พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,100 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3980/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งสินสมรสหลังสมรสก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งฯ ศาลฎีกาพิพากษากลับให้แบ่งสินสมรสเป็นธรรม
ในคดีฟ้องขอให้แยกสินสมรสตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย เมื่อคำฟ้องโจทก์บรรยายไว้พอเข้าใจได้ว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างก็มีสินเดิม ดังนี้หากจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีสินเดิมประเด็นข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ในข้อมีสินเดิมหรือไม่จึงไม่เกิดขึ้น จำเลยไม่มีสิทธินำพยานมาสืบได้ แม้ศาลชั้นต้นให้จำเลยสืบก็เป็นการสืบนอกประเด็น และหากศาลรับวินิจฉัยก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยนอกประเด็นและยังมีประเด็นข้ออื่นที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยต่อไป แต่ศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยมาและข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์จำเลยเพียงพอแก่การวินิจฉัยแล้ว ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยไปเลยทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองพิพากษาใหม่ โจทก์จำเลยที่ 1 สมรสกันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5(เดิม) ความสัมพันธ์ในครอบครัวอันเกิดแต่การสมรส กฎหมายลักษณะผัวเมียไม่ได้บัญญัติไว้ว่าให้มีการแยกสินสมรสโดยไม่ได้ฟ้องหย่า แต่ก็ไม่มีบังคับไว้ว่าถ้ายังไม่หย่าจะต้องบริคณห์ทรัพย์สินกันเสมอไปจะแยกมิได้ ฉะนั้นการที่จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1475 และ 1484 มาใช้แก่คู่สมรสซึ่งสมรสกันก่อนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5(เดิม)จึงไม่เป็นการกระทบกระเทือนถึงการสมรสหรือความสัมพันธ์ในครอบครัวตามความหมายที่พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2477 มาตรา 4(1) และพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 มาตรา 4ได้ยกเว้นนั้นแต่อย่างใด จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 โดยเสน่หาโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอแบ่งสินสมรสดังกล่าวได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3674/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานหลักฐานในคดีอาญา โจทก์ต้องนำสืบข้อเท็จจริงการกระทำผิดด้วยตนเอง การรับคำให้การของผู้ต้องหาไม่ถือเป็นการนำสืบ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนไว้ในความครอบครอง และพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้จะได้ความจากคำเบิกความของจำเลยตอบคำถามค้านของโจทก์ว่าจำเลยไม่เคยได้รับอนุญาตจากทางราชการให้มีและพกพาอาวุธปืน ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์นำสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวเพราะในการพิจารณาคดีอาญาโจทก์มีหน้าที่นำสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดทั้งโจทก์ก็ไม่ได้อาวุธปืนที่จำเลยใช้ขู่ชิงทรัพย์เป็นของกลาง และไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่พิสูจน์ให้เห็นว่าอาวุธปืนดังกล่าวไม่มีหมายเลขทะเบียน จึงลงโทษจำเลยในความผิดทั้งสองฐานนี้ไม่ได้ ส่วนคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานขับรถจักรยานยนต์โดยไม่มีใบอนุญาตขับรถ ซึ่งข้อเท็จจริงได้จากคำเบิกความของจำเลยตอบคำถามค้านของโจทก์ว่า จำเลยไม่เคยได้รับใบอนุญาตให้ขับขี่รถจักรยานยนต์ถือไม่ได้ว่าโจทก์นำสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้น ลงโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้เช่นกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3230/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดี: ศาลรู้ได้เองวันหยุดราชการ ไม่ต้องนำสืบ
ข้อเท็จจริงที่ว่า วันใดเป็นวันหยุดราชการหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไป และศาลรู้ได้เองโดยคู่ความไม่ต้องนำสืบ เมื่อวันครบกำหนดอายุความเป็นวันอาทิตย์โจทก์ฟ้องในวันรุ่งขึ้น อันเป็นวันแรกที่เปิดทำการได้ แม้โจทก์จะมิได้นำสืบว่าวันดังกล่าวเป็นวันอาทิตย์ คดีโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3230/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความ: วันหยุดราชการเป็นที่รู้กันทั่วไป ศาลรู้ได้เองไม่ต้องนำสืบ
ข้อเท็จจริงที่ว่า วันใดเป็นวันหยุดราชการหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไป และศาลรู้ได้เองโดยคู่ความไม่ต้องนำสืบ เมื่อวันครบกำหนดอายุความเป็นวันอาทิตย์โจทก์ฟ้องในวันรุ่งขึ้น อันเป็นวันแรกที่เปิดทำการได้ แม้โจทก์จะมิได้นำสืบว่าวันดังกล่าวเป็นวันอาทิตย์ คดีโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3145/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรังวัดสอบเขตที่ดินตามคำท้าของคู่ความต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ หากมิได้ทำตาม จะนำแผนที่พิพาทมาวินิจฉัยคดีไม่ได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยปลูกสร้างบ้านและรั้วบนที่ดินสาธารณะปิดหน้าที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การว่า บ้านและรั้วตั้งอยู่บนที่ดินที่ติดกับที่ดินของจำเลย มิได้อยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลย คู่ความท้ากัน ให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลย หากได้ความว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลยและไม่ใช่ที่สาธารณะโจทก์ยอมแพ้คดี หากที่พิพาทอยู่นอกเขตโฉนดที่ดินของจำเลยและเป็นที่สาธารณะ จำเลยยอมแพ้คดี ปรากฏว่าเจ้าพนักงานที่ดินมิได้รังวัดสอบเขตตามคำท้า แต่กลับรังวัดทำแผนที่พิพาทไปตามเขตที่ครอบครองซึ่งโจทก์จำเลยนำชี้ โดยจำเลยนำชี้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของตนซึ่งนอกคำให้การดังกล่าวข้างต้น แผนที่พิพาทจึงมิได้เกิดจากการที่เจ้าพนักงานที่ดินสอบเขตที่ดินตามคำท้า ฉะนั้น แนวเขตเส้นสีแดงในแผนที่พิพาทจึงถือไม่ได้ว่าเป็นแนวเขตที่ดินตามโฉนดของจำเลย ทั้งตามหนังสือนำส่งแผนที่พิพาทของ เจ้าพนักงานที่ดินก็มีข้อความว่า ไม่สามารถระบุได้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินสาธารณประโยชน์หรือไม่เนื่องจากผู้แทนประธานสุขาภิบาลไม่สามารถชี้เขตที่ดินสาธารณะที่แน่นอนได้ แสดงว่าไม่สามารถปฏิบัติตามคำท้าที่ว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะหรือไม่ จึงไม่อาจนำแผนที่พิพาทมาใช้เป็นหลักฐานในการวินิจฉัยตามคำท้าได้ จะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3145/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรังวัดสอบเขตที่ดินที่ถูกต้องตามคำท้าของคู่ความ มีผลผูกพันในการวินิจฉัยคดี หากมิได้ทำตามคำท้า จะนำแผนที่พิพาทมาใช้ไม่ได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยปลูกสร้างบ้านและรั้วบนที่ดินสาธารณะปิดหน้าที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การว่า บ้านและรั้วตั้งอยู่บนที่ดินที่ติดกับที่ดินของจำเลย มิได้อยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลย คู่ความท้ากัน ให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลย หากได้ความว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลยและไม่ใช่ที่สาธารณะโจทก์ยอมแพ้คดี หากที่พิพาทอยู่นอกเขตโฉนดที่ดินของจำเลยและเป็นที่สาธารณะ จำเลยยอมแพ้คดี ปรากฏว่าเจ้าพนักงานที่ดินมิได้รังวัดสอบเขตตามคำท้า แต่กลับรังวัดทำแผนที่พิพาทไปตามเขตที่ครอบครองซึ่งโจทก์จำเลยนำชี้ โดยจำเลยนำชี้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของตนซึ่งนอกคำให้การดังกล่าวข้างต้น แผนที่พิพาทจึงมิได้เกิดจากการที่เจ้าพนักงานที่ดินสอบเขตที่ดินตามคำท้า ฉะนั้น แนวเขตเส้นสีแดงในแผนที่พิพาทจึงถือไม่ได้ว่าเป็นแนวเขตที่ดินตามโฉนดของจำเลย ทั้งตามหนังสือนำส่งแผนที่พิพาทของ เจ้าพนักงานที่ดินก็มีข้อความว่า ไม่สามารถระบุได้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินสาธารณประโยชน์หรือไม่เนื่องจากผู้แทนประธานสุขาภิบาลไม่สามารถชี้เขตที่ดินสาธารณะที่แน่นอนได้ แสดงว่าไม่สามารถปฏิบัติตามคำท้าที่ว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะหรือไม่ จึงไม่อาจนำแผนที่พิพาทมาใช้เป็นหลักฐานในการวินิจฉัยตามคำท้าได้ จะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3145/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรังวัดสอบเขตที่ดินตามคำท้าที่ไม่ถูกต้อง ทำให้แผนที่พิพาทใช้เป็นหลักฐานไม่ได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลูกสร้างบ้านและรั้วบนที่ดินสาธารณะปิดหน้าที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การว่า บ้านและรั้วตั้งอยู่บนที่ดินที่ติดกับที่ดินของจำเลย ซึ่งแสดงว่ามิได้อยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลย คู่ความท้ากันให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลย หากได้ความว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลยและไม่ใช่ที่สาธารณะ โจทก์ยอมแพ้คดี หากที่พิพาทอยู่นอกเขตโฉนดที่ดินของจำเลยเป็นที่สาธารณะ จำเลยยอมแพ้คดี ปรากฏว่าเจ้าพนักงานที่ดินมิได้รังวัดสอบเขตตามคำท้า แต่กลับรังวัดทำแผนที่พิพาทไปตามเขตที่ครอบครองที่โจทก์จำเลยนำชี้ โดยจำเลยได้นำชี้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของตนซึ่งเป็นการนอกคำให้การ แผนที่พิพาทจึงมิได้เกิดจากการที่เจ้าพนักงานที่ดินสอบเขตที่ดินตามคำท้า ฉะนั้น แนวเขตเส้นสีแดงในแผนที่พิพาทจึงถือไม่ได้ว่าเป็นแนวเขตที่ดินตามโฉนดของจำเลยทั้งตามหนังสือนำส่งแผนที่พิพาทของเจ้าพนักงานที่ดินก็มีข้อความว่าไม่สามารถระบุได้ว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินสาธารณประโยชน์หรือไม่เนื่องจากผู้แทนประธานสุขาภิบาลไม่สามารถชี้เขตที่ดินสาธารณะที่แน่นอนได้ แสดงว่าไม่สามารถปฏิบัติตามคำท้าที่ว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะหรือไม่ จึงไม่อาจนำแผนที่พิพาทมาเป็นหลักฐานในการวินิจฉัยตามคำท้าได้ จะต้องดำเนินกระบวนการพิจารณาต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3003/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันจากการท้าสาบาน - การไม่ปฏิบัติตามถือว่ายอมแพ้คดี
ใบแต่งทนายความของจำเลยระบุให้ทนายความมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใดไปในทางจำหน่ายสิทธิของจำเลยได้ เช่น การยอมรับตามที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้อง การประนีประนอมยอมความ ฯลฯในวันชี้สองสถาน ทนายโจทก์และทนายจำเลยตกลงท้ากันว่า หากโจทก์และผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินร่วมกับโจทก์ไปสาบานที่ วัดพระแก้วกับ วัดบ้านแหลม โดยจำเลยจะเป็นผู้นำสาบานว่าโจทก์กับพวกไม่ได้เคลื่อนย้ายหลักเขตที่ดินมุม ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ แล้วจำเลยไม่ติดใจถือว่ายอมแพ้ ก่อนถึงวันนัดสาบานตามคำท้า ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอถอนตัวจากการเป็นทนายจำเลยโดยอ้างว่าความคิดเห็นไม่ตรงกัน เนื่องจากได้แจ้งเรื่องคำท้าให้จำเลยทราบแล้วจำเลยไม่ยอมรับ คำท้า แต่จะให้มีการสืบพยานต่อไป ในคำร้องดังกล่าวจำเลยได้ลงชื่อรับทราบข้อความและไม่คัดค้านไว้ ทั้งในวันนัดสาบานตามคำท้าทนายจำเลยก็แถลงยืนยันตามข้อความในคำร้องดังกล่าวจึงต้องฟังว่าจำเลยได้ทราบวันนัดสาบานตามคำท้าแล้ว แม้ในวันที่คู่ความแถลงท้ากันจำเลยไม่ได้ไปศาลก็ตาม เมื่อคำท้ามีผลผูกพันจำเลย จำเลยสามารถปฏิบัติตามคำท้านั้นได้โดยไปเป็นผู้นำสาบานตามคำท้า แต่จำเลยไม่ไป ถือได้ว่าจำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามคำท้าจึงต้องตกเป็นฝ่ายแพ้คดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3003/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำท้าในศาล: จำเลยทราบวันนัดแต่ไม่ปฏิบัติตามถือเป็นฝ่ายแพ้คดี
ใบแต่งทนายความของจำเลยระบุให้ทนายความมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใดไปในทางจำหน่ายสิทธิของจำเลยได้ เช่น การยอมรับตามที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้อง การประนีประนอมยอมความ ฯลฯ ในวันชี้สองสถาน ทนายโจทก์และทนายจำเลยตกลงท้ากันว่า หากโจทก์และผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินร่วมกับโจทก์ไปสาบานที่วัดพระแก้วกับวัดบ้านแหลม โดยจำเลยจะเป็นผู้นำสาบานว่าโจทก์กับพวกไม่ได้เคลื่อนย้ายหลักเขตที่ดินมุมด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ แล้วจำเลยไม่ติดใจถือว่ายอมแพ้ ก่อนถึงวันนัดสาบานตามคำท้า ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอถอนตัวจากการเป็นทนายจำเลยโดยอ้างว่าความคิดเห็นไม่ตรงกัน เนื่องจากได้แจ้งเรื่องคำท้าให้จำเลยทราบแล้วจำเลยไม่ยอมรับคำท้า แต่จะให้มีการสืบพยานต่อไป ในคำร้องดังกล่าวจำเลยได้ลงชื่อรับทราบข้อความและไม่คัดค้านไว้ ทั้งในวันนัดสาบานตามคำท้าทนายจำเลยก็แถลงยืนยันตามข้อความในคำร้องดังกล่าว จึงต้องฟังว่าจำเลยได้ทราบวันนัดสาบานตามคำท้าแล้ว แม้ในวันที่คู่ความแถลงท้ากันจำเลยไม่ได้ไปศาลก็ตาม เมื่อคำท้ามีผลผูกพันจำเลย จำเลยสามารถปฏิบัติตามคำท้านั้นได้โดยไปเป็นผู้นำสาบานตามคำท้า แต่จำเลยไม่ไป ถือได้ว่าจำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามคำท้าจึงต้องตกเป็นฝ่ายแพ้คดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3003/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำท้าสาบานผูกพันจำเลย หากไม่ปฏิบัติตาม ถือเป็นฝ่ายแพ้คดี แม้จำเลยจะแจ้งทนายว่าไม่ยอมรับ
ใบแต่งทนายความของจำเลยระบุให้ทนายความมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใดไปในทางจำหน่ายสิทธิของจำเลยได้ เช่น การยอมรับตามที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้อง การประนีประนอมยอมความ ฯลฯในวันชี้สองสถาน ทนายโจทก์และทนายจำเลยตกลงท้ากันว่า หากโจทก์และผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินร่วมกับโจทก์ไปสาบานที่ วัดพระแก้วกับ วัดบ้านแหลม โดยจำเลยจะเป็นผู้นำสาบานว่าโจทก์กับพวกไม่ได้เคลื่อนย้ายหลักเขตที่ดินมุม ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ แล้วจำเลยไม่ติดใจถือว่ายอมแพ้ ก่อนถึงวันนัดสาบานตามคำท้า ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอถอนตัวจากการเป็นทนายจำเลยโดยอ้างว่าความคิดเห็นไม่ตรงกัน เนื่องจากได้แจ้งเรื่องคำท้าให้จำเลยทราบแล้วจำเลยไม่ยอมรับ คำท้า แต่จะให้มีการสืบพยานต่อไป ในคำร้องดังกล่าวจำเลยได้ลงชื่อรับทราบข้อความและไม่คัดค้านไว้ ทั้งในวันนัดสาบานตามคำท้าทนายจำเลยก็แถลงยืนยันตามข้อความในคำร้องดังกล่าวจึงต้องฟังว่าจำเลยได้ทราบวันนัดสาบานตามคำท้าแล้ว แม้ในวันที่คู่ความแถลงท้ากันจำเลยไม่ได้ไปศาลก็ตาม เมื่อคำท้ามีผลผูกพันจำเลย จำเลยสามารถปฏิบัติตามคำท้านั้นได้โดยไปเป็นผู้นำสาบานตามคำท้า แต่จำเลยไม่ไป ถือได้ว่าจำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามคำท้าจึงต้องตกเป็นฝ่ายแพ้คดี.