คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 87

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 663 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 566/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นบัญชีระบุพยานต้องเป็นไปตามกฎหมายที่ใช้บังคับขณะยื่น แม้กฎหมายแก้ไขภายหลังก็ใช้ไม่ได้
ในการยื่นบัญชีระบุพยานจำเลยจำเลยต้องกระทำตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะยื่นบัญชีระบุพยานมิใช่กระทำตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้บังคับในภายหลังบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะจำเลยยื่นบัญชีระบุพยานคือบทบัญญัติมาตรา88วรรคแรกและวรรคสี่แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่13)พ.ศ.2535ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นกำหนดวันชี้สองสถานในวันที่7กรกฎาคม2537จำเลยจึงต้องยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันที่7กรกฎาคมไม่น้อยกว่าสิบห้าวันที่จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานเมื่อวันที่22มิถุนายน2537นั้นเป็นการยื่นก่อนวันชี้สองสถานเพียง14วันจึงเป็นการยื่นบัญชีระบุพยานไม่ชอบด้วยบทบัญญัติมาตรา88วรรคแรกดังกล่าวแม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในบัญชีระบุพยานจำเลยว่า"สำเนาให้คู่ความอีกฝ่ายรวมสำนวน16อันดับ"ก็ตามแต่เมื่อต่อมาความปรากฎแก่ศาลชั้นต้นว่าการยื่นบัญชีระบุพยานของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลชั้นต้นก็ย่อมมีอำนาจเพิกถอนคำสั่งที่ได้สั่งรับบัญชีระบุพยานของจำเลยไว้โดยไม่ถูกต้องนั้นได้ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาว่า"ปรากฎว่าคดีนี้จำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานคดีไม่มีประเด็นที่สืบพยานจำเลย"นั้นถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้เพิกถอนคำสั่งรับบัญชีระบุพยานของจำเลยซึ่งสั่งโดยไม่ถูกต้องไว้แต่เดิมนั้นโดยปริยายแล้วต้องถือว่าจำเลยไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่าสิบห้าวันและไม่ปรากฎว่าจำเลยได้ยื่นคำร้องขออ้างพยานหลักฐานเช่นนั้นว่าต่อศาลพร้อมกับบัญชีระบุพยานโดยแสดงเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาดังกล่าวได้ตามมาตรา88วรรคสี่แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งทั้งกรณีไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา87(2)จำเลยจึงไม่มีสิทธินำพยานหลักฐานมาสืบแต่อย่างใดที่ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานจำเลยหรือไม่อนุญาตให้จำเลยนำพยานหลักฐานเข้าสืบนั้นจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9269/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการโอนทรัพย์สินในคดีล้มละลาย, อำนาจศาล, และดอกเบี้ย
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องยื่นคำร้องอ้างว่าจำเลยที่2เป็นเจ้าของที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทแต่จดทะเบียนใส่ชื่อผู้คัดค้านทั้งสามถือกรรมสิทธิ์แทนซึ่งเป็นการกระทำภายในระหว่างระยะเวลาสามปีก่อนมีการขอให้จำเลยที่2ล้มละลายโดยไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทนขอให้สั่งเพิกถอนการกระทำของจำเลยที่2ที่ยินยอมให้ผู้คัดค้านทั้งสามเข้าถือกรรมสิทธิ์แทนในโฉนดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทเท่ากับเป็นการกล่าวอ้างว่าการที่จำเลยที่2จดทะเบียนใส่ชื่อผู้คัดค้านทั้งสามดังกล่าวเป็นการกระทำใดๆเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยที่2ตามความในมาตรา114แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483ผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการกระทำของจำเลยที่2ในคดีนี้ได้ส่วนที่ผู้คัดค้านทั้งสามยื่นคำคัดค้านว่าจำเลยที่2ไม่ใช่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทก็เป็นเพียงคำให้การที่ปฏิเสธคำร้องของผู้ร้องและทำให้เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาทซึ่งคู่ความมีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานเข้ามาสืบในชั้นพิจารณาต่อไปหาทำให้ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการโอนในคดีนี้ไม่ เมื่อในชั้นพิจารณาผู้ร้องและผู้คัดค้านได้นำพยานหลักฐานของตนเข้ามาสืบจนสิ้นกระแสความแล้วผู้ร้องจะได้นำสืบข้อเท็จจริงใดๆอันเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทที่ว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นของจำเลยที่2หรือไม่จึงเป็นเรื่องของการใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานของศาล คดีที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวนั้นต้องเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัวหรือเป็นคดีที่มีบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ให้ความคุ้มครองผู้เยาว์เท่านั้นแต่คดีนี้เป็นคดีร้องขอให้เพิกถอนการโอนหรือการกระทำใดๆเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยที่2ผู้ล้มละลายซึ่งต้องบังคับตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483อันเป็นกฎหมายพิเศษมิใช่คดีแพ่งที่ฟ้องต่อศาลเกี่ยวกับผู้เยาว์ซึ่งต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แม้ผู้คัดค้านทั้งสามเป็นผู้เยาว์คดีนี้ก็ไม่อยู่ในอำนาจของศาลเยาวชนและครอบครัว การเพิกถอนการโอนหรือการกระทำเป็นไปโดยผลของคำสั่งหรือคำพิพากษาตราบใดที่ยังไม่มีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้เพิกถอนก็ยังถือเป็นการโอนหรือการกระทำโดยชอบอยู่จึงถือไม่ได้ว่ามีการผิดนัดนับแต่วันยื่นคำร้องอันจะเป็นเหตุให้ผู้คัดค้านทั้งสามต้องรับผิดในเรื่องดอกเบี้ยผู้ร้องคงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนหรือการกระทำเป็นต้นไปปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ผู้ร้องว่าความเองในศาลชั้นต้นจึงไม่มีเหตุที่จะกำหนดค่าทนายความให้ที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความให้ผู้คัดค้านทั้งสามใช้แทนผู้ร้องจึงไม่ชอบศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9269/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เพิกถอนการโอนทรัพย์สินก่อนล้มละลาย: อำนาจศาลและดอกเบี้ย
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องยื่นคำร้องอ้างว่า จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทแต่จดทะเบียนใส่ชื่อผู้คัดค้านทั้งสามถือกรรมสิทธิ์แทน ซึ่งเป็นการกระทำภายในระหว่างระยะเวลาสามปีก่อนมีการขอให้จำเลยที่ 2ล้มละลายโดยไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทน ขอให้สั่งเพิกถอนการกระทำของจำเลยที่ 2 ที่ยินยอมให้ผู้คัดค้านทั้งสามเข้าถือกรรมสิทธิ์แทนในโฉนดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาท เท่ากับเป็นการกล่าวอ้างว่าการที่จำเลยที่ 2 จดทะเบียนใส่ชื่อผู้คัดค้านทั้งสามดังกล่าวเป็นการกระทำใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ตามความในมาตรา114 แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 ผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการกระทำของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ได้ ส่วนที่ผู้คัดค้านทั้งสามยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยที่ 2 ไม่ใช่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทก็เป็นเพียงคำให้การที่ปฏิเสธคำร้องของผู้ร้องและทำให้เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาทซึ่งคู่ความมีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานเข้ามาสืบในชั้นพิจารณาต่อไป หาทำให้ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการโอนในคดีนี้ไม่
เมื่อในชั้นพิจารณาผู้ร้องและผู้คัดค้านได้นำพยานหลักฐานของตนเข้ามาสืบจนสิ้นกระแสความแล้ว ผู้ร้องจะได้นำสืบข้อเท็จจริงใด ๆ อันเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทที่ว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 หรือไม่จึงเป็นเรื่องของการใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล
คดีที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวนั้น ต้องเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัวหรือเป็นคดีที่มีบทบัญญัติใน ป.พ.พ.ที่ให้ความคุ้มครองผู้เยาว์เท่านั้น แต่คดีนี้เป็นคดีร้องขอให้เพิกถอนการโอนหรือการกระทำใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ผู้ล้มละลายซึ่งต้องบังคับตามพ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 อันเป็นกฎหมายพิเศษ มิใช่คดีแพ่งที่ฟ้องต่อศาลเกี่ยวกับผู้เยาว์ซึ่งต้องบังคับตาม ป.พ.พ. แม้ผู้คัดค้านทั้งสามเป็นผู้เยาว์ คดีนี้ก็ไม่อยู่ในอำนาจของศาลเยาวชนและครอบครัว
การเพิกถอนการโอนหรือการกระทำเป็นไปโดยผลของคำสั่งหรือคำพิพากษา ตราบใดที่ยังไม่มีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้เพิกถอนก็ยังถือเป็นการโอนหรือการกระทำโดยชอบอยู่ จึงถือไม่ได้ว่ามีการผิดนัดนับแต่วันยื่นคำร้อง อันจะเป็นเหตุให้ผู้คัดค้านทั้งสามต้องรับผิดในเรื่องดอกเบี้ย ผู้ร้องคงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนหรือการกระทำเป็นต้นไป ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
ผู้ร้องว่าความเองในศาลชั้นต้น จึงไม่มีเหตุที่จะกำหนดค่าทนายความให้ ที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความให้ผู้คัดค้านทั้งสามใช้แทนผู้ร้องจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9151/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานจากคดีเดิมในชั้นร้องขัดทรัพย์และการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท
แม้มูลคดีและประเด็นแห่งคดีในชั้นร้องขัดทรัพย์กับคดีเดิมจะเป็นคนละเรื่องกัน แต่ปรากฏตามคำแถลงของผู้ร้องที่ขออนุญาตยื่นสำนวนคดีเดิมเป็นพยานและศาลชั้นต้นได้สั่งรับตามคำแถลงของผู้ร้องแล้ว ดังนี้ ถือได้ว่า พยานหลักฐานต่าง ๆ ในสำนวนคดีเดิมได้ถูกนำเข้าสู่สำนวนในชั้นร้องขัดทรัพย์แล้ว การที่ศาลชั้นต้นรับฟังคำเบิกความของจำเลยซึ่งอยู่ในสำนวนคดีเดิมมาประกอบการวินิจฉัยชี้ขาดในชั้นร้องขัดทรัพย์ จึงหาใช่เป็นการรับฟังพยานหลักฐานนอกสำนวนไม่
ศาลชั้นต้นฟังว่าทรัพย์พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลย ผู้ร้องอุทธรณ์เป็นทำนองว่าพยานหลักฐานยังฟังไม่ได้ว่าทรัพย์พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลย ดังนี้เป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นร้องขัดทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงห้ามมิให้อุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9151/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานในชั้นร้องขัดทรัพย์และการอุทธรณ์ดุลพินิจเมื่อทุนทรัพย์น้อย
แม้มูลคดีและประเด็นแห่งคดีในชั้นร้องขัดทรัพย์กับคดีเดิมจะเป็นคนละเรื่องกัน แต่ปรากฏตามคำแถลงของผู้ร้องที่ขออนุญาตยื่นสำนวนคดีเดิมเป็นพยานและศาลชั้นต้นได้สั่งรับตามคำแถลงของผู้ร้องแล้ว ดังนี้ ถือได้ว่าพยานหลักฐานต่าง ๆ ในสำนวนคดีเดิมได้ถูกนำเข้าสู่สำนวนในชั้นร้องขัดทรัพย์แล้วการที่ศาลชั้นต้นรับฟังคำเบิกความของจำเลยซึ่งอยู่ในสำนวนคดีเดิมมาประกอบการวินิจฉัยชี้ขาดในชั้นร้องขัดทรัพย์ จึงหาใช่เป็นการรับฟังพยานหลักฐานนอกสำนวนไม่
ศาลชั้นต้นฟังว่าทรัพย์พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลย ผู้ร้องอุทธรณ์เป็นทำนองว่าพยานหลักฐานยังฟังไม่ได้ว่าทรัพย์พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลย ดังนี้เป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นร้องขัดทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงห้ามมิให้อุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4381/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งสินสมรสหลังหย่า: หลักเกณฑ์การพิสูจน์การมีส่วนร่วมในการซื้อทรัพย์สิน และผลของการโอนทรัพย์สินหลังหย่า
คดีมีประเด็นเพียงว่าทรัพย์สินที่ได้มาก่อนโจทก์จำเลยจดทะเบียนหย่าเป็น สินสมรสหรือไม่และทรัพย์สินที่จำเลยได้มาหลังโจทก์จำเลยจดทะเบียนหย่าโจทก์เป็น เจ้าของรวมด้วยหรือไม่ฉะนั้นปัญหาเรื่องการจดทะเบียนหย่าสมบูรณ์หรือไม่แม้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ให้ศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้โดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)ก็ตามแต่จะต้องเป็นข้อกฎหมายที่ได้มาจากข้อเท็จจริงในการ ดำเนินกระบวนพิจารณา โดยชอบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา87ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากพยานนอกประเด็นไม่เกี่ยวกับที่คู่ความจะต้องนำสืบหรือมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดงศาลจะรับฟังมาวินิจฉัยเป็นข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)หาได้ไม่การที่ศาลอุทธรณ์ยกเรื่องการจดทะเบียนหย่าไม่สมบูรณ์และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว โจทก์จำเลยจดทะเบียนหย่ากันแล้วแต่ยังคงอยู่กินฉันสามีภริยาตลอดมาโดยยังมิได้แบ่งสินสมรสกันหลังจากนั้นจำเลยนำที่ดินสินสมรสไปจำนองและซื้อที่ดิน3แปลงและร่วมกันทำประโยชน์จนกระทั่งตกลงเลิกอยู่กินฉันสามีภริยากันโจทก์จำเลยจึงร่วมกันเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวต่อมาจำเลยขายที่ดินทั้งสามแปลงแล้วนำเงินไปซื้อที่ดินใหม่2แปลงและรถยนต์2คันพร้อมด้วยสิทธิการเดินรถดังนี้โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอ แบ่งทรัพย์สินดังกล่าวพร้อมสินสมรสที่ยังมิได้แบ่งด้วยกึ่งหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2665/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนี้ต้องห้ามในคดีล้มละลาย: เจ้าหนี้รู้ถึงฐานะหนี้สินล้นพ้นตัวของลูกหนี้
แม้ตามคำให้การสอบสวนของส. หัวหน้าแผนกสินเชื่อของเจ้าหนี้กับคำให้การของว. กรรมการบริษัทลูกหนี้ในสำนวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนจำนองที่ดินและได้อ้างอิงเป็นพยานหลักฐานประกอบการวินิจฉัยคดีคำขอรับชำระหนี้นี้ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมูลหนี้ที่เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้จะอยู่คนละสำนวนสาขาแต่ก็เป็นสำนวนคดีล้มละลายเดียวกันเมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ใช้สิทธิโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา107ก็ย่อมมีอำนาจนำพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องในประเด็นคำขอรับชำระหนี้มาพิจารณาทำความเห็นเสนอต่อศาลซึ่งเป็นการสอบสวนชั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิใช่เป็นการสืบพยานโดยอาศัยบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งศาลย่อมรับฟังประกอบการวินิจฉัยคดีได้ถือไม่ได้ว่าเป็นการรับฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนโดยเจ้าหนี้ไม่มีโอกาสซักค้านพยาน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 727/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์หนี้จากพยานบุคคลและเอกสารประกอบ การรับรองความถูกต้องของบัญชีหนี้โดยผู้เขียน
ภ. เป็นบุตรของโจทก์พักอยู่บ้านเดียวกับโจทก์มีอาชีพค้าขายน่าจะทราบเกี่ยวกับกิจการค้าขายของโจทก์เป็นอย่างดีคำเบิกความของ ภ. เกี่ยวกับกิจการค้าขายของโจทก์จึงเป็นประจักษ์พยานไม่ใช่พยานบอกเล่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8731/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นเอกสารประกอบคำฟ้องและการรับฟังพยานหลักฐาน ศาลมีอำนาจรับฟังเอกสารที่ยื่นพร้อมคำฟ้อง แม้ไม่ได้ส่งซ้ำ
การที่ ป.วิ.พ.มาตรา 90 กำหนดให้คู่ความฝ่ายที่อ้างเอกสารต้องยื่นสำเนาเอกสารต่อศาลและคู่ความฝ่ายอื่นล่วงหน้าก่อนวันชี้สองสถานหรือก่อนวันสืบพยานนั้น นอกจากเพื่อประโยชน์ในการที่ศาลจะได้สอบถามคู่ความเกี่ยวกับเอกสารนั้นในวันชี้สองสถานแล้ว ยังมีความประสงค์จะให้ศาลและคู่ความได้ทราบล่วงหน้าก่อนสืบพยานว่า พยานเอกสารที่คู่ความแต่ละฝ่ายอ้างเกี่ยวกับคดีอย่างไร เอกสารมีความน่าเชื่อถือในเบื้องต้นอย่างไรหรือไม่ และให้คู่ความฝ่ายที่ถูกยันด้วยเอกสารนั้นได้มีโอกาสตรวจสอบในเบื้องต้นว่าเอกสารที่อ้างอิงมีความถูกต้องแท้จริงเพียงใด หรือสำเนาที่ยื่นไว้ตรงกับต้นฉบับเอกสารหรือไม่ สำเนาหนังสือรับรองนิติบุคคล หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดี สำเนาหนังสือมอบอำนาจให้ทำนิติกรรม หนังสือสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน ซึ่งโจทก์ส่งศาลในวันพิจารณามีข้อความอย่างเดียวกันกับสำเนาเอกสารที่แนบมาท้ายฟ้อง เมื่อจำเลยทั้งสามได้รับสำเนาคำฟ้องพร้อมกับสำเนาเอกสารท้ายฟ้องแล้ว ก็เป็นการถูกต้องตามความประสงค์ของบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น แม้โจทก์ไม่ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งสามอีก ศาลก็มีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นนั้นได้ในเมื่อเห็นว่าเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 87

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8731/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นเอกสารประกอบการพิจารณาคดี: ศาลรับฟังได้แม้ไม่ส่งสำเนาให้คู่ความ หากคู่ความได้รับสำเนาคำฟ้องพร้อมเอกสารแนบแล้ว
การที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90กำหนดให้คู่ความฝ่ายที่อ้างเอกสารต้องยื่นสำเนาเอกสารต่อศาลและคู่ความฝ่ายอื่นล่วงหน้าก่อนวันชี้สองสถานหรือก่อนวันสืบพยานนั้น นอกจากเพื่อประโยชน์ในการที่ศาลจะได้สอบถามคู่ความเกี่ยวกับเอกสารนั้นในวันชี้สองสถานแล้วยังมีความประสงค์จะให้ศาลและคู่ความได้ทราบล่วงหน้าก่อนสืบพยานว่า พยานเอกสารที่คู่ความแต่ละฝ่ายอ้างเกี่ยวกับคดีอย่างไร เอกสารมีความน่าเชื่อถือในเบื้องต้นอย่างไรหรือไม่ และให้คู่ความฝ่ายที่ถูกยันด้วยเอกสารนั้นได้มีโอกาสตรวจสอบในเบื้องต้นว่าเอกสารที่อ้างอิงมีความถูกต้องแท้จริงเพียงใด หรือสำเนาที่ยื่นไว้ตรงกับต้นฉบับเอกสารหรือไม่ สำเนาหนังสือรับรองนิติบุคคล หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีสำเนาหนังสือมอบอำนาจให้ทำนิติกรรม หนังสือสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน ซึ่งโจทก์ส่งศาลในวันพิจารณามีข้อความอย่างเดียวกันกับสำเนาเอกสารที่แนบมาท้ายฟ้อง เมื่อจำเลยทั้งสามได้รับสำเนาคำฟ้องพร้อมกับสำเนาเอกสารท้ายฟ้องแล้วก็เป็นการถูกต้องตามความประสงค์ของบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น แม้โจทก์ไม่ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งสามอีก ศาลก็มีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นนั้นได้ในเมื่อเห็นว่าเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87
of 67