรม) ผูกพันคดีแพ่ง (มรดก) ต้องรอฟังผลคดีอาญาถึงที่สุด
คู่ความตกลงท้ากันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาคดีอาญาเป็นข้อวินิจฉัยว่าพินัยกรรมฉบับพิพาทปลอมหรือไม่ มีความหมายว่าคู่ความประสงค์ให้ถือเอาผลของคำพิพากษาที่ถึงที่สุดเป็นข้อแพ้ชนะในประเด็น ดังกล่าวดังนี้ ศาลต้องรอฟังผลของคำพิพากษาคดีอาญาที่ถึงที่สุดเป็น หลักในการวินิจฉัยคดีตามที่คู่ความท้ากัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 202/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรองสภาพหนี้จากการประทับตราสัญญาเช่าซื้อ และข้อจำกัดในการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงที่ไม่เคยว่ากล่าว
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์ จำเลยมิได้ให้การถึงตราที่ใช้ประทับอยู่ในช่องผู้เช่าซื้อในหนังสือสัญญาเช่าซื้อว่าชอบหรือไม่อย่างไร เมื่อจำเลยไม่ให้การถึงต้องถือว่าจำเลยรับว่าเป็นตราของจำเลยที่ 1 คู่ความไม่ต้องพิสูจน์ในข้อเท็จจริงนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 84(1) ศาลไม่รับวินิจฉัยพยานจำเลยที่นำสืบว่าตราที่ประทับในช่องผู้เช่าซื้อไม่ใช่ตราของจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองให้การว่า เดิมรถยนต์เป็นของจำเลยที่ 1 ส.กระทำโดยไม่สุจริตโอนรถยนต์ให้โจทก์ แล้วจึงมีการทำสัญญาเช่าซื้อจำเลยทั้งสองมิได้ต่อสู้ว่าขณะทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์มิได้เป็นเจ้าของรถยนต์สัญญาเช่าซื้อจึงไม่ผูกพันจำเลยทั้งสอง อุทธรณ์ของจำเลยที่ว่าโจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์ในขณะทำสัญญาเช่าซื้อจึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น เมื่อปัญหาดังกล่าวมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงต้องห้ามมิให้ยกขึ้นมากล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ให้ไว้แก่โจทก์ เอกสารท้ายฟ้องโจทก์เป็นผู้กรอกข้อความเองทั้งสิ้นสัญญาค้ำประกันดังกล่าวเป็นเอกสารปลอมแต่ตามสัญญาค้ำประกันเอกสารท้ายฟ้องจำเลยที่ 2 ได้ลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันไว้การที่จำเลยที่ 2 ให้การเพียงว่าโจทก์เป็นผู้กรอกข้อความในเอกสารทั้งสิ้น จึงเป็นเอกสารปลอม โดยจำเลยที่ 2 มิได้ให้การว่าเหตุใดจึงได้ลงชื่อไว้ในเอกสารดังกล่าวและเหตุใดโจทก์จึงนำเอกสารนั้นไปกรอกข้อความจนกลายเป็นเอกสารปลอมได้ ถือว่าไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธโดยชัดแจ้งเป็นคำให้การที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177วรรคสอง ไม่ก่อให้เกิดประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 202/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสภาพหนี้จากพยานหลักฐานและข้อจำกัดในการยกเหตุต่อสู้ทางกฎหมายในชั้นอุทธรณ์
จำเลยที่ 1 ให้การว่าไม่เคยทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์ มิได้ให้การถึงตราที่ใช้ประทับอยู่ในช่องผู้เช่าซื้อว่าชอบหรือไม่อย่างไรเมื่อจำเลยไม่ให้การถึงต้องถือว่าจำเลยรับว่าเป็นตราของจำเลยที่ 1 คู่ความไม่ต้องพิสูจน์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84(1) จำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันไว้ตามสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้อง การที่จำเลยที่ 2 ให้การเพียงว่าโจทก์เป็นผู้กรอกข้อความในเอกสารทั้งสิ้น จึงเป็นเอกสารปลอม โดยจำเลยที่ 2 มิได้ให้การว่าเหตุใดจึงได้ลงชื่อไว้ในเอกสารดังกล่าวและเหตุใดโจทก์จึงนำเอกสารนั้นไปกรอกข้อความจนกลายเป็นเอกสารปลอมได้ถือว่าไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธโดยชัดแจ้งเป็นคำให้การที่ไม่ชอบตาม ป.วิ.พ.มาตรา 177 วรรคสอง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 28/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิลูกจ้างค่าทำงานวันหยุดและดอกเบี้ย กรณีนายจ้างไม่ประกาศวันหยุดและผิดนัดชำระ
เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า จำเลยนายจ้างได้ประกาศกำหนดวันหยุดตามประเพณีและวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์ทราบล่วงหน้าซึ่งมีความหมายอยู่ในตัวว่า โจทก์ไม่ได้หยุดงานในวันดังกล่าวส่วนวันหยุดประจำสัปดาห์ จำเลยมิได้ปฏิเสธไว้ต้องถือว่าจำเลยสั่งให้โจทก์ทำงานในวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ โจทก์จึงมิต้องนำสืบในข้อนี้อีก จำเลยจึงต้องจ่ายเงินสำหรับวันหยุดทั้ง 3 ประเภท ดังกล่าวแก่โจทก์ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงานหมวด 4ข้อ 31 วรรคแรก ถ้านายจ้างผิดนัดในการจ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลาและค่าทำงานในวันหยุดต้องจ่ายดอกเบี้ยแก่ลูกจ้างระหว่างผิดนัดร้อยละ 15 ต่อปี แม้ประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวจะมิได้กำหนดให้ลูกจ้างต้องทวงถามเสียก่อนจึงจะมีสิทธิได้ดอกเบี้ยซึ่งมีความหมายว่านายจ้างจะต้องจ่ายดอกเบี้ยทันทีที่ผิดนัดก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่า จำเลยผิดนัดในเรื่องดอกเบี้ยของแต่ละรายการตั้งแต่เมื่อใดและอย่างไร ทั้งยังเบิกความว่าขอเรียกดอกเบี้ยนับจากวันฟ้องเป็นต้นไป ที่ศาลแรงงานกลางกำหนดให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยแก่โจทก์นับแต่วันฟ้อง จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 28/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการได้รับค่าทำงานในวันหยุดและดอกเบี้ย กรณีนายจ้างไม่จ่ายค่าจ้างตามกฎหมายแรงงาน
เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยนายจ้างได้ประกาศกำหนดวันหยุดตามประเพณีและวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่โจทก์ทราบล่วงหน้าซึ่งมีความหมายอยู่ในตัวว่าโจทก์ไม่ได้หยุดงานในวันดังกล่าวส่วนวันหยุดประจำสัปดาห์จำเลยมิได้ปฏิเสธไว้ต้องถือว่าจำเลยสั่งให้โจทก์ทำงานในวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดประจำสัปดาห์โจทก์จึงมิต้องนำสืบในข้อนี้อีกจำเลยจึงต้องจ่ายเงินสำหรับวันหยุดทั้ง3ประเภทดังกล่าวแก่โจทก์ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานหมวด4ข้อ31วรรคแรกถ้านายจ้างผิดนัดในการจ่ายค่าจ้างค่าล่วงเวลาและค่าทำงานในวันหยุดต้องจ่ายดอกเบี้ยแก่ลูกจ้างระหว่างผิดนัดร้อยละ15ต่อปีแม้ประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวจะมิได้กำหนดให้ลูกจ้างต้องทวงถามเสียก่อนจึงจะมีสิทธิได้ดอกเบี้ยซึ่งมีความหมายว่านายจ้างจะต้องจ่ายดอกเบี้ยทันทีที่ผิดนัดก็ตามแต่เมื่อโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยผิดนัดในเรื่องดอกเบี้ยของแต่ละรายการตั้งแต่เมื่อใดและอย่างไรทั้งยังเบิกความว่าขอเรียกดอกเบี้ยนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปที่ศาลแรงงานกลางกำหนดให้จำเลยจ่ายดอกเบี้ยแก่โจทก์นับแต่วันฟ้องจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6471/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเวนคืนที่ดิน: การประเมินราคาที่ดินตามราคาตลาด และอายุความฟ้องร้องเรียกค่าทดแทน
ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ข้อ 76 ให้กำหนดค่าทดแทนเท่าราคาของทรัพย์สินตามธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดในวันที่พ.ร.ฎ. ใช้บังคับและการเรียกค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืน โจทก์มีหน้าที่จะต้องหาพยานมาสนับสนุนข้ออ้างของโจทก์ให้มีน้ำหนักรับฟังได้ว่าเป็นราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาด ไม่ใช่หน้าที่ของจำเลย โจทก์ได้รับค่าทดแทนที่ดินโฉนดเลขที่ 54330 เมื่อวันที่ 21มีนาคม 2528 ส่วนที่ดินอีก 4 แปลง ได้รับค่าทดแทนปี 2527โจทก์ฟ้องคดีนี้ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2529 ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าทดแทนที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 54330 ไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันได้รับเงินค่าทดแทน ยังไม่ขาดอายุความ ส่วนที่เกี่ยวกับค่าทดแทนที่ดินอีก 4 แปลงที่เหลือ ฟ้องเกิน 1 ปี นับแต่วันได้รับเงินค่าทดแทน จึงขาดอายุความตามข้อ 67.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6429/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรอนสิทธิ: ผู้ขายต้องพิสูจน์ความผิดผู้ซื้อเพื่อให้พ้นจากความรับผิด
กรณีที่ผู้ขายจะไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิตาม ป.พ.พ. มาตรา 482 (1)นั้น จะต้องได้ความว่าผู้ขายพิสูจน์ได้ว่าสิทธิของผู้ซื้อได้สูญไปโดยความผิดของผู้ซื้อเอง รถยนต์พิพาทถูกยักยอกมาและได้ถูกเจ้าพนักงานตำรวจศูนย์ป้องกันและปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ติดตามยึดรถไปจากโจทก์ผู้ซื้อด้วยอำนาจของกฎหมาย โดยจำเลยผู้ขายมิได้นำสืบให้เห็นว่าการที่รถยนต์พิพาทถูกยึดไปนั้นเป็นความผิดของโจทก์แต่อย่างใด จำเลยจึงไม่อาจอ้างเอาข้อยกเว้นการรับผิดในการรอนสิทธิตามข้อกฎหมายที่อ้างมานั้นได้