พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,100 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2270/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในการสอบสวนหนี้สิน และการพิสูจน์มูลหนี้ในคดีล้มละลาย
แม้เจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้มีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาสืบประกอบคำขอรับชำระหนี้ว่ามีหนี้อยู่จริงตามคำขอก็ตาม แต่ ตาม พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 105 ให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจออกหมายเรียกเจ้าหนี้ ลูกหนี้หรือบุคคลใดมาสอบสวนในเรื่องหนี้สิน จึงเป็นอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ตามกฎหมายเพื่อสอบสวนหาความจริงว่าหนี้รายใดขอรับชำระหนี้ได้ หรือต้องห้ามไม่ให้ขอรับชำระหนี้ตามมาตรา 94 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงชอบที่จะใช้อำนาจนี้สอบสวนค้นคว้าหาความจริงเพื่อประโยชน์ของความเป็นธรรมการที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำการสอบสวนยังไม่สิ้นกระแสความแล้วอาศัยเพียงคำให้การของเจ้าหนี้ที่ตอบ คำถามเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ซึ่งตนยังสงสัยอยู่มาอ้างเป็นข้อพิรุธสงสัยว่าไม่มีมูลหนี้ต่อกันจริงเพื่อยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ จึงเป็นการไม่ชอบ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2227/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระการพิสูจน์ในคดีบุกรุกที่ดิน: โจทก์ต้องพิสูจน์สิทธิในที่ดินตนเองก่อน
โจทก์ฟ้องอ้างว่าที่ดินพิพาทส่วนหนึ่งของโฉนดเลขที่ 8912เป็นของโจทก์ ถูกฝ่ายจำเลยบุกรุกเข้าครอบครอง จำเลยทั้งสองปฏิเสธไม่ยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ทั้งยังต่อสู้ว่าเป็นที่ดินตามโฉนดเลขที่ 8437 อันเป็นที่ดินของฝ่ายจำเลยภาระการพิสูจน์จึงตกแก่โจทก์ที่จะต้องนำสืบพิสูจน์ว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนของที่ดินโจทก์ตามโฉนดเลขที่ 8912 มิใช่ของจำเลยทั้งสองและฝ่ายจำเลยได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงรูปที่ดิน ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 8437 แล้วบุกรุกเข้าครอบครองดังที่กล่าวในฟ้อง ทนายโจทก์คนเดิมแถลงไม่ติดใจสืบพยานและศาลได้สั่งอนุญาตให้งดสืบพยานโจทก์ไว้แล้ว ต่อมาก่อนสืบพยานจำเลยโจทก์แต่งตั้งทนายความคนใหม่และทนายความคนใหม่ของโจทก์ยื่นคำร้องขอสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง แล้วดำเนินการสืบพยานจำเลยต่อไป คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2036/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างเนื่องจากพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริต ไม่ถือเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จ
การที่จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะมีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริตโดยหวังผลประโยชน์อันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง แสดงว่าจำเลยได้ เลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุไม่ไว้วางใจโดยมีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริต มิใช่เลิกจ้างเพราะโจทก์กระทำทุจริตโดยตรง จำเลยจึงไม่ต้องนำสืบพยานถึงการกระทำทุจริตโดยตรงของโจทก์ เมื่อฟังได้ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุไม่ไว้วางใจจึงมิใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
ข้อบังคับของจำเลยกำหนดว่าพนักงานที่ถูก ปลดออกจากงานจะไม่มีสิทธิได้ รับเงินบำเหน็จเพราะมีความผิด เมื่อจำเลยมีคำสั่งปลดโจทก์ออกจากงานเพราะมีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริต ไม่ได้ปลดออกเพราะกระทำผิด โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จ
ข้อบังคับของจำเลยกำหนดว่าพนักงานที่ถูก ปลดออกจากงานจะไม่มีสิทธิได้ รับเงินบำเหน็จเพราะมีความผิด เมื่อจำเลยมีคำสั่งปลดโจทก์ออกจากงานเพราะมีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริต ไม่ได้ปลดออกเพราะกระทำผิด โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2036/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พิจารณาจากเหตุผลที่จำเลยให้การต่อสู้คดี และสิทธิการรับเงินบำเหน็จ
การที่จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะมีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริตโดย หวังผลประโยชน์อันได้ชื่อ ว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง แสดงว่าจำเลยได้ เลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุไม่ไว้วางใจโดย มีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริต มิใช่เลิกจ้างเพราะโจทก์กระทำทุจริตโดยตรง จำเลยจึงไม่ต้องนำสืบพยานถึง การกระทำทุจริตโดยตรงของโจทก์ เมื่อฟังได้ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุไม่ไว้วางใจจึงมิใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ข้อบังคับของจำเลยกำหนดว่าพนักงานที่ถูก ปลดออกจากงานจะไม่มีสิทธิได้ รับเงินบำเหน็จเพราะมีความผิด เมื่อจำเลยมีคำสั่งปลดโจทก์ออกจากงานเพราะมีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่สุจริต ไม่ได้ปลดออกเพราะกระทำผิด โจทก์จึงมีสิทธิได้ รับเงินบำเหน็จ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1958/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดิน: โจทก์มีชื่อในโฉนดย่อมมีสิทธิครอบครอง จำเลยต้องพิสูจน์การครอบครองปรปักษ์
โจทก์มีชื่อ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนด ที่ดิน พิพาท ซึ่งป.พ.พ. มาตรา 1373 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าว จำเลยจึงมีภาระการพิสูจน์ว่าจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองที่ดินพิพาทด้วย เจตนาเป็นเจ้าของติดต่อ กันเป็นเวลา 10 ปี แม้จำเลยจะมีคำสั่งของศาลชั้นต้นถึงที่สุดแสดงว่าจำเลยได้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดย การครอบครองปรปักษ์ก็ตาม แต่ เมื่อโจทก์ซึ่ง เป็นบุคคลภายนอกคดีสามารถพิสูจน์ได้ ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ คำสั่งของศาลชั้นต้นย่อมไม่ผูกพันโจทก์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 145 วรรคสอง(2).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1811/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีล้มละลาย: จำเลยเป็นหนี้สินล้นพ้นตัวและมีเหตุให้ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ได้
จำเลยให้การว่าไม่เคยกู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์ไม่เคยทำหนังสือรับสภาพหนี้และสัญญาประนีประนอมยอมความให้ไว้กับโจทก์ ลายมือชื่อในสัญญารับสภาพหนี้และสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลย เมื่อทางนำสืบของจำเลยต่าง กับคำให้การจึงรับฟังเป็นความจริงไม่ได้ แต่ ทางนำสืบของจำเลยดังกล่าวเจือสมกับคำพยานโจทก์ ฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์และเป็นหนี้กำหนดจำนวนได้ แน่นอนและถึง กำหนดชำระแล้ว จำเลยมีเงินเดือนเดือน ละ 5,000 บาท ไม่มีทรัพย์อื่นใด อีก ดังนี้ จำเลยเป็นบุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวและไม่มีเหตุอื่นที่แสดงว่าไม่สมควรให้จำเลยล้มละลาย ศาลย่อมมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1186/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงท้าสาบานเป็นเงื่อนไขชี้ขาดคดีได้ แม้ผู้สาบานมีชื่อซ้ำซ้อน หากคู่ความไม่โต้แย้ง
การที่โจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงท้ากันให้ ก. กับ พ.ซึ่งเป็นบุคคลที่จำเลยอ้างว่าได้รับชำระหนี้จากจำเลยแทนโจทก์สาบานตนตามที่จำเลยทั้งสองเป็นผู้กล่าวนำสาบาน ถ้า ก. กับ พ.สาบานว่ายังไม่ได้รับชำระหนี้จากจำเลยไปครบถ้วนแล้ว จำเลยทั้งสองยอมแพ้คดี ถ้าไม่กล้าสาบานโจทก์ยอมแพ้คดีนั้น แม้ ก. กับ พ.จะมิใช่โจทก์หรือผู้มีส่วนได้เสียก็ตาม แต่เป็นบุคคลที่จำเลยอ้างว่าเป็นผู้รับชำระหนี้จากจำเลย การสาบานตนของบุคคลทั้งสองก็เป็นเงื่อนไขที่คู่กรณีกำหนดขึ้นเพื่อให้ศาลวินิจฉัยเป็นข้อแพ้ชนะในคดี ทั้งคำท้าสาบานก็ตรงกับประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีที่ศาลกำหนดไว้แล้ว ข้อตกลงท้ากันดังกล่าวจึงมีผลบังคับระหว่างคู่ความ โจทก์และจำเลยทั้งสองรู้จัก ก. และ พ. ผู้สาบานซึ่งเป็นสามีภรรยากันมาก่อน ในวันนัดสาบานตัว ฝ่ายจำเลยได้นำสาบานโดยมิได้โต้แย้งคัดค้านเรื่องตัวผู้สาบาน ผู้สาบานได้สาบานตามคำท้าแล้ว โจทก์จำเลยทั้งสอง และผู้สาบานลงชื่อในรายงานกระบวนพิจารณาของศาล โดยผู้สาบานลงชื่อว่า จ. และ พ. ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน แสดงว่า ก. ซึ่งคู่ความตกลงให้เป็นผู้สาบานกับ จ.ผู้สาบานและลงชื่อไว้นั้นเป็นบุคคลคนเดียวกัน แต่มี 2 ชื่อภายหลังฝ่ายจำเลยจะอ้างว่า จ. กับ ก. เป็นคนละคนกัน ไม่มีสิทธิสาบาน คำสาบานของ จ.ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1186/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงการสาบานเพื่อตัดสินคดี: ผลผูกพันระหว่างคู่ความ แม้ผู้สาบานไม่ใช่โจทก์
โจทก์จำเลยตกลง ท้ากันว่า ถ้า ก. กับ พ. สาบานตัว ตาม ที่จำเลยทั้งสองเป็นผู้กล่าวนำสาบานตาม คำท้าได้ จำเลยทั้งสองยอมแพ้ ถ้า ไม่กล้าสาบานโจทก์ยอมแพ้การสาบานของคนทั้งสองจึงเป็นเงื่อนไขที่คู่กรณีกำหนดขึ้นเพื่อให้ศาลวินิจฉัยข้อแพ้ชนะในคดี แม้ ก. และ พ. จะมิใช่โจทก์ แต่ เป็นบุคคลที่จำเลยอ้างว่าเป็นผู้รับชำระหนี้จากจำเลย ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีผลบังคับระหว่างคู่ความ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 629/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เครื่องหมายการค้าไม่เหมือนหรือคล้ายกันจนทำให้สาธารณชนหลงผิด ไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิ
เครื่องหมายการค้าของโจทก์แบบหนึ่งเป็นตัวอักษรโรมันอ่านว่าสแตนเล่ย์อีกแบบหนึ่งเป็นตัวอักษรโรมันอยู่บน ตัวอักษรไทยอยู่ด้านล่าง ทั้งตัวอักษรโรมันและตัวอักษรไทย อ่านว่า สแตนเล่ย์ ทั้งสองแบบอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้า รูปคล้ายใบมีดโกน ตัวอักษรสีโปร่งแต่กรอบสีทึบ ส่วนเครื่องหมายการค้าของจำเลยเป็นอักษรโรมันอ่านว่า แสตนอัพ อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมรูปร่างคล้ายไม้นวดแป้งตัวอักษรสีทึบ ส่วนกรอบสี่เหลี่ยมสีโปร่ง เครื่องหมายการค้าของโจทก์นั้นตัวอักษรอยู่ติดกันทั้งหมด ส่วนตัวอักษรเครื่องหมายการค้าของจำเลยแยกกันเป็นสองส่วนคือคำว่าแสตนกับคำว่าอัพ อยู่ห่างกัน ดังนี้เครื่องหมายการค้าของโจทก์และจำเลยมีลักษณะแตกต่างกันทั้งตัวอักษรสี และกรอบ ไม่เหมือนหรือคล้ายเครื่องหมายการค้าของโจทก์จนถึงนับได้ว่าเป็นการลวงสาธารณชนให้หลงผิดได้ การกำหนดประเด็นว่า เครื่องหมายการค้าที่จำเลยยื่นคำขอจดทะเบียนเหมือน หรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ ทำให้สาธารณชนหลงผิด หรือไม่นั้น มีความหมายอย่างเดียวกับการกำหนดประเด็นว่า จำเลยร่วมกันกระทำละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าของโจทก์หรือไม่ เมื่อหลักฐานตามคำฟ้องคำให้การ และเอกสารท้ายฟ้องเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้แล้วศาลก็ชอบที่จะสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4428/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย แม้มีพยานเบิกความก็พิสูจน์ไม่ได้
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องพิสูจน์ว่าจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันตามฟ้อง แม้จำเลยที่ 1 เบิกความว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน โจทก์ยังคงมีหน้าที่ต้องพิสูจน์เช่นเดิม เมื่อสัญญาค้ำประกันปิดอากรแสตมป์ไม่ครบบริบูรณ์ เป็นเอกสารต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 มีผลเท่ากับไม่มีสัญญาค้ำประกันเป็นหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ โจทก์จึงฟ้องให้บังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680 วรรคสอง