คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 84

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,100 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3957/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการพิจารณาความถูกต้องของหนี้ในคดีล้มละลาย และหน้าที่นำสืบของคู่ความ
พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 119 กำหนดให้ศาลเป็นผู้พิจารณาว่าสิทธิเรียกร้องที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะเรียกร้องนั้นเป็นสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้หรือไม่ เมื่อผู้ร้องปฏิเสธว่ามิได้เป็นหนี้ลูกหนี้ ผู้ร้องมีหน้าที่นำสืบก่อนตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดและผู้ร้องยังติดใจอ้างเอกสารซึ่งยังไม่เข้าสู่สำนวนของศาล ศาลชั้นต้นจึงไม่มีข้อเท็จจริงใดที่จะสั่งว่าเอกสารดังกล่าวไม่จำเป็นแก่คดีและหากได้เอกสารดังกล่าวมาแล้วผู้ร้องไม่มีพยานอื่นอีกต่อไปหน้าที่นำสืบต่อไปย่อมเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะพิสูจน์ให้ได้ตามประเด็นที่ตนยกขึ้นคัดค้าน ศาลจึงจะวินิจฉัยว่าจะยกคำร้องของผู้ร้องหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นด่วนงดสืบพยานเพราะผู้ร้องแถลงไม่ติดใจสืบตัวผู้ร้องแต่ยังติดใจสืบพยานเอกสารซึ่งเป็นสาระสำคัญในการปฏิเสธหนี้ของผู้ร้องดังนี้เป็นการไม่ชอบ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3948/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลื่อนคดีและการพิสูจน์ความชอบด้วยกฎหมายของการขายทอดตลาด
ทนายความผู้ประกันขอเลื่อนคดีมาแล้วครั้งหนึ่งอ้างว่าติดว่าความที่ศาลอื่นศาลชั้นต้นอนุญาต ครั้นถึงวันนัดครั้งต่อไปทนายความผู้ประกันยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอีกอ้างว่าได้นัดผู้ประกันให้มาเบิกความต่อศาล แต่ผู้ประกันไม่มาและไม่ทราบสาเหตุ แต่ตามคำร้องขอเลื่อนคดีไม่ได้อ้างเหตุจำเป็นอื่นอันไม่อาจก้าวล่วงได้ และไม่ได้แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลว่าถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปจะทำให้เสียความยุติธรรมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 วรรคแรก ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะให้เลื่อนคดี
ผู้ประกันกล่าวอ้างว่า การขายทอดตลาดที่ดินพิพาทเป็นไปโดยไม่สุจริต ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการขายทอดตลาด ผู้ซื้อทรัพย์คัดค้าน ดังนี้ หน้าที่นำสืบตกแก่ผู้ประกัน เมื่อผู้ประกันไม่มีพยานมานำสืบ อีกทั้งได้ความตามสำนวนว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศแจ้งการขายทอดตลาดโดยชอบหลายครั้ง ไม่มีผู้ใดสนใจเข้าสู้ราคา เมื่อผู้ซื้อทรัพย์สู้ราคาสูงสุดสูงกว่าราคาประเมิน และศาลชั้นต้นเห็นสมควรให้ขายทรัพย์แก่ผู้ซื้อทรัพย์การขายทอดตลาดจึงเป็นไปโดยชอบแล้ว
การยื่นคำร้องของผู้ประกันในคดีอาญาว่าการขายทอดตลาดไม่ชอบรวมทั้งการอุทธรณ์ฎีกา ไม่จำต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 252

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3948/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอเลื่อนคดีซ้ำโดยไม่มีเหตุสมควร และการยกคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดที่ชอบด้วยกฎหมาย
ทนายความผู้ประกันขอเลื่อนคดีมาแล้วครั้งหนึ่งอ้างว่าติดว่าความที่ศาลอื่น ศาลชั้นต้นอนุญาต ครั้นถึงวันนัดครั้งต่อไปทนายความผู้ประกันยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอีกอ้างว่า ได้นัดผู้ประกันให้มาเบิกความต่อศาล แต่ผู้ประกันไม่มาและไม่ทราบสาเหตุ แต่ตามคำร้องขอเลื่อนคดีไม่ได้อ้างเหตุจำเป็นอื่นอันไม่อาจก้าวล่วงได้และไม่ได้แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลว่า ถ้าศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีต่อไปจะทำให้เสียความยุติธรรมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 40 วรรคแรก ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะให้เลื่อนคดี ผู้ประกันกล่าวอ้างว่า การขายทอดตลาดที่ดินพิพาทเป็นไปโดยไม่สุจริต ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการขายทอดตลาด ผู้ซื้อทรัพย์คัดค้าน ดังนี้ หน้าที่นำสืบตกแก่ผู้ประกัน เมื่อผู้ประกันไม่มีพยานมานำสืบ อีกทั้งได้ความตามสำนวนว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ประกาศแจ้งการขายทอดตลาดโดยชอบหลายครั้งไม่มีผู้ใดสนใจเข้าสู้ราคา เมื่อผู้ซื้อทรัพย์สู้ราคาสูงสุดสูงกว่าราคาประเมิน และศาลชั้นต้นเห็นสมควรให้ขายทรัพย์แก่ผู้ซื้อทรัพย์ การขายทอดตลาดจึงเป็นไปโดยชอบแล้ว การยื่นคำร้องของผู้ประกันในคดีอาญาว่าการขายทอดตลาดไม่ชอบ รวมทั้งการอุทธรณ์ฎีกา ไม่จำต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมตาม ป.วิ.อ. มาตรา 252

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3859/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์สัญญาขายลดเช็ค: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการโต้แย้งเฉพาะลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย/สลักหลัง ไม่ถือเป็นการปฏิเสธสัญญาทั้งหมด
ข้อที่ลูกหนี้ฎีกาโต้เถียงว่าสัญญาขายลดเช็คที่บริษัทพ. ทำไว้กับเจ้าหนี้ลูกหนี้ได้ปฏิเสธแล้วนั้น เป็นการฎีกาที่ไม่ตรงต่อข้อเท็จจริง เพราะในชั้นที่เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ ลูกหนี้ โต้แย้งเพียงว่าผู้สั่งจ่าย และผู้สลักหลังเช็คที่นำมาขายลดแก่ เจ้าหนี้ไม่ใช่กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท พ. หาได้โต้แย้งหรือปฏิเสธว่าบริษัท พ. ไม่ได้ทำสัญญาขายลดเช็คหรือไม่ได้นำเช็คมาขายลดให้แก่เจ้าหนี้ไม่ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าบริษัท พ. ได้ทำสัญญาขายลดเช็คและได้นำเช็คมาขายลดให้แก่เจ้าหนี้จริงเจ้าหนี้หาจำต้องสืบพยานในข้อนี้ไม่ และเมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็น ยุติแล้วดังกล่าว ข้อที่ลูกหนี้ฎีกาว่าภาระการพิสูจน์เพื่อแสดง ถึงความไม่สมบูรณ์ของสัญญาขายลดเช็คตกอยู่แก่ฝ่ายเจ้าหนี้นั้น จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดี อันควรได้รับการวินิจฉัย ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3605/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมอบอำนาจฟ้องคดี: ศาลฎีกาให้รับฟังการมอบอำนาจตามเอกสารท้ายฟ้อง แม้ไม่มีอากรแสตมป์ และจำกัดขอบเขตการพิจารณาตามอุทธรณ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่าได้มอบอำนาจให้ น. เป็นผู้รับมอบอำนาจและแต่งทนายโจทก์จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งว่าโจทก์มิได้มอบอำนาจดังกล่าวไว้ คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย เรื่องการมอบอำนาจ ไม่มีกรณีต้องใช้หนังสือมอบอำนาจเป็นพยานหลักฐานแม้หนังสือมอบอำนาจจะไม่มีการขีดฆ่าอากรแสตมป์ก็รับฟังได้ คดี จึงต้องฟังว่า น. เป็นผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกาเพียงในข้อที่ขอให้ยกคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางเท่านั้น มิได้ยกข้อพิพาทในเนื้อหาของคดีขึ้นมาในอุทธรณ์ และมิได้ขอให้พิพากษาตามคำขอของโจทก์ดังที่ฟ้องมาศาลฎีกาจึงไม่อาจใช้ดุลพินิจพิจารณาข้อพิพาทในส่วนที่นอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องอุทธรณ์ได้ และกรณีไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3605/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมอบอำนาจและการรับฟังพยานหลักฐาน แม้ไม่มีอากรแสตมป์ก็ใช้ได้ หากจำเลยไม่โต้แย้ง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าได้มอบอำนาจให้ น. เป็นผู้รับมอบอำนาจและแต่งทนายโจทก์จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งว่าโจทก์มิได้มอบอำนาจดังกล่าวไว้ คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยเรื่องการมอบอำนาจ ไม่มีกรณีต้องใช้หนังสือมอบอำนาจเป็นพยานหลักฐาน แม้หนังสือมอบอำนาจจะไม่มีการขีดฆ่าอากรแสตมป์ก็รับฟังได้ คดีจึงต้องฟังว่า น.เป็นผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกาเพียงในข้อที่ขอให้ยกคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางเท่านั้น มิได้ยกข้อพิพาทในเนื้อหาของคดีขึ้นมาในอุทธรณ์ และมิได้ขอให้พิพากษาตามคำขอของโจทก์ดังที่ฟ้องมา ศาลฎีกาจึงไม่อาจใช้ดุลพินิจพิจารณาข้อพิพาทในส่วนที่นอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องอุทธรณ์ได้ และกรณีไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3286/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุม - คำฟ้องขาดรายละเอียดข้อหาและเหตุผลสนับสนุนคำขอ - ไม่มีประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เจ้าพนักงานที่ดินได้ทำการรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ตามคำขอของโจทก์แล้ว ภายหลังจำเลยคัดค้านการรังวัดว่ารุกล้ำที่ดินของจำเลยโดยจำเลยมิได้เป็นผู้มีสิทธิในที่ดินข้างเคียง เพื่อกลั่นแกล้งและโต้แย้งสิทธิของโจทก์ กับมีคำขอบังคับให้ยกคำร้องคัดค้านของจำเลย ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินโจทก์ แต่ผลการคัดค้านของจำเลยที่โต้แย้งสิทธิของโจทก์นั้น ฟ้องโจทก์ไม่มีรายละเอียดแจ้งชัดว่าโจทก์ให้เจ้าพนักงานที่ดินทำอะไรให้โจทก์ต่อไป และการกระทำของจำเลยทำให้สิทธิของโจทก์ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างไร และมูลเหตุใดที่โจทก์ได้รับการคุ้มครองสิทธิที่มีอยู่ และคำขอบังคับที่ให้จำเลยกับบริวารออกจากที่ดินคำฟ้องก็มิได้กล่าวถึงสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นเดียวกัน คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยคัดค้านการรังวัดสอบเขต จึงไม่มีเหตุที่จะต้องทำแผนที่พิพาททั้งรายละเอียดในฎีกาโจทก์อ้างสิทธิเกี่ยวกับที่ดิน จึงเป็นข้อพิพาทในสิทธิเรื่องที่ดิน ไม่ตรงกับสภาพข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยในคำฟ้อง การทำแผนที่เพื่อให้ได้รับรองสิทธิของโจทก์ในที่ดิน จึงมิใช่รายละเอียดที่จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา อันจะสนับสนุนว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3286/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุม - คำฟ้องไม่ชัดเจนในสภาพแห่งข้อหาและคำขอ ขาดรายละเอียดการรังวัดและผลกระทบต่อสิทธิ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เจ้าพนักงานที่ดินได้ทำการรังวัดสอบเขตที่ดินของโจทก์ตามคำขอของโจทก์แล้ว ภายหลังจำเลยคัดค้านการรังวัดว่ารุกล้ำที่ดินของจำเลยโดยจำเลยมิได้เป็นผู้มีสิทธิในที่ดินข้างเคียง เพื่อกลั่นแกล้งและโต้แย้งสิทธิของโจทก์ กับมีคำขอบังคับให้ยกคำร้องคัดค้านของจำเลย ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินโจทก์ แต่ผลการคัดค้านของจำเลยที่โต้แย้งสิทธิของโจทก์นั้นฟ้องโจทก์ไม่มีรายละเอียดแจ้งชัดว่าโจทก์ให้เจ้าพนักงานที่ดินทำอะไรให้โจทก์ต่อไป และการกระทำของจำเลยทำให้สิทธิของโจทก์ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างไร และมูลเหตุใดที่โจทก์ได้รับการคุ้มครองสิทธิที่มีอยู่ และคำขอบังคับที่ให้จำเลยกับบริวารออกจากที่ดินคำฟ้องก็มิได้กล่าวถึงสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นเดียวกัน คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์ฟ้องว่า จำเลยคัดค้านการรังวัดสอบเขต จึงไม่มีเหตุที่จะต้องทำแผนที่พิพาททั้งรายละเอียดในฎีกาโจทก์อ้างสิทธิเกี่ยวกับที่ดิน จึงเป็นข้อพิพาทในสิทธิเรื่องที่ดิน ไม่ตรงกับสภาพข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยในคำฟ้อง การทำแผนที่เพื่อให้ได้รับรองสิทธิของโจทก์ในที่ดิน จึงมิใช่รายละเอียดที่จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณาอันจะสนับสนุนว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3221/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่นำสืบในคดีภาษี, การยกเว้นภาษีสมาคม, และการคืนค่าขึ้นศาล
ตามบัญชีอัตราภาษีเงินได้ (2) (ค) แห่งประมวลรัษฎากรกำหนดให้เรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากรายได้ก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ของสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้ด้วยคงยกเว้นให้เฉพาะเงินค่าบำรุงที่ได้รับจากสมาชิกหรือเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการบริจาค หรือการให้โดยเสน่หาตามมาตรา 65 ทวิ (13) เท่านั้น แม้ตามมาตรา 79 ตรี (8) (ข) จะยกเว้นให้ไม่ต้องนำรายรับจากการบริจาคสินค้าเป็นสาธารณประโยชน์มารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีการค้าก็ตาม แต่ก็ยกเว้นให้เฉพาะการบริจาคแก่องค์การ หรือสถานสาธารณกุศลที่รัฐมนตรีกำหนดเท่านั้นประมวลรัษฎากรมิได้ยกเว้นไม่เก็บภาษีจากสมาคมเสียทีเดียว
แม้โจทก์จะมีฐานะเป็นสมาคม ซึ่ง ป.พ.พ. มาตรา 1274 บัญญัติว่า กิจการของโจทก์มิใช่เป็นการประกอบกิจการค้าหากำไรมาแบ่งปันกันก็ตาม แต่ในเรื่องหน้าที่นำสืบประมวลรัษฎากรมิได้มีข้อสันนิษฐานไว้ให้เป็นคุณแก่โจทก์ กรณีจึงต้องเป็นไปตามหลักทั่วไปของมาตรา 84 แห่ง ป.วิ.พ. เมื่อประเด็นข้อพิพาทที่ว่าโจทก์มีรายได้ซึ่งต้องเสียภาษีหรือได้รับยกเว้นการเสียภาษีหรือไม่นั้น โจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้าง จำเลยให้การปฏิเสธ หน้าที่นำสืบจึงตกอยู่แก่โจทก์
ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528มาตรา 17 การที่จะนำบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาอนุโลมใช้ได้ก็ต่อเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร และข้อกำหนดคดีภาษีอากรตามมาตรา 20 บัญญัติหรือกำหนดไว้โดยเฉพาะเท่านั้น ดังนี้ เมื่อมีข้อกำหนดคดีภาษีอากร ข้อ 8 กำหนดว่า คู่ความจะต้องยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน จึงไม่อาจนำบทบัญญัติมาตรา 88 แห่ง ป.วิ.พ.มาอนุโลมใช้ในกรณีการยื่นบัญชีระบุพยานคดีภาษีอากรได้
โจทก์อุทธรณ์เพียงขอให้เพิกถอนคำสั่งเกี่ยวกับหน้าที่นำสืบ กับขอให้สั่งให้โจทก์มีสิทธินำพยานเข้าสืบตามบัญชีระบุพยานที่ยื่นต่อศาล เป็นอุทธรณ์ที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพียง 200 บาท ตามตาราง 1 ท้ายป.วิ.พ. ข้อ (2) (ก) โจทก์เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นเงินได้ตามตาราง 1 ข้อ (1) (ก) จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกินแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3221/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระการพิสูจน์คดีภาษีอากร และการใช้บทบัญญัติอนุโลมตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากร
ตามบัญชีอัตราภาษีเงินได้ (2)(ค) แห่ง ป.รัษฎากร กำหนดให้เรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากรายได้ก่อนหักรายจ่ายใด ๆของสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้ด้วย คงยกเว้นให้เฉพาะเงินค่าบำรุงที่ได้รับจากสมาชิกหรือเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการบริจาค หรือการให้โดยเสน่หาตามมาตรา 65 ทวิ (13) เท่านั้นแม้ตามมาตรา 79 ตรี (8)(ข) จะยกเว้นให้ไม่ต้องนำรายรับจากการบริจาคสินค้าเป็นสาธารณประโยชน์มารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีการค้าก็ตามแต่ก็ยกเว้นให้เฉพาะการบริจาคแก่องค์การ หรือสถานสาธารณกุศลที่รัฐมนตรีกำหนดเท่านั้น ป.รัษฎากรมิได้ยกเว้นไม่เก็บภาษีจากสมาคมเสียทีเดียว แม้โจทก์มีฐานะเป็นสมาคม ซึ่ง ป.พ.พ. มาตรา 1274 บัญญัติว่ากิจการของโจทก์มิใช่เป็นการประกอบกิจการค้าหากำไรมาแบ่งปันกันก็ตามแต่ในเรื่องหน้าที่นำสืบ ป.รัษฎากรมิได้มีข้อสันนิษฐานไว้ให้เป็นคุณแก่โจทก์ กรณีจึงต้องเป็นไปตามหลักทั่วไปของมาตรา 84 แห่งป.วิ.แพ่. เมื่อประเด็นข้อพิพาทที่ว่าโจทก์มีรายได้ซึ่งต้องเสียภาษีหรือได้รับยกเว้นการเสียภาษีหรือไม่นั้น โจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างจำเลยให้การปฏิเสธ หน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์จึงตกอยู่แก่โจทก์ ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลภาษีอากรฯ มาตรา 17 การที่จะนำ ป.วิ.พ.มาอนุโลมใช้ได้ก็ต่อเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลภาษีอากรฯ และข้อกำหนดตามมาตรา 20 บัญญัติหรือกำหนดไว้โดยเฉพาะเท่านั้น ดังนี้ เมื่อมีข้อกำหนดคดีภาษีอากร ข้อ 8 กำหนดว่าคู่ความจะต้องยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน จึงไม่อาจนำบทบัญญัติมาตรา 88 แห่ง ป.วิ.พ. มาอนุโลมใช้แก่กรณีการยื่นบัญชีระบุพยานคดีภาษีอากรได้.
of 210