คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 84

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,100 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับข่มขืนใจให้ผู้เยาว์ดมทินเนอร์ และการทำร้ายร่างกาย ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309
จำเลยที่ 3 ตบตีบังคับให้ผู้เยาว์ดมทินเนอร์ แต่โจทก์มิได้นำสืบว่าเมื่อผู้เยาว์ดมทินเนอร์แล้วจะเกิดผลอะไรที่เป็นเหตุไม่ให้ผู้เยาว์หลบหนีไปตามเจตนาของจำเลย และกรณีไม่ใช่เป็นเรื่องที่ศาลรู้เอง จึงลงโทษจำเลยที่ 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 ไม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 3 กับพวก ร่วมกันทำร้ายผู้เยาว์โดยเตะและตบศีรษะ บังคับให้ผู้เยาว์ดมทินเนอร์อันเป็นการบ่อนทำลายสุขภาพ การกระทำตามคำฟ้องเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายข่มขืนใจให้ผู้เยาว์ต้องจำยอมตามนั้นคำฟ้องโจทก์จึงครบองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรกแม้โจทก์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 310 ศาลก็ลงโทษตามมาตรา 309 วรรคแรก อันเป็นบทมาตราที่ถูกต้องได้ และการกระทำดังกล่าวเป็นกรรมเดียวกับความผิดตามมาตรา 391.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับให้ผู้เยาว์ดมทินเนอร์และการทำร้ายร่างกาย ถือเป็นความผิดฐานข่มขืนใจและทำร้ายร่างกาย
จำเลยที่ 3 ตบตีบังคับให้ผู้เยาว์ดมทินเนอร์ แต่โจทก์มิได้นำสืบว่าเมื่อผู้เยาว์ดมทินเนอร์แล้วจะเกิดผลอะไรที่เป็นเหตุไม่ให้ผู้เยาว์หลบหนีไปตามเจตนาของจำเลย และกรณีไม่ใช่เป็นเรื่องที่ศาลรู้เอง จึงลงโทษจำเลยที่ 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 ไม่ได้ โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 3 กับพวกร่วมกันทำร้ายผู้เยาว์โดยเตะและตบศีรษะ บังคับให้ผู้เยาว์ดมทินเนอร์อันเป็นการบ่อนทำลายสุขภาพ การกระทำตามคำฟ้องเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายข่มขืนใจให้ผู้เยาว์ต้องจำยอมตามนั้น คำฟ้องโจทก์จึงครบองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรกแม้โจทก์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 310 ศาลก็ลงโทษตามมาตรา 309 วรรคแรก อันเป็นบทมาตราที่ถูกต้องได้ และการกระทำดังกล่าวเป็นกรรมเดียวกับความผิดตามมาตรา 391

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้กำลังข่มขืนใจบังคับให้ผู้เยาว์ดมทินเนอร์ และความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง ศาลพิจารณาองค์ประกอบความผิด
จำเลยที่ 3 ตบตีบังคับให้ผู้เยาว์ดมทินเนอร์ แต่โจทก์มิได้นำสืบว่าเมื่อผู้เยาว์ดมทินเนอร์แล้วจะเกิดผลอะไรที่เป็นเหตุไม่ให้ผู้เยาว์หลบหนีไปตามเจตนาของจำเลย และกรณีไม่ใช่เป็นเรื่องที่ศาลรู้เอง จึงลงโทษจำเลยที่ 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 ไม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 3 กับพวก ร่วมกันทำร้ายผู้เยาว์โดยเตะและตบศีรษะ บังคับให้ผู้เยาว์ดมทินเนอร์อันเป็นการบ่อนทำลายสุขภาพ การกระทำตามคำฟ้องเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายข่มขืนใจให้ผู้เยาว์ต้องจำยอมตามนั้นคำฟ้องโจทก์จึงครบองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรกแม้โจทก์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 310 ศาลก็ลงโทษตามมาตรา 309 วรรคแรก อันเป็นบทมาตราที่ถูกต้องได้ และการกระทำดังกล่าวเป็นกรรมเดียวกับความผิดตามมาตรา 391

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4775/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยคดีซ้ำซ้อนและการไต่สวนมูลฟ้อง: ศาลอุทธรณ์ยกอุทธรณ์กรณีคดีมีข้อเท็จจริงซ้ำกับคดีก่อน
โจทก์อ้างส่งสำเนาคำพิพากษาฎีกาในคดีก่อนต่อศาลและยังแถลงรับอีกว่าคำพิพากษาดังกล่าวนั้นถูกต้อง การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยถึงเรื่องที่โจทก์เคยฟ้องจำเลยมาแล้วจึงมิใช่ข้อเท็จจริงนอกสำนวน ทั้งการที่ศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริงซึ่งโจทก์แถลงรับดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการไต่สวนมูลฟ้องแล้ว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีนี้และคดีก่อนมีข้อเท็จจริงเดียวกันสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4) พิพากษายกฟ้อง เมื่ออุทธรณ์ของโจทก์มิได้อ้างอิงว่าฟ้องโจทก์คดีนี้กับคดีก่อนเป็นคนละประเด็นกันอย่างไรบ้าง จึงเป็นอุทธรณ์ที่มิได้กล่าวโดยชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะยกอุทธรณ์ของโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4775/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีซ้ำซ้อน: การวินิจฉัยคดีโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่โจทก์แถลงรับและคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อน ไม่ถือเป็นข้อเท็จจริงนอกสำนวน
โจทก์อ้างส่งสำเนาคำพิพากษาฎีกาในคดีก่อนต่อศาลและยังแถลงรับอีกว่าคำพิพากษาดังกล่าวนั้นถูกต้อง การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยถึงเรื่องที่โจทก์เคยฟ้องจำเลยมาแล้วจึงมิใช่ข้อเท็จจริงนอกสำนวน ทั้งการที่ศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริงซึ่งโจทก์แถลงรับดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการไต่สวนมูลฟ้องแล้ว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีนี้และคดีก่อนมีข้อเท็จจริงเดียวกันสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4) พิพากษายกฟ้อง เมื่ออุทธรณ์ของโจทก์มิได้อ้างอิงว่าฟ้องโจทก์คดีนี้กับคดีก่อนเป็นคนละประเด็นกันอย่างไรบ้าง จึงเป็นอุทธรณ์ที่มิได้กล่าวโดยชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะยกอุทธรณ์ของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4379/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประกันภัยโมฆียะจากข้อมูลเท็จ & หน้าที่การบอกล้างสัญญา
ผู้เอาประกันชีวิตรู้อยู่แล้วตั้งแต่ก่อนเข้าทำสัญญาประกันชีวิตว่าตนป่วยเป็นโรคลมชัก แต่แถลงข้อความเป็นเท็จว่าตนมีสุขภาพดี ซึ่งหากผู้รับประกันภัยทราบความจริง จะไม่รับประกันชีวิตไว้ เช่นนี้ สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะ
จำเลยผู้รับประกันชีวิตให้การต่อสู้ว่าจำเลยได้บอกล้างสัญญาประกันชีวิตที่ตกเป็นโมฆียะแล้ว จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องนำสืบให้ได้ความว่า จำเลยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ตั้งแต่เมื่อใดและนำสืบด้วยว่าได้บอกล้างสัญญาดังกล่าวภายใน 1 เดือนนับแต่วันทราบมูลอันจะบอกล้างแล้ว การที่จำเลยนำสืบแต่เพียงว่าจำเลยได้มีหนังสือแจ้งการบอกล้างสัญญาดังกล่าวไปยังผู้รับประโยชน์เท่านั้น ยังไม่อาจถือได้ว่าจำเลยได้นำสืบครบถ้วนตามหน้าที่นำสืบ จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตนั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4379/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประกันชีวิตโมฆียะจากข้อมูลเท็จ การบอกล้างสัญญาต้องภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่ทราบมูล
ผู้เอาประกันชีวิตรู้อยู่แล้วตั้งแต่เข้าทำสัญญาประกันชีวิตว่าตน ป่วยเป็นโรคลมชัก แต่แถลงข้อความเป็นเท็จว่าตน มีสุขภาพดีซึ่งหากผู้รับประกันภัยทราบความจริงจะไม่รับประกันชีวิตไว้ เช่นนี้สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะ จำเลยผู้รับประกันชีวิต ให้การต่อสู้ว่า จำเลยได้บอกล้างสัญญาประกันชีวิตที่ตก เป็นโมฆียะแล้ว จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องนำสืบให้ได้ความว่าจำเลยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ตั้งแต่เมื่อใดและได้บอกล้างสัญญาดังกล่าวภายใน 1 เดือนนับแต่วันทราบมูลอันจะบอกล้างแล้ว การที่จำเลยนำสืบแต่เพียงว่าจำเลยได้มีหนังสือแจ้งการบอกล้างไปยังผู้รับประโยชน์เท่านั้นยังไม่อาจถือได้ว่าจำเลยได้นำสืบถึงการบอกล้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 865 วรรค 2.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4358/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระการพิสูจน์หนี้, หลักฐานทางบัญชี, การยื่นเอกสารเพิ่มเติมหลังอุทธรณ์, ศาลไม่รับฟัง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันและทายาทผู้รับมรดกของ ส.ชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีแทนส.จำเลยให้การว่าผู้ตายเป็นหนี้โจทก์หรือไม่ จำเลยไม่ทราบผู้ตายไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง ดังนี้เป็นคำให้การที่ปฏิเสธฟ้องของโจทก์ โจทก์มีภาระที่จะต้องพิสูจน์ให้ฟังได้ว่า ส. เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง แต่เอกสารที่โจทก์อ้างประกอบคำเบิกความพยานโจทก์ซึ่งเป็นหลักฐานแห่งหนี้ปรากฏยอดเงินเป็นศูนย์โดยที่โจทก์มิได้อธิบายถึงความเป็นมาแห่งจำนวน หนี้ โจทก์จะให้ศาลฟังว่ายังมีหนี้ตามบัญชีนี้อยู่อีกย่อม ไม่ได้ จึงต้องฟังว่า ส. มิได้เป็นหนี้โจทก์
บัญชีพาสท์ดิวที่โจทก์ยื่นมาท้ายอุทธรณ์เพื่อแสดงว่ามีการโอนหนี้มายังบัญชีพาสท์ดิวนั้น เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) และไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาไม่รับฟัง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4358/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระการพิสูจน์หนี้, หลักฐานทางบัญชี, การยื่นเอกสารเพิ่มเติมหลังอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันและทายาทผู้รับมรดกของ ส. ชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีแทน ส.จำเลยให้การว่าผู้ตายเป็นหนี้โจทก์หรือไม่ จำเลยไม่ทราบ ผู้ตายไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง ดังนี้เป็นคำให้การที่ปฏิเสธฟ้องของโจทก์ โจทก์มีภาระที่จะต้องพิสูจน์ให้ฟังได้ว่า ส. เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง แต่เอกสารที่โจทก์อ้างประกอบคำเบิกความพยานโจทก์ซึ่งเป็นหลักฐานแห่งหนี้ปรากฏยอดเงินเป็นศูนย์โดยที่โจทก์มิได้อธิบายถึงความเป็นมาแห่งจำนวนหนี้ โจทก์จะให้ศาลฟังว่ายังมีหนี้ตามบัญชีนี้อยู่อีกย่อมไม่ได้จึงต้องฟังว่า ส. มิได้เป็นหนี้โจทก์
บัญชีพาสท์ดิวที่โจทก์ยื่นมาท้ายอุทธรณ์เพื่อแสดงว่ามีการโอนหนี้มายังบัญชีพาสท์ดิวนั้น เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 (2)และไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาไม่รับฟัง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4273/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานเอกสารที่มิได้ส่งสำเนาให้คู่ความ และการส่งเอกสารเพิ่มเติมก่อนวันสืบพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและบันทึกต่ออายุสัญญานั้นตามเอกสารท้ายฟ้องไว้กับโจทก์เมื่อคำให้การของจำเลยไม่มีข้อความใดปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้ทำสัญญาหรือบันทึกต่ออายุสัญญาดังกล่าว จึงฟังได้ว่าจำเลยได้ทำสัญญาและบันทึกต่ออายุสัญญาตามเอกสารท้ายฟ้องดังกล่าว กรณีจึงไม่ต้องอาศัยพยานเอกสารทั้ง 2 ฉบับที่โจทก์มิได้ปิดอากรแสตมป์ตามกฎหมายมาประกอบการพิจารณาอีก
ศาลย่อมมีดุลพินิจที่จะรับฟังเอกสารที่คู่ความส่งเป็นพยานโดยไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารนั้นให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งได้โดยอาศัยหลักตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 เมื่อเอกสารที่โจทก์อ้างส่งโดยไม่ได้ส่งสำเนาให้แก่จำเลยนั้น จำเลยไม่ได้ปฏิเสธความถูกต้องแท้จริง ทั้งยังเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีด้วยแล้วเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลย่อมรับฟังพยานเอกสารได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 บัญญัติให้คู่ความส่งสำเนาเอกสารให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งนั้น ในกรณีที่มีการระบุพยานเพิ่มเติมหมายความถึงให้ส่งสำเนาเอกสารนั้นให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อนวันที่ทำการนำสืบถึงพยานเอกสารนั้นจริง ๆไม่น้อยกว่า 3 วัน มิได้หมายความถึงก่อนวันทำการสืบพยานครั้งแรกของคดี
of 210